ท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุของเมษายน
ซึ่งเป็นเดือนที่พระอาทิตย์ตั้งฉากกับโลก ทำให้อุณหภูมิสูงที่สุดในรอบปี ตามความเชื่อดั้งเดิมจึงใช้ “น้ำ” เป็นสัญลักษณ์คลายร้อน และเพิ่มความชุ่มชื่น
ซึ่งในอดีตบรรพบุรุษใช้วิธีการคำนวณทางดาราศาสตร์ เพื่อหาช่วงเวลาที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ และกำหนดให้เป็น “วันสงกรานต์”
แต่ปัจจุบันได้กำหนดวันที่แน่นอนคือวันที่ 13-15 เมษายน
ในช่วงนี้ นอกจากอากาศที่ร้อนจนเหงื่อตกเเเล้ว “สงกรานต์” ที่ผ่านมาก็เรื่องราวเเละเหตุการณ์ที่ ทั้งร้อน ทั้งเเรง ทั้งฮอต เป็นกระเเสให้นึกถึงอยู่ไม่น้อย
บางปีก็เป็นสีสันที่น่าจดจำ ขณะที่บางปีกลับเกิดความสูญเสียที่ยากจะลืมเลือนได้ลง
สถิติอุบัติเหตุ
‘สงกรานต์’มรณะ!
วันสงกรานต์แวะเวียนกลับมาบรรจบอีกครั้ง พร้อมสัญญาณ “7 วันอันตราย”
หมายถึงช่วงเวลา 7 วันที่คร่าชีวิตประชาชนมากที่สุด
แม้ทุกภาคส่วนจะพยายามหาทุกวิถีทางเพื่อ “ลดอุบัติเหตุ” แต่ก็มีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ทุกปี
โดยเฉพาะในปี 2551 ที่มีจำนวนอุบัติเหตุเเละจำนวนผู้เสียชีวิตสูงที่สุดในรอบระหว่าง ปี 2551-2558
ข้อมูลจากศูนย์กลางรวบรวมข้อมูลข่าวสารความปลอดภัยทางท้องถนน โดยสำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ (สคอ.) ระบุว่า สถิติอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2551 ตลอดระยะเวลา 7 วัน เกิดอุบัติเหตุรวม 4,243 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 4,803 ราย เสียชีวิต 368 ราย ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดเป็นอันดับ 1
รองลงมาอันดับที่ 2 ปี 2552 ตลอดระยะเวลา 7 วัน เกิดอุบัติเหตุรวม 3,977 ครั้ง มีผู้บาดเจ็บ 4,332 รายและผู้เสียชีวิต 373 ราย
และอันดับที่ 3 ปี 2558 ตลอดระยะเวลา 7 วัน เกิดอุบัติเหตุรวม 3,373 มีผู้บาดเจ็บ 3,559 ราย และผู้เสียชีวิต 364 ราย
โดยสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุอันดับ 1 เกิดจากการดื่มสุรา และยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ รถจักรยานยนต์
ทั้งนี้ การเกิดอุบัติเหตุยังมีสาเหตุจากเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย แต่ทั้งหมดมีบทส่งท้ายเหมือนกัน คือ “ความสูญเสีย” ที่แน่นอนว่าทุกฝ่ายไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ดังนั้น ถ้าทุกคนไม่ประมาท มีความรับผิดชอบต่อตนเองและผู้อื่นอย่างเต็มที่ จะช่วยให้ความสูญเสียที่เกิดจากอุบัติเหตุลดน้อยลงได้ในที่สุด
สงกรานต์เลือด
เดือดปี 2552

ปี 2552 นับเป็นปีแห่งความคุกรุ่นและเต็มไปด้วยความตึงเครียดจากสถานการณ์ทางการเมือง
หลัง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เป็นเหตุให้มีกลุ่มผู้ประท้วง นำโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง เดินขบวนทางการเมือง เพื่อขับไล่รัฐบาล
เหตุการณ์ส่อเค้าความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่จังหวัดชลบุรี วันที่ 11 เมษายน หลังผู้ชุมนุมบุกขัดขวางการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก ต่อมาวันที่ 12 เมษายน มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามมาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลหลายพื้นที่
