“น้ำตาคลอ! ลูกเป่าแคนให้พ่อวัยชราที่นอนป่วยอยู่ฟัง”
เป็นชื่อคลิปอันเป็นภาพของบุตรชายคนหนึ่งกำลังเป่าแคนอย่างเต็มกำลังฝีมือให้แก่คุณพ่อในวัยชราภาพซึ่งนอนพักอยู่บนเตียงได้รับฟัง
ชายชราที่ดูอ่อนแรงนั้นกลับขยับไม้ขยับมือด้วยท่าท่างเปี่ยมสุขตามจังหวะของเสียงแคนที่ลูกชายบรรจงบรรเลงอย่างต่อเนื่อง
ไม่นานนักคลิปนี้ได้แพร่หลายในสื่อโซเชียลจนกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ได้สร้างความซาบซึ้งใจแก่ผู้คนที่ได้รับชมเป็นอย่างมาก
“ปู่ท่านนี้คือ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุดรธานีเด้อครับ?”
นี่คือหนึ่งในคำพูดในสื่อโซเชียลที่มีต่อคลิปนี้
จนนำไปสู่การสืบเสาะตามหา สุดท้ายแล้วก็พบว่าชายชราผู้นี้คือ พ.อ.สมคิด ศรีสังคม อดีตหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย, อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดอุดรธานี, อดีตสมาชิกวุฒิสภาจังหวัดอุดรธานี, ประธานโครงการรณรงค์เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย (ครป.) เพื่อรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2521 และเป็นผู้เขียนหนังสือประวัติศาสตร์เศรษฐกิจทวีปยุโรป จากยุคดึกดำบรรพ์ถึง ค.ศ.1750
ปัจจุบันอายุ 100 ปีแล้ว
ส่วนชายผู้เป่าแคนนั้นก็คือ ศักดา ศรีสังคม บุตรชายคนสุดท้องของ พ.อ.สมคิด
หลังจากเหตุการณ์ในคลิปไม่นานนัก วิวรรธนไชย ณ กาฬสินธุ์ อดีต ส.ส.กาฬสินธุ์ พรรคไทยรักไทย ได้นำคณะ ส.ส.เข้าเยี่ยม พร้อมด้วย หมอแคนแห่งรัฐสภา อดิศร เพียงเกษ ที่มาเป่าแคนให้ฟังถึงที่เพื่อเป็นกำลังใจ
ทั้งนี้ ศักดาเล่าว่า ปัจจุบันคุณพ่อมีอาการนอนหลับลึกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ ลืมตาได้บ้างบางครั้ง รับอาหารผ่านทางช่องท้อง เนื่องจากมีการเจาะที่คอเพื่อช่วยหายใจ จึงไม่สะดวกรับอาหารทางปาก เพราะจะทำให้สำลัก แต่ถึงอย่างไรเมื่อฟังเสียงแคนท่านจะมีปฏิกิริยาตอบรับเสมอ
“ท่านชอบเสียงแคนมากแม้จะเป่าไม่เป็น ผู้มาเยี่ยมเยียนจึงมักจะนำแคนมาเป่าให้ท่านฟังเพราะทุกคนต่างทราบดีเมื่อท่านฟังเสียงแคนท่านจะมีความสุขยกมือทำท่าทางตามเสียงแคน” ศักดาเล่าให้ฟัง
แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จากชีวิตที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์ทางการเมืองของ พ.อ.สมคิด
เรื่องเล่าจากบรรทัดต่อไปนี้ จะเพิ่มเติมส่วนที่เหลือในชีวิตของอดีตหัวหน้าพรรคสังคมนิยมแห่งประเทศไทย
ผ่านสายตาของบุตรชาย “ศักดา ศรีสังคม”
นิยามเมื่อพูดถึงคุณพ่อ ?
