Quantcast
Channel: ประชาชื่น –มติชนออนไลน์
Viewing all 6405 articles
Browse latest View live

หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (3)

$
0
0

ได้กล่าวมาแล้วว่าคนอินเดียนับถือยกย่องหนุมานว่าเป็น “สังกัตโมจัน” คือเป็นผู้ปลดเปลื้องจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ความเชื่อดังกล่าวไม่ใช่เรื่องความเชื่อในระดับชาวบ้าน แม้ในพวกที่มีความรู้สมัยใหม่ก็เชื่อกันว่าหนุมานเป็นผู้เชี่ยวชาญในสรรพ วิทยาหลายสาขา จึงได้ยกย่องให้เป็น “มหาเทพแห่งสรรพวิทยา” ก็มี

หลายปีมาแล้วหนังสือพิมพ์ได้ลงข่าวว่า หนุมานได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกรรมการบริหารวิทยาลัยเทคโนโลยีและ บริหารจัดการซาร์ตาร์ ภากัตซิงห์แห่งอินเดีย ที่เปิดเมื่อ พ.ศ.2550

ข่าวการแต่งตั้งหนุมานซึ่งไม่มีตัวตน ให้เป็นประธานกรรมการบริหารวิทยาลัยไม่ใช่ข่าวลือ หรือข่าวที่พูดกันอย่างเลื่อนลอย เพราะทางวิทยาลัยได้จัดห้องทำงานไว้ห้องหนึ่ง เหมือนกับว่าหนุมานได้มานั่งทำงานจริงๆ คือให้มีโต๊ะทำงาน มีเครื่องคอมพิวเตอร์ และมีเก้าอี้ 4 ตัว หันเข้าหาที่นั่งของประธาน (หนุมาน) ซึ่งว่างเปล่า แต่ดูแล้วก็อยู่ในลักษณะพร้อมที่จะมีการประชุมได้ทันที

นอกจากนี้ ภายในห้องยังมีกลิ่นกำยานหอมกรุ่น เหมือนเข้าไปในเทวาลันที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้าผู้ที่จะเข้าไปในห้องนี้จะ ต้องถอดรองเท้าเดินเท้าเปล่าเข้าไปเช่นเดียวกับเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลาย

เมื่อมีผู้สอบถามนายวิเวก กังทิ ผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารวิทยาลัย ถึงเหตุที่ทำเช่นนี้ ก็ได้รับคำตอบว่า ที่ทำเช่นนั้นเพราะมีความเชื่อว่างานใดก็ตามที่เทพหนุมานอำนวยพร งานนั้นก็ย่อมจะประสบความสำเร็จเรียบร้อย เพราะหนุมานเคยรับใช้พระรามทำงานที่ยากสำเร็จมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการยกภูเขาทั้งลูก หรือกระโดดข้ามมหาสมุทร ซึ่งเป็นงานที่ยากก็ไม่พ้นความสามารถ จริงอยู่ที่หนุมานไม่เคยทำงานด้านบริหารธุรกิจ แต่ก็เชื่อว่าจะไม่มีปัญหาอะไร นี่คือศรัทธาของคนอินเดียที่มีต่อหนุมาน

นานมาแล้วครูสอนวรรณคดีคนหนึ่งปรารภว่าเรื่องรามเกียรติ์ไทย ถ้าไม่ได้หนุมานทั้งพระรามพระลักษณ์ก็ตายหมด เมื่อพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์ถ้าหนุมานไปเอาสังกรณีที่ภูเขาสรรพยามาแก้ ไม่ทันก็ตาย แล้วเขาถามว่าที่อินเดียเรียกภูเขานี้ว่าอย่างไร ผู้เขียนตอบไม่ได้เพิ่งมาทราบภายหลังว่าหนุมานไปเก็บ “สัญชีวนี บูตี” (Sanjuvni Bootee) ที่ภูเขาหิมาลัย เคยอ่านรายงานของนักสำรวจชาวญี่ปุ่นไปสำรวจพืชสมุนไพรและไม้มีประโยชน์บน ภูเขาหิมาลัย ก็ว่ามีสมุนไพรอยู่หลายชนิด แสดงว่ามีเค้าความจริงอยู่มาก

The post หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (3) appeared first on มติชนออนไลน์.