ก่อนเกิดเหตุสลายการชุมนุมตามมาในท้ายที่สุด ในช่วงเช้าวัน “สงกรานต์” ที่ถูกเรียกภายหลังว่า “สงกรานต์เลือด”
ในวันที่ 13 เมษายน กำลังทหารและตำรวจใช้แก๊สน้ำตา กระสุนจริงและกระสุนฝึกหัด เข้าสลายการชุมนุมที่บริเวณแยกดินแดงเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมมีการยึดรถโดยสารประจำทางมาจอดขวางตามถนนต่างๆ มีการจุดไฟเผารถหลายคัน
ท่ามกลางบรรยากาศความวุ่นวายของบ้านเมือง บรรยากาศการเล่นน้ำสงกรานต์ในหลายพื้นที่โดยเฉพาะในต่างจังหวัดยังมีการเฉลิมฉลองตามปกติ แต่ในกรุงเทพมหานคร เหตุการณ์ความไม่สงบส่งผลกระทบอย่างมาก ทำให้สงกรานต์ปี 2552 ไม่คึกคักเอาเสียเลย
ถนนข้าวสาร แหล่งเล่นน้ำยอดฮิต มีการประกาศผ่านไมโครโฟนถึงนักท่องเที่ยวทุกคนที่กำลังเล่นน้ำสงกรานต์ ให้ยุติการเล่นน้ำทั้งหมด และขอให้ทยอยเดินทางกลับบ้าน เนื่องจากสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ไม่เป็นปกติ
เพราะมีการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมในหลายพื้นที่ อาทิ บริเวณสนามม้านางเลิ้งมุ่งหน้าแยกสะพานผ่านฟ้า, บริเวณแยกพระราม 9, บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า, บริเวณถนนเพชรบุรี ซอย 7, บริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ, แยกตึกชัย, แยกมักกะสัน, บริเวณหน้าสถานี ททบ.5 สนามเป้า, บริเวณแยกดินแดง, บริเวณแยกหมอเหล็ง บนถนนราชปรารภ และสถานีดาวเทียมไทยคม ลาดหลุมแก้ว เป็นต้น
รัฐบาลจึงจัดตั้งกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขณะนั้น เป็นที่ปรึกษาอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน และ พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้อำนวยการกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน
ในช่วงค่ำของวันเดียวกัน เกิดเหตุปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม กับเจ้าหน้าที่และชาวบ้านหลายกลุ่มในตลาดนางเลิ้งจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต
ท้ายที่สุดในวันที่ 14 เมษายน แกนนำ นปช.หลายคนเข้ามอบตัว การชุมนุมจึงสงบลง แต่เนื่องจากผู้ชุมนุมบางส่วนจะปักหลักชุมนุมกันต่อ ทำให้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยังจึงมีผลต่อไป จนนายอภิสิทธิ์ประกาศยกเลิกในวันที่ 24 เมษายน
นับเป็นเหตุการณ์นองเลือดใน “วันสงกรานต์” ที่รุนแรงที่สุด
10 เมษายน 53
สงกรานต์หลังความตาย

เดือนมีนาคม 2553 กลุ่ม นปช.กลับมาชุมนุมกันอีกครั้งเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่
เกิดเหตุการณ์กรีดเลือดไปเทที่หน้าทำเนียบรัฐบาล หน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ และหน้าบ้านนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์เพื่อกดดันรัฐบาล และเมื่อก้าวเข้าสู่เดือนเมษายน กลุ่มผู้ชุมนุมได้ปักหลักชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศและแยกราชประสงค์ ขณะเดียวกันยังได้ทำการปิดการจราจรที่แยกราชประสงค์เละสร้างแนวป้องกันรอบบริเวณดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (ผอ.รมน.) จึงได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ในวันที่ 8 เมษายน ก่อนประกาศตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) มอบหมายให้ สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ผู้อำนวยการ ศอฉ.
สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นหลังรัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศในวันที่ 10 เมษายน
แกนนำกลุ่มเสื้อแดงจึงนำผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งไปยังกองทัพภาคที่ 1 เพื่อผลักดันไม่ให้ทหารออกจากกองทัพภาคที่ 1 ได้ จนเกิดการปะทะกัน
จากนั้นทหารได้เดินแถวเรียงหน้ากระดาน เพื่อยึดพื้นที่คืนจากกลุ่มเสื้อแดง ตั้งแต่บริเวณแยกมิสกวัน ไปถึงบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ ทำให้เกิดการปะทะกันเป็นระยะ
ทำให้มีผู้เสียชีวิต 24 ศพ มีช่างภาพชาวญี่ปุ่นเสียชีวิตรวมอยู่ด้วย 1 คน และทหารเสียชีวิต 5 นาย ตลอดจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกมากกว่า 800 คน
เหตุการณ์การสลายการชุมนุมดังกล่าวถูกเรียกต่อมาว่า “เมษาโหด”
ถึงแม้การชุมนุมจะยุติลงก่อนวันสงกรานต์ และ นปช.จะประกาศคืนพื้นที่การชุมนุมบริเวณถนนราชดำเนิน และสะพานผ่านฟ้า ไปรวมกลุ่มชุมนุมที่แยกราชประสงค์เพียงแห่งเดียวก็ตาม แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบบรรยากาศสงกรานต์ในปี 2553
ทำให้สงกรานต์ปีนั้นไม่คึกคักเท่าที่ควร โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ชุมนุมที่ไม่สามารถใช้เล่นน้ำหรือประกอบกิจกรรมช่วงสงกรานต์ได้
หลังผู้ชุมนุมเคลื่อนย้าย กรุงเทพมหานครจึงประกาศ “บิ๊ก คลีนนิ่ง เดย์” ครั้งใหญ่ ตั้งแต่เวลา 05.00 น. วันที่ 15 เมษายน โดยเจ้าหน้าที่จากสำนักงานเขตพระนครป้อมปรามปราบศัตรูพ่ายและเขตดุสิต กว่า 500 คน ลงพื้นที่ทำความสะอาดตั้งแต่สนามหลวงจนถึงลานพระบรมรูปทรงม้า โดยจะระดมรถน้ำแรงดันสูงประมาณ 10 คัน เข้าทำความสะอาด ขณะที่ถนนราชดำเนิน เจ้าหน้าที่เขตพระนครนำทีมทำความสะอาดทันทีที่ผู้ชุมนุมเคลื่อนย้าย
เป็นการปิดฉากวันสงกรานต์ปี 2553 ที่ถนนราชดำเนิน
สงกรานต์’เปิดอก’
4 คดีสุดฮอต
ทุก “สงกรานต์” มีการพูดถึงการเล่นน้ำอย่างสุภาพและเหมาะสมอยู่เสมอ
แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเล่นสงกรานต์หลายพื้นที่ปรากฏภาพการแต่งตัวชุดสุดวาบหวิว และที่หนักกว่านั้นคือการเปิดอกโชว์เต้า ท่ามกลางฝูงชนจำนวนมาก
และภาพเหตุการณ์เหล่านั้นได้ถูกบันทึกเป็นภาพถ่ายและคลิปวิดีโอโผล่ว่อนโซเชียลมีเดีย
ดังคลิป “เด็กสาวเต้นเปลือยอกที่สีลม ปี 2554”
บันทึกเหตุการณ์เด็กสาวทั้ง 3 คน อายุระหว่าง 13-16 ปี เต้นเปลือยหน้าอกโชว์ผู้คนที่กำลังเล่นสงกรานต์อยู่บริเวณถนนสีลม เมื่อวันที่ 14 เมษายน จากนั้นไม่นานผู้ปกครองได้พาเด็กสาวทั้ง 3 คนเข้ามอบตัว
พร้อมรับสารภาพว่า “ทำไปเพราะคึกคะนองจากบรรยากาศและเสียงเพลง”
แต่หลังจากนั้น 1 ปี ก็มีเหตุเปลือยอกขึ้นอีกครั้งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีการเเชร์ต่อภาพหญิงสาวเปลือยอกเต้นกลางเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ในภาพหญิงสาวคนดังกล่าวสวมกางเกงยีนส์ขาสั้นจนเห็นแก้มก้น ท่อนบนเปลือยจนเห็นหน้าอก โดยมีกลุ่มวัยรุ่นชายอยู่รายล้อมอยู่ด้านล่าง
