ตามกันมาติดๆ ตั้งแต่ข่าวขึ้นภาษีบุหรี่สูงถึง 90% เต็มเพดานภาษียาสูบ สะเทือนใจสิงห์อมควันแล้วยังมีข่าวการกวดขันภาษีสินค้าแบรนด์เนม แล้วยังเล็งหาช่องเอาผิดคนใช้ของปลอมอีกด้วย
นับเป็นมาตรการจัดการสินค้าฟุ่มเฟือยที่เข้มงวดขึ้น แต่หมายความว่ารัฐจะหาเงินเข้ากระเป๋าได้มากขึ้นด้วย
แน่นอน ประเด็นสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์นั้นมีความผิดอย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่ภาษีบุหรี่ที่เหล่านักสูบโอดครวญว่า “มหาโหด” คงต้องชอกช้ำกันบ้าง เพราะบุหรี่ที่ปกติราคาไม่ได้ถูกอยู่แล้ว จากนี้ไปราคายังจะพุ่งขึ้นสูงอีก
ที่สำคัญ คนที่จะโดนผลกระทบเต็มๆ จาก 2 มาตรการด่วนโดยรัฐบาลนี้ หนีไม่พ้นคนชนชั้นกลางและคนชนชั้นล่างที่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังมาให้ซื้อของแบรนด์เนมจริงๆ หรือบุหรี่รสอร่อยราคาแสบกระเป๋ากันบ่อยๆ นัก
วิเคราะห์ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเข้มข้นกับนักวิชาการแต่ละด้าน
ตั้งแต่สาเหตุจูงใจการออกนโยบาย จนถึงผลกระทบแต่ละฝ่าย
ภาษีบาป อุดรอยรั่วเศรษฐกิจ
ด้าน ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มองว่า สิ่งที่เห็นในขณะนี้คือรัฐบาลมีความพยายามที่จะเก็บภาษีต่างๆ มากขึ้น ซึ่งภาษีที่สามารถเรียกเก็บได้ง่ายที่สุด คือ กลุ่มสินค้าที่เรียกว่า ภาษีบาป (Sin tax) ซึ่งหมายถึงภาษีสุราและยาสูบ อันกิจกรรมที่รัฐไม่สนับสนุนเนื่องจากเห็นว่าทำให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพ และเกิดค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพขึ้นในอนาคต จึงได้นำสู่การขึ้นภาษีบุหรี่อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ส่วนสาเหตุของความพยายามในการเรียกเก็บภาษีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงภาษีบุหรี่ด้วยนั้น ธนสินมองว่า ได้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางและสภาวะปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่กำลังประสบปัญหาอยู่ ณ ขณะนี้
“อย่างไรก็ตาม ปัญหาด้านสภาวะเศรษฐกิจนั้นเราต้องมองเป็น 2 ด้าน คือ ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ตอนนี้เราต้องยอมรับก่อนว่าปัจจัยภายนอกนั้นมีความรุนแรงมาก คือเรียกได้ว่าทั่วโลก ขนาดสหรัฐอเมริกาที่ดูดีที่สุดยังอยู่ในสภาวะฟื้นตัว และยังดูร่อแร่อยู่ ยุโรปเองก็ค่อยๆ ดีขึ้น ขณะที่จีนเองก็ท่าไม่ดี หนี้เสียหรือเอ็นพีแอลก็เพิ่มขึ้นเยอะ”
“ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นหัวจักรเศรษฐกิจโลกซึ่งก็กำลังแย่ แล้วประเทศไทยเองเราต้องยอมรับว่าภาคส่งออกของเราใหญ่มาก ทีนี้หากภายนอกเติบโตช้าลง ประเทศไทยก็ต้องเกิดผลกระทบอย่างแน่นอน”