ภาณุ ตรัยเวช “ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง”

$
0
0

สำหรับประเทศเยอรมนี ในห้วงทศวรรษเกือบ 100 ปีก่อนหน้านี้ หน้าประวัติศาสตร์และความสนใจของผู้คนอาจมุ่งไปที่สงครามโลกครั้งที่ 2 และอดอล์ฟ ฮิตเลอร์-ผู้นำจากพรรคนาซีอันเลื่องชื่อ

ทว่า ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษที่ 20 “สาธารณรัฐไวมาร์” คือภาพแทนของเยอรมนีที่เปลี่้ยนระบอบการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นระบอบที่มีอายุยืนยาวอยู่เพียง 14 ปี เท่านั้น ก่อนจะล่มสลายลงเมื่อฮิตเลอร์ขึ้นยึดครองอำนาจ นำไปสู่เหตุการณ์น่าสลดใจทั้งสงครามใหญ่ ระเบิดปรมาณู และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

เหล่านี้ล้วนเป็นปรากฏการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะการล่มสลายของระบอบประชาธิปไตยในครั้งนั้น ที่สุดแล้วนำไปสู่โศกนาฏกรรมมากมายที่ล้วนยังบาดลึกอยู่ในหัวใจใครหลายคน

“ภาณุ ตรัยเวช” ร้อยเรียงบันทึกทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ ทั้งในทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมออกมาได้อย่างลงตัว

เขาจบการศึกษาจากรั้วโรงเรียนอัสสัมชัญจนถึงมัธยมต้น ต่อระดับชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา และได้ทุนในระดับปริญญาตรีจาก University of California, Los Angeles (UCLA) สาขาฟิสิกส์ ก่อนจะเรียนต่อคณะอุตุนิยมวิทยาในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก

พ้นไปจากนี้ ภาณุยังครองตำแหน่งแฟนพันธุ์แท้วรรณกรรมเยาวชนจากรายการแฟนพันธุ์แท้ และเป็นเจ้าของงานเขียนนวนิยายหลายต่อหลายเล่ม รวมทั้ง “คดีดาบลาวยาวแดง” นวนิยายเชิงสืบสวนที่เข้ารอบ Long List ซีไรต์เมื่อปี 2555

ปัจจุบัน ภาณุเป็นอาจารย์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และเป็นเจ้าของเพจ “ในไวมาร์เยอรมัน” ซึ่งเขาเรียบเรียงเนื้อหาจากเพจและเรียงร้อยหน้ากระดาษของประวัติศาสตร์เหล่านั้นมาเป็นหนังสือความยาวเกือบ 500 หน้า-พร้อมเรื่องราวทางวัฒนธรรมและสังคมในห้วงเวลา 14 ปี อันแสนสั้นของประชาธิปไตยในไวมาร์

เตรียมทำหนังสือเล่มนี้นานไหม

ทำมา 4 ปี นานพอสมควร ที่ใช้ระยะเวลาขนาดนี้คือรวบรวมข้อมูลด้วย แล้วมันก็ยาว ต้องเขียนยาวด้วย และเขียนเสร็จกว่าจะออกมาก็ต้องตรวจเช็กความเรียบร้อยให้คนโน้นคนนี้อ่าน และทำรูปเล่ม เป็นขบวนการที่ยาวนานพอสมควร

ข้างในก็คล้ายๆ เรื่องในเพจ แต่จะต่อเนื่อง เป็นเรื่องเดียวกันมากกว่า เพราะเราเขียนเป็นหนังสือก่อนค่อยไปแยกใส่ในเพจ เวลาโพสต์ก็โพสต์แยกทีละวันๆ ด้วย

คิดว่าหนังสือเล่มนี้ต่างจากหนังสือประวัติศาสตร์การเมืองเล่มอื่นอย่างไรบ้าง

หนากว่าครับ (หัวเราะ) อยากให้เขียนสนุกนะ ผมไม่ใช่นักประวัติศาสตร์หรือนักวิชาการ รู้สึกตัวเองเป็นนักเล่าเรื่องและเขียนนิยายมาก่อน พยายามเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยความรู้สึกว่าอยากให้อ่านสนุก ไม่อยากให้เป็นวิชาการมาก แต่ก็อยากให้ได้ความรู้ด้วย

ก็คิดว่าเป็นหนังสือที่อ่านสนุกนะครับ (ยิ้ม)

หนังสือประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่มักถูกใช้เป็นหนังสืออ้างอิง คือสนใจเรื่องอะไรก็มาเปิดดู ไม่ค่อยมีคนมานั่งอ่านเท่าไหร่ แต่เล่มนี้ อยากให้อ่านได้เรื่อยๆ อ่านแล้วอยากอ่านต่อ สนุกที่จะได้รู้เรื่องราวทั้งหมด มันมีความเป็นนวนิยายด้วยนะ

ทำไมต้องเป็นสาธารณรัฐไวมาร์

เพราะจริงๆ เป็นช่วงที่น่าสนใจ โดยเรื่องราวในประวัติศาสตร์ เป็นครั้งแรกที่ประเทศเยอรมนีปกครองในระบอบประชาธิปไตย หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นเช่นนั้นอยู่ประมาณ 14-15 ปี จนกระทั่งล่มสลายไปเพราะอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นมาครองอำนาจ เปลี่ยนเยอรมนีเป็นอาณาจักรที่ 3 คือเติร์ด ไรซ์ (Third Reich) ที่เรารู้จักกัน เป็นคำถามที่น่าสนใจว่าทำไมประชาธิปไตยจึงไม่อยู่ยงคงกระพัน มันมีความเชื่อว่าประเทศต่างๆ ควรจะดำเนินไปบนหนทางของประชาธิปไตย เราควรเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น คนควรใช้เหตุผลมากขึ้น แต่ไวมาร์เหมือนเป็นปริศนาใหญ่ว่าประเทศที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประชาธิปไตยนั้น ทำไมถึงล่มสลายลงมาได้

ความล้มเหลวของประชาธิปไตยในไวมาร์เป็นอย่างไร

ยังมีฝ่ายที่รู้สึกว่าไวมาร์เป็นประชาธิปไตยที่ล้มเหลว มันน่าสนใจว่าเวลานั้นเขาล้มเหลวอย่างไร แล้วเราก็ศึกษาดูเพื่อจะไม่ทำล้มเหลวอย่างเขา และจะมีอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งผมรู้สึกว่าจุดยืนผมใกล้เคียงกับฝั่งนี้มากกว่า คืออยากจะโต้เถียงเชิงว่ามันไม่ได้ล้มเหลวขนาดนั้น มันก็ยังเป็นประชาธิปไตยทั่วไป เหมือนกับประชาธิปไตยที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน คือมีทั้งจุดที่ดีและจุดที่แย่ ซึ่งมันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ล้มเหลว แต่เป็นประชาธิปไตยที่อยู่ต่อไปได้ ถ้าเกิดมีปัจจัยบางอย่างที่คนจะต่อสู้เพื่อให้มันอยู่ต่อจริงๆ

คือผมรู้สึกว่าไวมาร์ไม่ได้ต่างอะไรกับเยอรมนีในปัจจุบันหรือแม้แต่ประเทศไทย หรือสังคมประชาธิปไตยไหนๆ เลย คือมันมีทั้งข้อเสีย มีทั้งคนที่ไม่พอใจกับระบบและคนที่ออกมาต่อสู้ปกป้อง ซึ่งถ้าเราเข้าใจตรงนั้นก็จะรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาและยุคสมัยที่ใกล้ตัวกว่าที่เราคิด

เกี่ยวกับยุคสมัยไหม เพราะประชาธิปไตยอาจผลิบานในยุคโลกเสรีด้วย

มีส่วนนะครับ เพราะประชาธิปไตยนั้นมาพร้อมกับยุคสมัยใหม่ ใช้คำกว้างๆ เพราะมันจะรวมไปถึงเทคโนโลยี ความสัมพันธ์แบบใหม่ของผู้คน ความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อตัวเอง ต่อสภาพบ้านเมือง

พอถึงยุคสาธารณรัฐไวมาร์ คนเยอรมันในยุคนั้นต้องมาเผชิญหน้ากับความเข้าใจใหม่ๆ อย่างนี้ ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นดีงามและฝ่ายที่ต่อต้าน ซึ่งการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่ายก็นำไปสู่การล่มสลายของระบอบประชาธิปไตยในยุคนั้นด้วย

เยอรมนีเป็นประเทศที่ผ่านความขัดแย้งรุนแรงมาเยอะ เราเรียนรู้อะไรได้บ้างในฐานะที่เราก็อยู่กับความขัดแย้งเช่นกัน