จากการตรวจสอบพบว่าหญิงสาวคนดังกล่าวเป็นสาวประเภทสองอายุ 18 ปี ผ่านการเเปลงเพศเเล้ว เเละเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังใน จ.พระนครศรีอยุธยา ในปีเดียวกันเเต่ต่างที่ก็มีเหตุเปลือยกายฉลองสงกรานต์ 2555 ขึ้นในจังหวัดชัยภูมิด้วย
ครั้งนี้ผู้ก่อเหตุเป็นสาวประเภทสองเช่นเดียวกัน ยืนเต้นบนหลังรถกระบะ ในสภาพเปลือยอกและถอดกางเกงเล่นน้ำสงกรานต์เนื่องจากดื่มสุราจนเมามาย โดยมีคนเล่นน้ำบริเวณนั้นส่งเสียงร้องเชียร์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เจ้าหน้าที่สามารถติดตามตัวและเชิญมาว่ากล่าวตักเตือน พร้อมทั้งสอบสวนและเสียค่าปรับจำนวน 500 บาท เรียบร้อยด้วยดี
ต่างจากเหตุการณ์ 2 สาวประเภทสองเปลือยอกเล่นสงกรานต์ที่พิษณุโลก ในเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2557 ซึ่งปรากฏทั้งภาพและคลิปบนโลกออนไลน์ และมีการแชร์ต่อจำนวนมาก
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากเนื่องจาก สาวประเภทสองทั้ง 2 คนโชว์หน้าอกเล่นน้ำสงกรานต์ ที่บริเวณถนนบรมไตรโลกนารถ หน้าวัดท่ามะปราง อ.เมือง จ.พิษณุโลก
ตรวจสอบข้อเท็จจริง จนสามารถจับกุมตัวทั้ง 2 คนพร้อมตั้งข้อหาและเรียกค่าปรับคนละ 500 บาท
ภายหลังทั้ง 2 ได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบไหว้ขอขมาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมืองพิษณุโลกที่ทำให้เสียชื่อเสียง พร้อมยังกราบขอขมาชาวพิษณุโลกสำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ทั้ง 4 กรณีเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
เป็นอีกหนึ่งกระแสแรงๆ ประจำเทศกาลสงกรานต์ “เปิดอก”
เล่นน้ำกับ’นางเอกเอวี’
สงกรานต์สุด’ฮอต’ที่บุรีรัมย์
เชื่อมั่นว่าชายไทยเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ รู้จักเธอคนนี้ “โซระ อาโออิ” นางเอกหนัง AV สุดเซ็กซี่สัญชาติญี่ปุ่น
และเชื่อว่ากว่าครึ่งอยากเห็นตัวจริงของสาวน้อยหน้าใสคนนี้
ฉะนั้น เมื่อจังหวัดบุรีรัมย์ นำโดย เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ทาบทามวง Ebisu Muscats (อิบิซึ มัสแคทส์) และนางเอกสาว AV จากญี่ปุ่น คือ “โซระ อาโออิ” บินตรงมาโชว์ในงานสงกรานต์ปี 2555 ภายใต้สโลแกน “เติมสีสันให้หรรษากว่าทุกปี : สงกรานต์หลากสี บุรีรัมย์หรรษา” ก็ได้รับความสนใจจากคนทั่วทั้งประเทศ
แม้ในช่วงแรก (ก่อนเริ่มงาน) จะถูกหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องความไม่เหมาะสม กับประเพณีอันดีงามในวันสงกรานต์ของไทย
แต่ “บิ๊กเน” ยืนยันเดินหน้าจัดงานต่ออย่างเต็มที่ ซึ่งผลตอบรับเป็นไปตามคาดหมาย งานนี้หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่นับแสนมุ่งหน้าขึ้นสู่จังหวัดบุรีรัมย์ จับจองพื้นที่หน้าสนามนิว-ไอโมบาย สเตเดียม กันอย่างคึกคัก
งานนี้ทีมข่าว “มติชน” มีโอกาสร่วมพูดคุยกับ โซระ อาโออิ ถึงการมาทำงานครั้งนี้ เธอยิ้มกว้างก่อนจะบอกว่า ดีใจสุดสุดที่ได้รับเชิญมาในงานสงกรานต์นี้ที่สำคัญคือ เป็นครั้งแรกที่จะได้พบปะพูดคุยกับแฟนชาวไทยด้วย