ท่านไม่ใช่คนดุดัน แต่เป็นนักสู้ ล้มแล้วลุก สู้ต่อ สู้ไปเรื่อยๆ จะเห็นหนทางชนะหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ท่านก็ยังคงสู้ต่อไป
ช่วงเวลาในชีวิตที่ท่านดูท้อแท้ เศร้าซึม เคยเห็นอยู่ครั้งเดียวคือตอนที่ท่านมีหนี้มากจากการที่ไปค้ำประกันผู้อื่นแล้วต้องมารับภาระหนี้แทน ท่านก็สู้นะครับ ขายทรัพย์สินบ้านช่อง ให้หักเงินเดือนผู้แทนผ่อนหนี้เป็นเวลานาน จนมีผู้ใหญ่เห็นใจ เจรจาลดหนี้ให้
ท่านเคยสอนว่าทุกข์ไหนไม่มีเท่าทุกข์จากหนี้ พอหมดจากภาระหนี้ ท่านมีพลังเพิ่มขึ้นมหาศาล
สิ่งที่คุณพ่อมักพูดให้ฟังเมื่อสมัยยังเด็ก ?
ตอนเด็กๆ เวลาคุณพ่อขับรถไปส่งที่โรงเรียนหรือพาไปทำธุระที่ไหน ท่านจะคุยเรื่องบ้านเมืองให้ฟังระหว่างนั่งในรถ วิจารณ์ปัญหาต่างๆ เช่น การขาดการวางผังเมืองของกรุงเทพฯ สมัยนั้น ท่านก็จะบอกว่าสมัยก่อนพระมหากษัตริย์ท่านเสด็จยุโรปเห็นบ้านเมืองเขาเป็นระเบียบ ก็กลับมาออกแบบถนนให้ใหญ่กว้างขวางอย่างถนนราชดำเนิน
แต่สมัยหลังผู้ปกครองประเทศเอาแต่แย่งชิงอำนาจกัน ไม่สนใจเรื่องการวางแผน ปล่อยให้สร้างถนนหนทางกันอย่างไร้ระเบียบ
ส่วนผู้คนก็ไม่ค่อยมีใครยอมเสียสละ สร้างรั้วเสียติดขอบที่ดินทำให้เป็นซอยแคบๆ เล็กๆ สวนทางกันลำบาก ท่านเองก็ทำตามความเชื่อของท่านว่าเป็นสิ่งที่ควรทำคือบ้านที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ของท่าน ท่านก็เว้นที่สร้างรั้วโดยขยับจากขอบแนวที่ดินเข้ามาประมาณเมตรครึ่งแล้วปลูกหญ้าให้ที่ดูกว้างสบายตา ถ้ารถจะหลบหลีกทางกันก็ทำได้สะดวก
สิ่งที่เรียนรู้จากคุณพ่อคืออะไร ?
หลายอย่างก็เรียนรู้จากการกระทำของคุณพ่อ โดยซึมซับเข้าไปเอง เช่น การพูดดีๆ ไม่ดูถูกคน มองทุกคนเหมือนญาติ ไม่ว่าจะคนที่ช่วยงานในบ้านเรา บ้านญาติ บ้านเพื่อนหรือคนบริการขายของหรือคนงาน ชาวไร่ชาวนา
ผมก็เพิ่งมารู้เมื่อไม่นานนี้เองตอนมาอ่านประวัติที่ท่านเขียนว่าแม่ของท่านสอนไม่ให้ด่าว่าคนอื่น แม้เป็นลูกจ้าง ซึ่งคุณพ่อเขียนไว้ว่า “….แม่ยังสอนให้นำกิริยามารยาทอันดีงามดังกล่าวไปใช้กับลูกจ้างคนงานของเราด้วย เมื่อแม่ได้ยินลูกๆ ด่าติเตียนบุคคลเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ แม่ก็จะตักเตือนว่า หากคนงานหรือคนที่หนีร้อนมาพึ่งเย็นกับเราทำอะไรไม่เป็นที่พอใจของเราแล้ว อย่าไปด่าไปว่าเขา พูดกับเขาดีๆ สอนเขาดีๆ ถ้าเขาดีหรือเก่งเหมือนเรา เขาก็ไม่มารับจ้างเราหรอก ไม่หนีร้อนมาพึ่งเย็นกับเราหรอก …คำสอนของแม่ยังคงก้องอยู่ในหูของข้าพเจ้ามาจนกระทั่งทุกวันนี้ ….”