ถามว่าเรียนรู้อะไรก็ยากนะ จริงๆ ผมก็ยังอยากให้เป็นคำถามที่เปิดกว้าง ลองอ่านหนังสือดูแล้วเราอาจจะเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่ได้เหมือนกับที่ผมตั้งใจก็ได้

หนังสือเล่มนี้พูดถึงประวัติศาสตร์ประเทศเยอรมนีในหลายมุมมองมากๆ เช่น ประวัติศาสตร์การเมือง ประวัติศาสตร์ศิลปะ วัฒนธรรม รวมไปถึงเศรษฐกิจ กระทั่งเรื่องเพศ มันมีหลายมุมมองมากๆ ที่เราอ่านแล้วจะสามารถหยิบจับออกมาได้ ไม่อยากกำหนดตายตัวว่าเราจะเรียนรู้อะไร

แต่ถ้าจะเป็นทิศทางที่ผมหวังคือ อยากให้เห็นว่าจริงๆ แล้วความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดามากๆ ไม่อยากให้มาคิดว่าเรามีความขัดแย้งแล้วจะต้องเป็นสิ่งเลวร้าย แต่มันสำคัญมากกว่าที่เราจะเรียนรู้หรือรับมือกับความขัดแย้งอย่างไร

ปัญหาคือ เมื่อคนพยายามใช้ประโยชน์จากความขัดแย้งมากกว่า เช่น มีคนบอกว่ามีวิธีที่ทำให้คนเลิกทะเลาะกัน เรารู้วิธีที่ทำให้ชาวเยอรมันกลับมาสามัคคีอย่างเดิม ซึ่งความล่มสลายมันมาจากคนที่ปฏิเสธความขัดแย้งตรงนั้นแล้วพยายามจะใช้ประโยชน์จากมัน

ถ้าอ้างตามชื่อหนังสือคือ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แล้วเขามาจากความยินยอมของประชาชนมากน้อยแค่ไหน

ตำแหน่งสูงสุดในเยอรมันเป็นตำแหน่งประธานาธิบดีที่เปลี่ยนมาจากระบอบกษัตริย์ของเมื่อก่อน แล้วประธานาธิบดีนั้นมาจากการเลือกตั้ง แล้วฮิตเลอร์นั้นพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งให้กับเพาล์ ฟอน ฮินเดนบูร์ก และไม่ได้ตำแหน่งประธานาธิบดีมา

คนที่บอกว่าฮิตเลอร์มาจากการเลือกตั้งก็จะหยิบยกประเด็นว่า พรรคนาซีมีคะแนนเสียงในรัฐสภามากสุด ฮิตเลอร์จึงได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไป หลังจากนั้นในเวลาต่อมา ฮินเดนบูร์กก็แต่งตั้งฮิตเลอร์ให้ขึ้นตำแหน่งนายกฯแทน แต่เราต้องเข้าใจว่าตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นตำแหน่งแต่งตั้ง จึงขึ้นอยู่กับตัวประธานาธิบดีคือฮินเดนบูร์กและคนใกล้ชิดที่หยิบเอาฮิตเลอร์มาครองตำแหน่งนายกฯ

ทั้งนี้ มันไม่ใช่ว่าฮิตเลอร์และพรรคนาซีมี ส.ส.ในรัฐสภามากสุดถึงได้ขึ้นมาตำแหน่งนั้น เพราะตลอด 14 ปีของไวมาร์ คนที่ได้ตำแหน่งนายกฯนั้น น้อยมากที่จะมาจากพรรคเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภา คือพรรคที่ชนะบ่อยสุด ได้คะแนนเสียงมากสุดในรัฐสภาของไวมาร์คือพรรค SPD (Sozialdemokratische Partei Deutschlands) เป็นพรรคฝ่ายซ้าย แต่นายกฯแทบไม่เคยมาจากพรรคนี้เลย ส่วนหนึ่งตอนนั้นเขารู้สึกด้วยซ้ำว่านายกฯต้องเป็นคนพรรคอื่น ไม่เช่นนั้นจะไม่เกิดการคานอำนาจขึ้น

การเป็นนายกรัฐมนตรีกับการได้เสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาไม่ได้ไปด้วยกันขนาดนั้น นี่คือประเด็นหนึ่ง