“ดีใจมากค่ะที่ได้มีโอกาสมาพบปะกับแฟนๆ ทุกคนที่นี่ ถ้าเกิดว่าคราวหน้าหรือโอกาสหน้ามีงานแบบนี้อีกก็อยากจะมาอีกค่ะ งานครั้งนี้ก็จะพยายามเต็มที่ อยากให้ทุกคนมากันเยอะๆ นะคะ”
นับเป็นอีกสีสันของงานวันสงกรานต์ ที่คนไทยจดจำได้อีกนานแสนนาน
กปปส.พักม็อบ
ชวนเล่นน้ำกับ’ลุงกำนัน’
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นหลัง สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ตัดสินใจลาออกจากพรรคมานำมวลชนเคลื่อนไหวทางการเมือง ก่อตั้งกลุ่ม “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ “กปปส.” ระหว่างปี 2556-2557 โดยมุ่งหมายตามคำที่ใช้ว่า “กำจัดระบอบทักษิณ” ชูธงปฏิรูปประเทศ
เวลานั้น สุเทพ เทือกสุบรรณ รับตำแหน่งเลขาธิการ กปปส. และถูกเรียกขานโดยมวลมหาประชาชนว่า “ลุงกำนัน”
โดยกลุ่ม กปปส.มีสัญลักษณ์สำคัญ คือ ธงชาติและนกหวีด เคลื่อนไหวบนท้องถนนหลายรูปแบบ ทั้งยุทธศาสตร์ “Shutdown กรุงเทพฯ” เดินเท้าเรียกร้องและตั้งเวทีแบบดาวกระจายถึง 7 จุด ที่แยกปทุมวัน, แยกราชประสงค์, แยกอโศก, แยกศาลาแดง (สีลม), ห้าแยกลาดพร้าว, อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และแจ้งวัฒนะ ก่อนจะยุบรวมมาชุมนุมที่สวนลุมพินีแห่งเดียว
ซึ่งการเคลื่อนไหวมีการพักลงชั่วคราวในช่วงวันสงกรานต์ เพราะลุงกำนันอยากให้มวลชนและเจ้าหน้าที่ได้พักผ่อนฉลองสงกรานต์
ส่วนคนที่ไม่ได้ไปไหน แกนนำ กปปส.ก็เชิญชวนมาเล่นน้ำกับลุงกำนันที่สวนลุมพินี
ภายใต้ชื่อ “สงกรานต์มวลมหาประชาเบิกบาน” 13-15 เมษายน เป็นแคมเปญชวนชุ่มฉ่ำของมวลมหาประชาชน
ในช่วงเที่ยงวันที่ 13 เมษายน ลุงกำนันขับรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า เข้าร่วมขบวนแห่พระพุทธรูปทั่วสวนลุมพินี ให้มวลชนร่วมสรงน้ำวันสงกรานต์ อวยพรให้คนไทยสุขสมหวัง เเละขอให้ประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยมีมวลชนร่วมเดินขบวน ร่วมสรงน้ำพระ พร้อมกับสาดน้ำใส่กลุ่มแกนนำ กปปส.และผู้ร่วมขบวนอย่างสนุกสนาน
นับเป็นการเล่นสงกรานต์ครั้งแรกที่จัดขึ้นระหว่างการชุมนุมแล้วราบรื่น เรียบร้อย ต่างจากการชุมนุมครั้งก่อน อาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงพักม็อบ ไม่มีการเคลื่อนไหว หรือเพราะการคุมเข้ม ห้ามนำอุปกรณ์ เล่นน้ำภายนอกเข้าที่ชุมนุม ทำให้สงกรานต์ที่สวนลุมผ่านไปอย่างสงบเรียบร้อย
มวลมหาประชาติชนหลากหลายวัยเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน สะสมพลังมาชุมนุมต่อเนื่อง ในเดือนพฤษภาคม ลุงกำนันได้พามวลชนย้ายไปชุมนุมที่สะพานมัฆวานรังสรรค์ และยุติการชุมนุมเมื่อเกิดรัฐประหาร วันที่ 22 พฤษภาคม 2557
ปิดท้ายม็อบ กปปส. และสงกรานต์ปี 2557 ที่มวลมหาประชาชนได้เล่นน้ำชุ่มฉ่ำกับลุงกำนัน
พนัส-ชาญวิทย์-นิธิ
ชวนรดน้ำขอขมาเยาวชน
ประเพณีรดดำหัวเป็นพิธีสำคัญในเทศกาลสงกรานต์มายาวนาน โดยปกติเป็นการแสดงความเคารพและขออภัยโทษของผู้น้อยต่อผู้ใหญ่