“สิ่งที่ตามมาก็คือถ้าภาคธุรกิจของประเทศไทยเติบโตได้น้อยลงในปีนี้การเก็บภาษีของภาครัฐก็จะได้น้อยลงไปด้วย ภาครัฐจึงจำเป็นต้องหาเม็ดเงินมา กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรายได้ของภาครัฐก็คือการเก็บภาษี ดังนั้นจึงต้องพยายามเก็บให้ได้ทุกเม็ด และขมวดมาสู่ความพยายามในการเก็บภาษีต่างๆ เพิ่มมากขึ้น” ธนสินกล่าวสรุป
ขณะที่ประเด็นการเพิ่มความเข้มงวดกรณีสินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ต่างๆ ธนสินกล่าวว่า ในมุมมองด้านเศรษฐศาสตร์ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะนำไปสู่การสนับสนุนในภาคเอสเอ็มอี หรือกลุ่มธุรกิจเล็กๆ เพิ่มมากขึ้นได้ในอนาคต ซึ่งกลุ่มธุรกิจเหล่านี้จะเติบโตขึ้นได้ต้องมีการพัฒนาแบรนด์ของตนเองขึ้นมา ซึ่งการที่สนับสนุนไม่ให้ใช้สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ หรือลอกเลียนคนอื่น มันจะทำให้เกิดการกระตุ้นให้ทำแบรนด์ของตนเองขึ้นมาเพราะว่ามันมีมูลค่า
“สิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว แต่จะต้องมีแผนการพัฒนาต่างๆ ควบคู่ไปด้วย และต้องใช้เวลา เพราะปัจจุบันเอสเอ็มอีเองก็ประสบปัญหาเองด้วย เพราะสายป่านไม่เท่ากับบริษัทใหญ่ โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจซบเซานั้น เราจะเห็นได้ว่าค่าเช่าก็ต้องจ่าย ค่าพนักงานก็ต้องจ่ายเรื่อยๆ คนที่เงินทุนน้อยกว่าจะประสบปัญหามาก อีกอย่างเอสเอ็มอีไม่ค่อยมีสินทรัพย์มาก จะไปกู้แบงก์ช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี แบงก์ก็ให้ได้จำกัด ถ้าหมุนเงินไม่ทันก็จะลำบาก” ธนสินกล่าว

ขึ้นภาษีไม่แก้ปัญหาคนสูบบุหรี่
ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองนโยบายการจัดการสินค้าฟุ่มเฟือยนี้ว่า ในกรณีการขึ้นภาษีบุหรี่กับการป้องกันไม่ให้คนสูบเป็นคนละเรื่องกัน การรณรงค์ไม่ให้คนสูบบุหรี่เป็นเรื่องหนึ่งไม่สามารถเชื่อมโยงได้ เพราะปัจจัยในการสูบบุหรี่ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าพอบุหรี่แพงแล้วคนจะเลิกสูบบุหรี่
“ถ้าเขาต้องการสูบบุหรี่และมีกำลังซื้อได้ เขาก็ยังซื้อบุหรี่ มาตรการรณรงค์ลดการสูบบุหรี่ควรทำด้วยมาตรการอื่น การขึ้นกำแพงภาษีไม่ใช่การแก้ปัญหาหลัก แต่เรื่องหนึ่งคือรัฐเก็บภาษีได้ไม่ตามเป้า จึงต้องหาภาษีจากช่องทางอื่นเข้ามา บุหรี่จึงเป็นหนึ่งในช่องทางที่รัฐจะหารายได้เพิ่ม ไม่ได้มองว่าเป็นทางออกของการแก้ปัญหาหรือรณรงค์ลดการสูบบุหรี่”
เช่นนี้แล้วปัญหาเศรษฐกิจจึงเป็นปัจจัยในการดำเนินนโยบายนี้?