ส่วนตัวเคยนำคำสอนของคุณพ่อไปปฏิบัติจริงอย่างไรบ้าง
คำสอนของท่านทำให้เวลาเห็นชาวบ้านที่ไหนก็ไม่รู้สึกแบ่งแยก เขาอาจจะเป็นญาติเราก็ได้ มีอะไรช่วยได้ก็ช่วย ครั้งหนึ่งตอนผมไปเรียนอยู่ญี่ปุ่นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มีชาวบ้านที่แอบไปทำงานที่นั่น อยากกลับเมืองไทย เลยมาติดต่อผมและขอให้พาไปมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองของญี่ปุ่น เราก็พาไปให้ ดีที่ผมพูดภาษาญี่ปุ่นได้ เลยบอกว่าเจออยู่ข้างถนนเลยพามา ไม่งั้นเจ้าหน้าที่จะเข้าใจผิดว่าไปเกี่ยวข้องกับการลักลอบคนงานเข้าเมือง (หัวเราะ)
นอกจากมุมจริงจัง ในอีกมุมท่านเป็นคนอย่างไร ?
ตอนเป็นเด็ก ก็จะได้นั่งรถไฟชั้นหนึ่งติดตามคุณพ่อที่ได้สิทธิของผู้แทนขึ้นฟรี ตอนนั้นคุณพ่อน่าจะเริ่มห้าสิบกว่า ตู้ชั้นหนึ่งตอนถึงอุดรฯจะอยู่ห่างจากตัวสถานีไปหน่อย ทำให้ต้องลงเดินข้างรางรถไฟ เช้าวันนั้นมืดๆ หน่อย เจ้าหน้าที่รถไฟก็ตะโกนมาว่า ลุงๆ มาทางนี้ คุณพ่อทำเป็นไม่ได้ยิน บ่นอุบว่ามาเรียกเราว่าลุงได้ยังไง (หัวเราะ)
มีอยู่เรื่องหนึ่งอย่างกับนิยายแผลเก่าตอนพ่อไอ้ขวัญบุกไปขอเมียให้ไอ้ขวัญที่กำลังคร่ำครวญอยู่ คือว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนผมเป็นนักเรียนนอกญี่ปุ่นและยังโสด เคยรำพึงกับคุณพ่อว่าเสียใจเพราะสาวที่บ้านนอกมีคู่แล้ว ปรากฏว่าคุณพ่อเป็นทุกข์ตาม ไม่ถามอะไรผมเลยแต่ให้ญาติไปติดต่อทางโน้นและมาบอกผมว่าเขายังไม่มีแฟน
แต่คนที่ไม่มีแฟนนั่นมันคนน้อง แต่คนที่ผมหมายถึงคือคนพี่…
สุดท้ายแล้วเขินมากตอนคนพี่โทรมาบอกว่าน้องเขายังไม่มีแฟนนะ เลยต้องสารภาพบอกความจริงกันทางโทรศัพท์ สุดเขินเลยครับตอนนั้น พ่อนะพ่อ (หัวเราะ)
ตอนเติบโตเห็นชีวิตการทำงานและด้านอื่นอย่างไรบ้าง ?