เเต่พิธีรดน้ำดำหัวในปี 2558 เเตกต่างพิธีแบบเดิม เมื่อ นิธิ เอียวศรีวงศ์ นักวิชาการอิสระ เเละ ศ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในนามผู้เฒ่าจัดกิจกรรมรดน้ำดำหัวเยาวชนพร้อมกัน
งานนี้อาจารย์นิธิพร้อมด้วยอาจารย์เเละนักวิชาการกว่า 10 ชีวิต ในนาม “ผู้เฒ่าขอขมา รดน้ำดำหัวเยาวชน” ทำพิธีขมาพร้อมรดน้ำดำหัวกลุ่มเยาวชนที่เป็นตัวแทน 15 คน ที่วัดอุโมงค์ ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ต่อหน้าผู้มาร่วมงานกว่า 300 คน
เพื่อขอขมาต่อความผิดพลาด ความอ่อนแอ ความโง่เขลาของกลุ่มผู้เฒ่าที่ไม่สามารถรักษาประชาธิปไตยให้คนรุ่นหลังได้ จึงขออโหสิกรรมกลุ่มเยาวชนที่ต้องรับมรดกประชาธิปไตยของคณะราษฎร และ 14 ตุลา เพื่อสืบทอดความดีงานของประชาธิปไตยแทน
พร้อมกันกับที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ที่นำโดยอาจารย์ชาญวิทย์ ด้วยจุดประสงค์เเละเป้าหมายเดียวกัน
เพียงเเต่ที่ธรรมศาสตร์การจัดงานไม่ราบรื่นนัก ก่อนเวลานัดหมายเริ่มงาน ประตูรั้วมหาวิทยาลัยถูกปิดลง เเละเเจ้งว่าเป็นคำสั่งจากทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้งดใช้พื้นที่ในมหาลัยในการทำกิจกรรม พร้อมระบุด้วยว่ามีการกำชับมาจากทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ว่ากิจกรรมนี้มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง
เเต่ผู้จัดงานยังยืนยันว่าจะดำเนินกิจกรรมดังกล่าวต่อไป เพียงเเต่ย้ายสถานที่จากบริเวณลานปรีดีฯ เป็นริมถนน ประตูทางเข้าฝั่งท่าพระจันทร์ ลานโพธิ์ โดย อ.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ได้นั่งอยู่บริเวณหลังลูกกรงประตูที่ถูกปิด เเต่มหาวิทยาลัยไม่ให้เข้าไปทำกิจกรรมภายใน จึงย้ายออกมาจัดหน้าประตู
งานนี้อาจารย์ชาญวิทย์พร้อมด้วย ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, พนัส ทัศนียานนท์, สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ, พวงทอง ภวัครพันธุ์, อภิชาต สถิตนิรามัย, สุชาติ สวัสดิ์ศรี, อธึกกิต แสวงสุข และศรีประภา เพชรมีศรี
ร่วมรดน้ำดำหัวขอขมาเยาวชนรับสงกรานต์
สงกรานต์หน้าเเล้ง
ขันเเดงเเละฟ็อกกี้
สงกรานต์ 2559 นับเป็นอีกที่มีอุปสรรคเกิดขึ้นมากมายหลายประการ
โดยเฉพาะปัญหา “ภัยแล้ง” ที่ส่งผลให้พื้นที่หลายจังหวัดในประเทศประสบปัญหาขาดแคลนน้ำสำหรับอุปโภคบริโภคและทำเกษตรกรรม
ยิ่งเข้าใกล้วันสงกรานต์มากเท่าไหร่ปัญหาเรื่อง “น้ำ” ก็ยิ่งเด่นชัดมากขึ้น
เรื่องนี้จึงเป็นโจทย์ใหญ่ครั้งสำคัญที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเตรียมมาตรการให้พร้อมรับมือ
เป็นที่มาของแผนรณรงค์การจัดงานประเพณีสงกรานต์ปี 2559 ภายใต้แนวคิด “สงกรานต์แบบไทย ใช้น้ำอย่างรู้คุณค่า” ของกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เพื่อให้การสืนสานประเพณีสงกรานต์เป็นไปอย่างสอดคล้องกับสภาวะภัยแล้งที่เกิดขึ้น ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัดทุกพื้นที่