ดร.เกษมบอกว่า คิดว่าใช่ เพราะการรณรงค์ลดสูบบุหรี่มีกิจกรรมทางสังคม หรือรูปแบบการจัดเชิงกายภาพจำนวนหนึ่งที่ชัดเจนว่าคนจะสูบบุหรี่น้อยลง หรือถูกบีบให้ไปสูบในบางพื้นที่ แต่ไม่สามารถห้ามไม่ให้คนสูบบุหรี่ได้ 100%
ธนสิน ถนอมพงษ์พันธ์-เกษม เพ็ญภินันท์-ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น
“เรื่องนี้ไม่ได้นำไปสู่ประเด็นเรื่องความเท่าเทียมหรือไม่เท่าเทียมในการสูบบุหรี่ได้หรือไม่ได้ บุหรี่ไม่ใช่สินค้าจำเป็น เป็นความต้องการของแต่ละคนในการบริโภคเท่านั้นเอง” เกษมกล่าว
ความได้เปรียบ-เสียเปรียบทางการค้า
ส่วนมาตรการกวดขันสินค้าแบรนด์เนม อ.เกษมบอกว่า เรื่องนี้มี 2 ส่วน 1.การขึ้นภาษีสินค้าแบรนด์เนม เพื่อเก็บภาษีเข้ารัฐให้มากขึ้น 2.สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์หรือเลี่ยงภาษีนำเข้า ทำให้รัฐขาดรายได้ จึงมีมาตรการต่างๆ เพื่อคุมการจัดการรายได้ตัวภาษีของรัฐ ซึ่งในแง่หลักการทุกคนรู้ดีว่า สินค้าหนีภาษี สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ ไม่ใช่เรื่องที่ถูกควร
ประเด็นที่ควรสนใจในมาตรการนี้ อ.เกษมชี้ไปที่ผู้ประกอบการมากกว่าผู้บริโภค
“คำถาม คือ ผู้ประกอบการยินยอมหรือเปล่า ราคาที่สูงขึ้นจากกำแพงภาษีในมุมมองผู้ประกอบการอาจไม่ได้เปรียบส่วนนี้ แต่มีกลุ่มหนึ่งที่ได้เปรียบเรื่องกำแพงภาษี คือ พวกที่ทำการค้าสินค้าปลอดภาษีโดยถูกกฎหมาย สิ่งที่รัฐต้องพิจารณาคือความได้เปรียบในระหว่างผู้ประกอบการค้าตรงนี้มากกว่าผู้บริโภค ว่ามีความลักลั่นหรือมีความได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างกลุ่มบริษัทนำเข้าแล้วเสียภาษีตามกำแพงภาษีกับกลุ่มบริษัทที่ปลอดกำแพงภาษี กลุ่มผู้ประกอบการดิวตี้ฟรีได้เปรียบในการแข่งขันนี้อยู่แล้ว เพราะเขาสามารถขายสินค้าในราคาปลอดภาษี ในขณะที่ผู้นำเข้าปกติจำเป็นจะต้องตั้งราคาบวกภาษีไปด้วย
“ประชาชนไม่ได้เสียเปรียบในเกมนี้ ถ้าคุณมีความสามารถที่จะบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยได้ คุณก็ต้องยอมแบกรับต้นทุนส่วนนี้ นี่คือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นทั่วโลกที่ราคาสินค้าฟุ่มเฟือยมีราคาแพงกว่าด้วยกำแพงภาษี ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยประเทศเดียว เพียงแต่ว่าช่องทางในการบริโภคได้ ไม่ได้มีกลุ่มคนกว้างมากนัก ขณะที่ประเทศที่มีเศรษฐกิจดีมีจำนวนคนบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยเหล่านี้มาก จึงมองว่าเป็นช่องทางที่รัฐสามารถหารายได้ผ่านกำแพงภาษี” เกษมกล่าว
ผลกระทบต่อคนแต่ละชนชั้น
ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น นักวิชาการอิสระ ให้ความเห็นว่า การขึ้นภาษีบุหรี่ ด้านหนึ่งก็เป็นการบีบให้เหล่าบุหรี่หนีภาษีเติบโตขึ้น และเชื่อว่าคนจนหรือคนไม่มีเงินมีทางออกเยอะ เช่น หากหาซื้อบุหรี่ทั้งซองในร้านทั่วไปไม่ได้ ก็ไปซื้อแบบแบ่งขายตามร้านโชห่วยหรือร้านชำเอาได้
