ชุมชนป้อมมหากาฬ เป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่มีความขัดแย้งในเรื่องการอนุรักษ์และพัฒนามากที่สุดแห่งหนึ่งในยุคปัจจุบัน
เป็นตัวแบบที่ดีในการศึกษาเรื่องการพัฒนาเมืองเก่าที่น่าสนใจ ไม่แม้แต่วงวิชาการไทย แต่นักวิชาการระดับโลกต่างก็สนใจในพื้นที่นี้
อดีตที่ผ่านมา ภาครัฐมุ่งปรับปรุงพื้นที่ตามแนวทางที่ถูกวางไว้โดยแผนแม่บทของคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ต้องการอนุรักษ์และปรับปรุงพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ให้ย้อนกลับไปมีบรรยากาศในสมัยรัชกาลที่ 5
โดยมุ่งลดจำนวนคนที่อยู่อาศัยภายในพื้นที่ (แต่กลับเน้นเพิ่มปริมาณนักท่องเที่ยว) ในขณะเดียวกันก็เน้นการเพิ่มพื้นที่สีเขียว (สวนสาธารณะ) ให้มากที่สุดเพื่อเปิดมุมมองต่อโบราณสถานสาคัญ
ซึ่งพื้นที่ป้อมมหากาฬได้ถูกกำหนดไว้เพื่อทำหน้าที่เป็นสวนสาธารณะขนาดเล็ก (pocket park) เอาไว้เพื่อเปิดมุมองต่อป้อมมหากาฬ กำแพงเมืองและภูเขาทอง
แช่งแข็งกรุงรัตนโกสินทร์
แผนดังกล่าวเป็นการพัฒนาพื้นที่เมืองแบบแช่แข็งความเปลี่ยนแปลง ละเลยความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ที่ซ้อนทับอยู่บนพื้นที่เมือง ขาดมุมมองในเชิงวิถีชีวิตของเมืองที่ต้องมี “คน” เป็นส่วนประกอบสาคัญ ที่มิใช่มีแต่สิ่งก่อสร้างที่แห้งแล้งไร้ชีวิตเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้ไม่ตอบสนองต่อข้อเท็จจริงทางวิชาการในโลกปัจจุบันอีกต่อไป
เมืองเก่าต่างๆ ทั่วโลกต่างก็ยกเลิกวิธีการดังกล่าวไปเกือบหมดสิ้นแล้ว
แต่น่าแปลกที่คณะกรรมการกรุงฯ และภาครัฐไม่เคยทบทวนแผนแม่บทดังกล่าวเลยมุ่งแต่จะอาศัยอานาจตามข้อกฎหมายที่แข็งกระด้างเป็นเครื่องมือในการจัดการความขัดแย้ง จนปัญหาได้ทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้ปี 2548 ผู้บริหารกรุงเทพมหานครในขณะนั้นได้พยายามเสนอรูปแบบใหม่ของการจัดการพื้นที่ จนนำมาสู่การว่าจ้างมหาวิทยาลัยศิลปากรทำวิจัยเสนอทิศทางใหม่
แต่สุดท้ายข้อเสนอก็ถูกปฏิเสธ และปัญหายังคงถูกซุกไว้ใต้พรม จนมาถึงปัจจุบัน
ปัญหาได้ปะทุขึ้นหลังจากที่ผู้บริหารชุดปัจจุบันพยายามอีกครั้งที่จะไล่รื้อชุมชนตามแผนที่ล้าสมัยไปแล้วกว่า 30 ปี

อนุรักษ์และพัฒนา-ไม่แช่แข็ง
แม้งานวิจัยดังกล่าวจะล่วงเลยมากว่าสิบปี แต่แนวคิดโดยรวมที่จะพัฒนา ผู้เขียนเชื่อว่ายังคงทันสมัย และสามารถนำมาใช้เป็นแนวทางในการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่ได้ ซึ่งมีรายละเอียดโดยสังเขปดังต่อไปนี้
หนึ่ง พัฒนาให้เป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์ชุมชนบ้านไม้โบราณชานกำแพงพระนครโดยมีรูปธรรมคือ การรักษาบ้านไม้โบราณที่มีคุณค่าและรักษารูปแบบการจัดวางผังและการอยู่อาศัยของคนในพื้นที่ชานกำแพงพระนคร ซึ่งกล่าวได้ว่าหลงเหลืออย่างสมบูรณ์เพียงแห่งเดียวแล้วในกรุงรัตนโกสินทร์
สอง สร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมโดยพัฒนาพื้นที่ทั้งชุมชนให้เป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิต และปรับอาคารเก่า 4 หลังให้เป็นพิพิธภัณฑ์ถาวรที่เล่าประวัติศาสตร์ 4 เรื่อง คือ พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สังคมพื้นที่ชานกำแพง,ประวัติศาสตร์ลิเกสยาม, พิพิธภัณฑ์สารพัดเก็บของคุณเฉลิมศักดิ์ รามโกมุท, และ พิพิธภัณฑ์ว่าด้วยอาชีพของผู้คนชุมชนป้อมมหากาฬ โดยทั้งหมดจะกระจายอยู่ในส่วนต่างๆ ของพื้นที่
สาม ปรับปรุงตรอกพระยาเพชรฯ ให้กลายเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจของชุมชน และสร้างสะพานไม้เชื่อมจากตรอกพระยาเพชรฯ ข้ามฟากไปสู่ภูเขาทอง ซึ่งจะทำให้เกิดการไหลเวียนเชื่อมต่อของผู้คน นักท่องเที่ยว และกิจกรรมต่างๆ ระหว่างสองฝั่งคลองเพิ่มมากขึ้น
สี่ เพิ่มพื้นที่สีเขียวและสวนสาธารณะ จากเดิมมีพื้นที่สีเขียวเพียง 44% เป็น 63% โดยพัฒนาพื้นที่ดังกล่าวเป็น “ลานกิจกรรม” ที่มีกิจกรรมหมุนเวียน มากกว่าการปล่อยให้เป็นพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งทั่วไปที่ไร้คนใช้งาน โดยลานกิจกรรมบริเวณหัวป้อมมหากาฬ ซึ่งเป็นพื้นที่โล่งผืนใหญ่ที่สุดของพื้นที่ พัฒนาให้กลายเป็นลานกิจกรรมของทั้งชุมชนและสังคมเมือง เน้นสร้างกิจกรรมขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยมี “ลิเก” เป็นกิจกรรมหลักของพื้นที่
ห้า ปรับปรุงท่าเรือสมัยรัชกาลที่ 6 และท่าเรือหางยาว ภายในป้อมมหากาฬเพื่อให้พื้นที่ชุมชนกลายเป็นจุดเชื่อมต่อการเดินทางทางเรือที่สำคัญอีกแห่งหนึ่ง