คุณพ่อขยันมาก รักงานวิชาการ ช่วงไม่มีงานสภาให้ทำ ท่านก็ค้นคว้าเขียนหนังสือประวัติศาสตร์เศรษฐกิจทวีปยุโรป จากยุคดึกดำบรรพ์ถึง ค.ศ.1750 ท่านทุ่มเทเวลากับหนังสือเล่มนี้มาก จะพูดเสมอว่าการเข้าใจประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของโลกนั้นสำคัญมาก ไปอังกฤษท่านก็จะเข้าร้านหนังสือ อ่านเพลินจนโดนคนขโมยกระเป๋าเอกสาร ยังดีครับที่ขโมยยังใจดีเอาแต่เงินแล้วโยนกระเป๋าที่มีพาสปอร์ตทิ้งไว้ในที่จอดรถใกล้ๆ ตำรวจลอนดอนเลยหาคืนมาให้ได้
ช่วง 6 ตุลาคม 2519 เกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
คุณพ่อกลับจากประชุมระดับนานาชาติของสมาชิกสภาทั่วโลกที่สวิตเซอร์แลนด์ มาถึงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม ผมเป็นคนไปรับคุณพ่อจากสนามบินดอนเมืองและพาไปซ่อนตัว โดยญาติที่เป็นตำรวจสั่งให้พามาอยู่เงียบๆ ที่แฟลตตำรวจแถวเตาปูน แม้แต่แม่หรือพี่สาว ผมก็ไม่บอกว่าพาคุณพ่อไปไว้ที่ไหน
จากนั้นคุณพ่อก็จะให้คอยไปถามเพื่อนของท่านที่เป็นนักกฎหมายซึ่งมีฐานะจากตระกูลเก่าแก่ จำได้ว่าท่านมีออฟฟิศแถวสี่แยกคอกวัว ผมโทรติดต่อขอเข้าไปพบ ออฟฟิศท่านอย่างกับหนังเจมส์บอนด์เลยครับ มีประตูกระจกเงาให้ผลักเข้าไปเหมือนประตูลับ ท่านก็บอกว่าไม่เป็นไร ไม่มีใครทำอันตรายคุณพ่อหรอก คุณพ่อไม่ได้เป็นเป้าหมายอะไร
หลังจากนั้นคุณพ่อก็กลับมาอยู่บ้านที่ซอยอารีย์สัมพันธ์ จำได้ว่าท่านกำลังทำสวนก็มีคนเอาหนังสือพิมพ์ที่พาดหัวข่าวว่า “สมคิดข้ามไปลาว” มาให้ท่านดู ก็ตลกดี คงเป็นเพราะเราพาท่านไปเก็บตัวได้ดีมาก นักข่าวเลยไม่รู้ว่าอยู่กรุงเทพฯ มาโดยตลอด
ส่วนตัวมีส่วนช่วยการทำงานของคุณพ่ออย่างไรบ้าง ?
ทั้งครอบครัวที่มีคุณแม่ พี่สาวสามคนและผม จะช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งเมื่อมีโอกาส ผมเป็นผู้ชายก็จะได้บู๊กว่าหน่อย ยุคหนึ่งที่มักมีการก่อกวนกัน ก็มีเรื่องตื่นเต้นอยู่เรื่อยๆ เช่น ตอนเยี่ยมหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ได้ข่าวไม่ดีมาก็ต้องรีบถอยออกก่อนมืด ผมต้องนอนหมอบราบไปกับตำรวจคุ้มกันบนหลังคารถสองแถวที่เร่งความเร็วหนีไปตามทางลูกรัง
มีอีกครั้งที่ทุ่งศรีเมืองอุดร คุณพ่อปราศรัยได้ไม่นานก็มีรถบัสขนคนมา ผมยังวัยรุ่นก็ชอบถ่ายรูป แต่พอระเบิดควันลงเท่านั้นแหละ ก็วิ่งขึ้นรถปิกอัพที่กำลังออกตัวหนีแทบไม่ทัน (หัวเราะ)
แล้วคุณแม่ ?
คุณแม่เป็นคนไม่พูดไม่บ่นให้ได้ยินว่าเหตุการณ์อันตรายขนาดไหน แต่ท่านก็คอยระวังเรื่องความปลอดภัยของลูกๆ แทนคุณพ่อ ผมมาทราบภายหลังว่าที่เด็กๆ ต้องย้ายไปอยู่บ้านเพื่อนคุณแม่คนละแห่งอยู่พักหนึ่งเพราะถูกเตือนว่าช่วงนั้นอยู่บ้านอาจไม่ปลอดภัย
ความที่คุณแม่เป็นคนอังกฤษที่ไม่เก่งภาษาไทย ทำให้แม้คนจะด่าว่าขู่เรื่องคุณพ่อทางโทรศัพท์ บทความหนังสือพิมพ์หรือวิทยุ ท่านก็ไม่เข้าใจเท่าไรจึงไม่เครียดตามไปด้วยมากนัก (ยิ้ม) คุณแม่ชอบไปเยี่ยมชาวบ้านตามหมู่บ้านในภาคต่างๆ ช่วยนำสินค้าหัตถกรรมมาขายในหมู่เพื่อนฝูงชาวต่างประเทศของท่าน
อุดมการณ์ที่ท่านยึดถือมาโดยตลอด ?