“และคนที่จนจริงๆ เขาก็ดูดยาเส้นกัน พันกันเอง” เป็นท้ายประโยคที่กลั้วเสียงหัวเราะเบาๆ
แน่นอนว่ามาตรการของรัฐเช่นนี้กระทบต่อประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะคนชนชั้นล่างที่อาจมีเงินหมุนเวียนในมือน้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังพอมีทางออกให้ได้เดินกันต่อไป เพราะพ่อค้าแม่ค้าเองก็เปิดช่องด้วยการแบ่งขายบุหรี่ ซึ่งก็ใช่-ว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมายเพราะบุหรี่นั้นต้องขายเป็นซอง
และมาตรการเช่นนี้จะทำให้บุหรี่หนีภาษีเติบโตขึ้นเพราะเป็นกลไกตลาดอยู่แล้ว ภาษีบุหรี่ที่ขึ้นมาทำให้บุหรี่ที่หนีภาษีส่วนหนึ่งซึ่งเข้ามาตามชายแดนเป็นที่ต้องการมากขึ้น นักสูบบางคนก็ติดยี่ห้อ จึงเลือกซื้อบุหรี่หนีภาษีซึ่งถูกกว่า
ทั้งนี้ ที่เขาเพิ่มภาษีบุหรี่เพราะรัฐไม่มีเงินจะใช้แล้วในตอนนี้ เนื่องจากค้าขายแย่ เศรษฐกิจแย่ การจัดเก็บภาษีจากเอกชนที่ธุรกิจก็ไม่ค่อยดีก็เป็นเรื่องลำบาก
“คืออะไรเก็บได้ก็เอา หาทางขึ้นภาษีได้ก็ขึ้น เพราะรัฐเองต้องใช้เงินเหมือนกัน อะไรรีดได้ก็รีด”
ทั้งนี้ เป็นเรื่องปกติที่คนชนชั้นล่างกว่าจะได้รับผล กระทบ โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีเพิ่ม คนจนๆ ที่จนอยู่แล้วก็เข้าถึงทรัพยากรได้ยาก
“คนจนประเทศนี้จะอย่างไรก็โดนเหยียบซ้ำ แต่เขาอาจหาทางออกได้เองบ้าง เพราะที่สุดแล้ว เขาเองก็ชินกับการถูกกดขี่”
อย่างไรก็ตาม ประเด็นการปราบปรามของแบรนด์ เนมปลอมนั้น ภาคิไนย์มองว่าเป็นเรื่องประเภทเดียวกับ “ไฟไหม้ฟาง”
“ต้องเข้าใจว่าประเทศไทยเป็นประเทศคอร์รัปชั่น โครงสร้าง เศรษฐกิจ การเมือง สังคม เป็นโครงสร้างที่เดินไปด้วยระบบคอร์รัปชั่น”
ดังนั้น การปราบปรามของปลอมจึงเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราว ประเภทที่ว่าปราบไปได้สัก 3 เดือนก็หายจากการเป็นกระแส ซึ่งนักวิชาการหนุ่มวิเคราะห์ว่า มาตรการนี้ของรัฐบาลไม่อาจทำให้คนรวยสะเทือนอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ภาคิไนย์มองว่าการปราบของแบรนด์ เนมปลอมไม่อาจนำเงินเข้าภาครัฐได้มากมายนัก ขณะที่การขึ้นภาษีบุหรี่นั้นทำเงินได้มหาศาลทีเดียว เพราะถึงอย่างไรก็ยังมีคนที่ต้องสูบอยู่ เพียงแต่ต้องจ่ายให้แพงขึ้นเท่านั้น
สำหรับมาตรการเหล่านี้ อย่างมากที่สุดก็ทำให้รัฐมีช่องทางการหารายได้เข้ารัฐมากขึ้นโดยการขึ้นภาษีบุหรี่เพราะคนไทยสูบเยอะ ส่วนตัวเชื่อว่าคนสูบบุหรี่อาจไม่ลดลง แต่ปัญหาคือหากตลาดบุหรี่หนีภาษีโตขึ้น รัฐจะจัดการอย่างไร
“อย่างนโยบายนี้ส่งผลต่อคนชั้นกลาง ไปจนถึงชนชั้นล่างโดยตรงเพราะคนเยอะ แล้วคนที่รวยมากๆ มักมีช่องทางในการติดต่อกับอำนาจรัฐได้มากกว่าเหล่าคนตัวเล็ก ที่เหยียบได้ง่ายกว่าอยู่แล้ว” นักวิชาการหนุ่มสรุป
The post มองมาตรการคุม ‘สินค้าฟุ่มเฟือย’ บุหรี่-ของแบรนด์เนม appeared first on มติชนออนไลน์.