พื้นที่สีเขียวแห้งแล้ง-ไม่ทำ
ในทัศนะผู้เขียน ปัจจัยสาคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายดังกล่าวได้อย่างแท้จริง ต้องประกอบด้วย 3 ส่วน คือ
1. ความเข้มแข็งและความจริงใจของชาวบ้านที่อยู่อาศัยในพื้นที่ป้อมมหากาฬที่จะต้องเสียสละตนเองเพื่อทำการอนุรักษ์ประวัติศาสตร์ของพื้นที่และพัฒนาชุมชนให้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ โดยคำนึงถึงประโยชน์ต่อสาธารณะเป็นสำคัญ
2. ความกล้าหาญทางวิชาการของคณะกรรมการกรุงฯ ที่ต้องกล้าที่จะออกมายอมรับความผิดพลาดของตนเอง และเสนอทางออกใหม่ในการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่กรุงรัตนโกสินทร์ให้แก่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด
3. ความกล้าหาญของภาครัฐที่จะแก้ไขสิ่งผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องออกมาแก้ไขพระราชกฤษฎีกากำหนดขอบเขตที่ดินที่จะเวนคืนบริเวณป้อมมหากาฬ พ.ศ. 2535 ให้สอดคล้องกับความเป็นจริงในโลกปัจจุบัน
เพื่อให้พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่มีชีวิตและมีประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง
มิใช่พื้นที่สีเขียวที่แห้งแล้งไร้ชีวิตตามแนวคิดดั้งเดิมที่พิสูจน์แล้วในงานวิชาการมากมายว่าเป็นแนวทางที่ผิดพลาด

ไม่ใช่ประวัติศาสตร์เพิ่งสร้าง
ธวัชชัย มหาวรคุณ ประธานชุมชนป้อมมหากาฬ กล่าวว่า ครอบครัวของตนอยู่ที่นี่ตั้งแต่รุ่นทวด รวมแล้ว 111 ปี ไม่ใช่เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ใหม่
นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายครอบครัวที่อยู่ในชุมชนมาอย่างยาวนานเช่นกัน โดยมีอาชีพทำกรงนกเขาอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่สืบต่อมาถึง 3 ชั่วอายุคน
กระทั่งเมื่อ พ.ศ. 2546 ส่วนหนึ่งต้องย้ายออกไป เพราะ กทม. ต้องการใช้พื้นที่ทำสวนสาธารณะ
“ยืนยันว่าตระกูลผมอยู่มาร้อยกว่าปี แบบนี้ถือเป็นคนดั้งเดิมได้ไหม เพราะถ้าจะนับเอาแต่คนที่อยู่มาตั้งแต่แรก แล้วมีอายุมาถึงปัจจุบันแล้วถึงจะเป็นคนดั้งเดิม ต้องไปหาทวด ซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว คงไม่มีใครอายุยืนได้ถึง 200 ปี ส่วนอาชีพทำกรงนกที่ถูกมองว่าเป็นอาชีพที่ทำเพียงครัวเรือนเดียว จะนับเป็นมรดกทางวัฒนธรรมไม่ได้นั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะเขาทำมา 3 ชั่วอายุคน และทำกันหลายบ้าน แต่เพิ่งถูก กทม. ให้ย้ายออกเพื่อทำสวนสาธารณะ เลยเหลืออยู่บ้านเดียว ทำไมเจ้าหน้าที่ไม่เอาตรงนี้มาพูด” นายธวัชชัยกล่าว
The post ไม่สีเขียวแห้งแล้ง ไม่แช่แข็งเมืองเก่า ชุมชนป้อมมหากาฬ แผนแม่บทเพื่ออนุรักษ์และพัฒนา appeared first on มติชนออนไลน์.