ช่วยชาวบ้านที่ลำบากและมาร้องทุกข์ จะเห็นภาพคุณพ่อนั่งพิมพ์สองนิ้วอย่างคล่องแคล่วที่เครื่องพิมพ์ดีดตั้งแต่กลางวันจนดึกดื่นเพื่อทำเรื่องร้องทุกข์ให้ชาวบ้าน ทั้งในช่วงที่ได้เป็นผู้แทนและช่วงที่ไม่ได้เป็น นั่นคือสิ่งที่ท่านยึดเป็นหลักในการทำงานมากที่สุด
ทำไมท่านชอบเสียงแคน ?
น่าจะชอบมาตั้งแต่เกิดมั้งครับ ดนตรีท้องถิ่นทุกอย่างท่านชอบ การร้องหมอลำเล่าเรื่องต่างๆท่านชอบฟังมาก แต่ท่านเองเล่นเครื่องดนตรีไม่เป็น คงเป็นเพราะไม่มีเวลาให้ด้านนี้ ด้วยต้องทำงานไปพร้อมกับเรียนหนังสือตั้งแต่เล็ก ท่านถูกพี่ชายบังคับให้จากบ้านเกิดตั้งแต่อายุ 11 ปี โดยพี่ชายให้ขี่ซ้อนหน้ารถจักรยานถีบไปตามทางเกวียน 70 กว่ากิโลเมตรเข้าสู่เมืองอุดรธานีมาฝากกับภรรยาข้าราชการในเมืองอุดรให้อาศัยอยู่บ้านช่วยงานพร้อมกับเรียนหนังสือ
ดังนั้น ท่านจะผูกพันกับพี่ชายมาก ที่สำคัญพี่ชายของท่านจะเป็นคนที่ชอบเป่าแคน เมื่อถึงเวลาที่ต้องแยกจากกัน เสียงแคนจึงเป็นเสมือนตัวแทนของพี่ชายของท่านเสมอ
ชีวิตของ ศักดา ศรีสังคม กับเสียงแคนที่สร้างโอกาส
ถามถึงความทรงจำเกี่ยวกับ พ.อ.สมคิด ผู้เป็นพ่อไปมาก
ศักดาเองก็ได้เผยชีวิตส่วนตัวให้ฟังกับความทรงจำในมุมหนึ่งกับเรื่อง “แคน”
ศักดา เล่าว่า จุดเริ่มต้นคือคุณพ่อพาหมอแคนที่ชื่อว่าผ่าน เป็นคนตาบอดซึ่งเป่าแคนเก่งมากให้มาพักที่บ้านในกรุงเทพฯ อยู่ 2-3 เดือนเพื่อสอนตน
“พี่ผ่านเป่าลายเพลงเป็นท่อนๆ ให้ผมดูนิ้วและฟังเสียง แล้วผมก็เป่าตาม จากนั้น ช่วงปิดเทอมผมก็ตามไปเรียนกับพี่ผ่านต่อที่หมู่บ้านเขาในต่างจังหวัด
“บาง วันก็พายเรือตามไปนอนเรียนที่แพติดสะดุ้งหรือยอขนาดใหญ่ไว้จับปลาที่ห้วยน้ำ ใหญ่ พี่ผ่านจับปลาไปด้วย สอนแคนไปด้วย แกตาบอดแต่มีเมีย มีลูก
“สอง คนผัวเมียหาปลาได้ก็ทำปลาร้าปลาแดกใส่ไหบรรทุกท้ายรถสามล้อเครื่อง ที่พี่ผ่านเป็นคนขับแล้วเมียเป็นคนบอกทางไปขายถึงขอนแก่น” ศักดาเล่า
ต่อมาเขาก็ไปเรียนกับคุณลุง “คำผอง” พี่ชายของคุณพ่อ เป็นลุงคนที่พ่อผูกกันมากและเป็นคนเดียวกันกับที่บังคับให้พ่อเรียนหนังสือ
“คุณลุงมีประวัติที่น่าทึ่งมาก ท่านเป็นทั้งกำนัน พ่อค้า ครูประชาบาล ท่านเป็นคนรูปหล่อสูงเพรียว เดินทางค้าขายทั้งสองฝั่งโขงด้วยสมัยนั้นแม่น้ำโขงไม่ได้เป็นพรมแดนแต่เป็น เส้นทางคมนาคมไปมาหาสู่กัน