อีกประเด็นซึ่งเป็นประเด็นหลักในหนังสือเหมือนกันคือ หลังจากที่พรรคนาซีได้คะแนนเสียงส่วนใหญ่ในรัฐสภาแล้ว ฮิตเลอร์ก็ยื่นข้อเสนอว่าอยากเป็นนายกฯ แต่ตอนนั้นคนครองอำนาจจะมีทั้งฮินเดนบูร์ก, คูร์ท ฟอน ชไลเชอร์ บอกว่าให้ไม่ได้ แต่ก็มีการคุยกัน จนฮิตเลอร์ยื่นข้อเสนอว่า ถ้าฮินเดนบูร์กอยากตั้งใครเป็นนายกฯ ฮิตเลอร์จะสนับสนุนคนนั้น แลกกับฮินเดนบูร์กต้องยุบสภา ซึ่งคะแนนเสียงพรรคนาซีเยอะมาก จนฮิตเลอร์รู้สึกว่าถ้าได้คะแนนมาครึ่งหนึ่ง สัญญาอะไรไปก็ไม่ต้องทำตามก็ได้

เวลาฝ่ายที่บอกว่าฮิตเลอร์ชนะการเลือกตั้ง จะหยิบเรื่องที่บอกว่าพรรคนาซีได้ 230 เสียงจาก 500 เสียง แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้นำไปสู่เก้าอี้นายกฯทันที หลังจากนั้นพอมีการยุบสภาและเลือกตั้งอีกครั้ง ฮิตเลอร์พนันไว้ว่าเขาจะชนะอย่างท่วมท้น แต่ไม่สำเร็จ และพรรคนาซีได้คะแนนเสียงน้อยลงจากตรงนั้นด้วยซ้ำ จนทุกคนมองว่านี่คือขาลงของพรรคนาซี และคะแนนเสียงที่ฮิตเลอร์ได้หลังจากนั้นก็อยู่ที่ 1 ใน 3 เท่านั้น ยังเป็นเสียงส่วนใหญ่ แต่ก็เป็นเสียงส่วนใหญ่ที่น้อยลงและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญหรือใช้ต่อรองอะไรได้

ถ้าจะบอกว่ากระบวนการเลือกตั้งทำให้ฮิตเลอร์ขึ้นมา อยากชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่ เพราะหลังจากนั้น เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งถัดมา พรรคนาซีได้คะแนนเสียงน้อยลง กลับเป็นพรรคคอมมิวนิสต์เองที่มีคนมากขึ้นเรื่อยๆ

ภาณุ ตรัยเวช

สาเหตุที่พรรคนาซีได้คะแนนเสียงน้อยลงคืออะไร

ก่อนหน้านั้นมีวิกฤตเศรษฐกิจและเรื่องความขัดแย้งต่างๆ ซึ่งในสังคมประชาธิปไตยใดๆ ก็ตาม คนที่สุดโต่งจริงๆ มันมีไม่เยอะ มีจำนวนหนึ่งเท่านั้น ต่อให้พยายามแสดงออกว่าตัวเองเป็นเสียงส่วนใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีทางเป็นได้ ก็เป็นเสียงส่วนน้อยอยู่นั่นเอง พรรคนาซีก็เช่นนั้น ชิงความเป็นเสียงส่วนใหญ่ไม่ได้

คือทุกสังคมมีคนสติดีมากกว่าคนสติไม่ดีอยู่แล้วครับ (หัวเราะ)

อาจารย์พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ เคยพูดประโยคหนึ่งที่ผมชอบมาก ว่าในสังคมที่มีโจร 9 คน แล้วมีพระรูปเดียว ไม่มีระบอบบ้าอะไรที่มันจะทำให้ดีได้ ทุกระบอบล่มเหมือนกันหมด เพียงแต่ว่าสังคมส่วนใหญ่มีพระ 9 รูป และโจรคนเดียวมากกว่า ซึ่งสังคมแบบนั้น ถ้าใช้ระบอบอื่นที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยเนี่ย โจรจะขึ้นเป็นผู้นำได้