โดยกำหนดสถานที่ให้ประชาชนเล่นน้ำเป็นการเฉพาะพร้อมขอความร่วมมือไม่ใช้น้ำอย่างฟุ่มเฟือย เช่น ไม่นำน้ำใส่รถกระบะเล่นสาดน้ำกัน หรือใช้สายยางฉีดน้ำใส่กันบริเวณท้องถนนหรือบริเวณจัดงานต่างๆ และกำหนดระยะเวลาและปริมาณการจ่ายน้ำ รวมทั้งจุดบริการน้ำ เพื่อให้การจัดกิจกรรมสงกรานต์มีการใช้น้ำอย่างประหยัด
และไม้เด็ดที่ภาครัฐนำเสนอในปีนี้ คือ กระบอกฉีดน้ำแบบละออง หรือ “ฟ็อกกี้” แทนการสาดน้ำ หรือใช้ปืนฉีดน้ำ หากไม่มีใช้วิธีพรมน้ำเบาๆ แทนก็ได้
เป็นมาตรการเบื้องต้นรับวันสงกรานต์ฉบับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
ถัดมาจากปัญหาขาดน้ำ ก็เกิดปรากฏการณ์ “ขันแดง” จ่อคิวตามมา หลังชาวเชียงใหม่ได้รับแจกขันน้ำสีแดงพร้อมภาพถ่ายของนายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในท่ายกพนม พร้อมคำอวยพร
และมีการถ่ายภาพมาโพสต์ลงในโซเชียลมีเดีย จากนั้น จีรวรรณ เจริญสุข อายุ 54 ปี ชาว จ.เชียงใหม่ ผู้โพสต์รูปขันแดงถูกแจ้งข้อหาตาม ม.116 ฐานยุยุงปลุกปั่น ยั่วยุ หรือทำให้เกิดความแตกแยก
อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชน ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวว่า อาจจะต้องใช้เงินแสนประกันตัวกรณีชาวเชียงใหม่แจกขันแดงแล้วถูกแจ้งข้อหาขัดความมั่นคง ต้องขึ้นศาลทหาร
แต่เรื่องไม่จบเพียงเท่านี้ มีการขยายต่อเรียกตัวนักข่าวเชียงใหม่ที่นำเสนอข่าวขันแดง เข้าคุยในค่ายกาวิละ ภายในมณฑลทหารบกที่ 33 ตามด้วยการบุกค้นสำนักงานพรรคเพื่อไทย จ.น่าน และบ้านพัก 3 อดีต ส.ส. ยึดขันแดงนับหมื่นใบ พร้อมตั้งข้อกล่าวหากระทำการให้ปรากฏแก่ประชาชนโดยการสื่อสารข้อความและแสดงสัญลักษณ์ทางการเมืองเพื่อก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางการเมือง ตามมาตรา 116
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว ยืนยันขันแดงไม่กระทบความมั่นคง เป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทุกวันสงกรานต์จะต้องทำของมาแจกทุกปี แจกมาเป็นสิบๆ รอบ ไม่เห็นเคยมีปัญหาทำให้ความมั่นคงของชาติจะสั่นคลอนไปแต่อย่างใด
ขณะที่โฆษกรัฐบาลออกมาระบุว่า ขันแดงทักษิณ มีเจตนาก่อความวุ่นวาย ฉวยโอกาสเทศกาลสงกรานต์บังหน้า เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้ เพราะมีเจตนายั่วยุปลุกปั่นให้เกิดการแบ่งแยกประชาชนออกเป็นสี เป็นฝ่าย
ส่วน “บิ๊กตู่” ชี้ชัดว่า ขันแดงเป็นภัยต่อความมั่นคง พร้อมประชดแจกทำไมขันแดง แจกตุ่มสิ เอาไว้เก็บน้ำฝน
ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งต้องห้ามสงกรานต์ปี 2559 คือ “ขันแดง” เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมายเป็นภัยความมั่นคง มีการคุมเข้มหนัก งดใช้ขันแดงที่มีตัวอักษรมาเล่นน้ำเด็ดขาด
นี่คือรวมฮิตสงกรานต์ร่วมสมัยของไทยในร่วมไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ปีนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นอีก
ไม่นานก็รู้
The post ย้อนเหตุเกิด’วันสงกรานต์’ ในรอบ 10 ปี มีอะไรเด็ด! appeared first on มติชนออนไลน์.