“เล่าลือกันว่าท่านจะมีแคนติดมือไปด้วย และตกค่ำจะเป่าเพลงเย็นๆ จีบสาวในหมู่บ้านที่ท่านไปค้างแรม ชาวบ้านสมัยนั้นมักจะพูดให้หัวเราะกันว่าสองมือก็ไม่พอนับจำนวนผู้สาวที่ ท่านมีตามหมู่บ้านสองฝั่งโขง”
หลังจากเล่าเรียนจนเป่าได้ชำนาญ ต่อมา ศักดาได้ทุนไปเรียนมัธยมปลายที่แคนาดาก็เอาแคน พิณ และหึนไปแสดงด้วย จนได้อยู่ในคณะวัฒนธรรมของโรงเรียนเวลาแสดงงานต้อนรับแขก
“ตอนนั้นมี เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เป็นประธานและพระองค์ท่านก็เสด็จมาเยี่ยมโรงเรียน ผมเป็นหนึ่งในนักดนตรีที่ได้แสดงถวายเลยได้รับคัดเลือกให้นั่งโต๊ะทานอาหาร เย็นกับพระองค์ท่านในโรงอาหารพร้อมกับนักดนตรีอื่นอีก 6-7 คน ก็ต้องขอบคุณแคนนี่แหละครับ
“นอกจากนี้ตอนโบกรถข้ามประเทศแคนาดาแปดพันกว่ากิโลเมตร ก็หอบแคนไปเป่าให้คนที่ใจดีรับเราไปส่งด้วย จนบางคนพาไปพักบ้านเลี้ยงดูอย่างดี ไปถึงเมืองหลวงออตตาวาก็ลองยืนเป่าหาตังค์จนคนมามุงดูกันมากมาย
“มีงานมหกรรมดนตรีในสวนสาธารณะเมืองแวนคูเวอร์ก็เอาแคนตามไปแจมกับเขาด้วย เขียนจดหมายมาเล่าให้คุณพ่อและญาติที่อุดรอ่าน ทุกคนก็ดีใจและภูมิใจ”
ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งคือเสียงแคนนี่แหละที่เป็นจุดกำเนิดของ “มูลนิธิกองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนา” ของ พ.อ.สมคิด
“ผมได้ทุนต่อปริญญาโทที่ญี่ปุ่นก็เอาไปเป่าจนได้เพื่อนชาวญี่ปุ่น ที่หลังใหลในเสียงแคนและตามมาดูบ้านเกิดของคุณพ่อ จนเกิดเป็นโครงการทุนการศึกษาช่วยเหลือเด็กยากจนที่ได้ผู้บริจาคมากมายจาก ญี่ปุ่นจนช่วยเด็กได้ทั้งภาคอีสาน
“สุดท้ายก็พัฒนากลายเป็นมูลนิธิ กองทุนการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่คุณพ่อเป็นประธานและขยายกิจกรรมไปภาคอื่นของ ประเทศรวมทั้งประเทศเพื่อนบ้านด้วย”
ศักดาทิ้งท้ายกับความทรงจำที่มีต่อเสียงแคนที่ได้เปิดโอกาสมากมายในชีวิตของเขา
รวมทั้งโอกาสให้ความสุขแก่บิดาในช่วงบั้นปลาย
The post มองชีวิตสมคิด ศรีสังคม ผ่านสายตาลูกชาย-ศักดา ศรีสังคม appeared first on มติชนออนไลน์.