ผมคิดว่าในไวมาร์ก็เหมือนกัน คืออาจจะมีปัญหาเยอะ แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมยังสติดีอยู่ ฉะนั้น ด้วยกระบวนการแบบระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว ทุกอย่างมันก็ประคับประคองต่อไปได้ แต่ตอนนั้นเป็นเรื่องของการเจรจาหลังฉากล้วนๆ ระหว่างฮิตเลอร์และคนใกล้ชิดฮินเดนบูร์ก ดึงเอาอำนาจการตัดสินใจจากประชาชนแล้วมาคุยกันเอง จนในที่สุด ฮิตเลอร์ก็ได้ตำแหน่งนายกฯ แต่ก็ยังไม่จบ รัฐธรรมนูญที่บังคับว่าเดี๋ยวจะต้องมีการเลือกตั้งใหม่ยังอยู่ โดยที่ฮิตเลอร์เองอยากฉีกรัฐธรรมนูญนี้ทิ้งมาก แต่ตามกฎหมายจะทำได้ก็ต้องมีเสียง 2 ใน 3 ของเสียงทั้งหมดซึ่งพรรคนาซีมีไม่ถึง ฮิตเลอร์จึงยุบสภา ให้มีเลือกตั้งใหม่โดยที่ตัวเองกุมอำนาจทั้งหมด

ดังนั้น มันจึงเต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่อ ใบปลิวทุกพรรคการเมืองที่ไม่ใช่พรรคนาซีถูกฉีกทิ้งหมด ทุกเมืองมีประกาศลำโพงติดไว้ตลอดเวลาว่าต้องเลือกฮิตเลอร์ นี่เป็นการโกงเลือกตั้งชนิดที่ไม่ต้องบอกแล้วว่านี่คือการเลือกตั้ง แต่ถามว่าโกงขนาดนี้ ฮิตเลอร์ได้เสียงส่วนใหญ่ที่ต้องการหรือไม่ ก็ยังไม่ใช่เสียงที่มั่นใจได้ขนาดนั้นว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้ และพรรคคอมมิวนิสต์ได้ตัวแทนชนะเลือกตั้ง 80 คน ซึ่งทั้ง 80 คนนี้ไม่มีใครอยู่ในประเทศได้เลย ต้องหนีออกนอกประเทศหมด แสดงให้เห็นว่าการโกงเลือกตั้งครั้งนี้สุดโต่งมากจริงๆ ซึ่งมาถึงจุดนี้ก็ยังต้องใช้วิธีโกงอื่นๆ อีกเพื่อพลิกกฎหมายเพื่อจะฉีกรัฐธรรมนูญได้ รวมถึงร่างกฎหมายใหม่ที่มีความเป็นเผด็จการมากขึ้น

ให้ภาพได้ไหมว่าสภาพสังคมแบบไหนที่ยอมให้ฮิตเลอร์มาเป็นผู้นำได้

(นิ่งคิด) ผมคิดว่าไม่มีสังคมไหนยอมหรอก อย่างที่บอกว่าทุกสังคมมีคนสติดีมากกว่าคนสติไม่ดีเสมอ แต่สังคมที่มีโครงสร้างทางอำนาจไม่ยึดโยงกับประชาชน ให้ใครก็ได้ที่เป็นส่วนน้อยของสังคมมาตัดสินว่าจะให้ใครมีอำนาจ สังคมแบบนั้นสามารถปล่อยให้อยู่ดีๆ มีคนบ้าคนหนึ่งมาเป็นผู้นำได้ ผมว่าสังคมในลักษณะนั้นที่น่ากลัว

อันที่จริงไม่ใช่เรื่องของสังคมด้วยซ้ำไป แต่เป็นเรื่องของระบบที่มันเอาอำนาจไปอยู่ในมือคนกลุ่มน้อยเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าพูดจริงๆ ก็เป็นปัญหามาจากรัฐธรรมนูญไวมาร์ที่เปิดโอกาสให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น เป็นรัฐธรรมนูญที่มีทั้งภาวะอนาธิปไตยในตัวเอง เป็นการเลือกตั้งระบบแบบปาร์ตี้ลิสต์ ต่อให้คุณชนะแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ ก็สามารถส่งคนเข้าไปนั่งในรัฐสภาได้แล้วห้าคน ฉะนั้น รัฐสภาไวมาร์จึงมีหลายเสียง คละกันหลายพรรคมาก ดังนั้น จึงไม่มีความเป็นเอกภาพ ทำให้ตัวรัฐบาลจริงๆ อ่อนแอ

ขณะเดียวกันก็มีอีกระบบมาเสริมกันคือตัวรัฐธรรมนูญ เปิดโอกาสให้นายกฯประกาศยึดครองอำนาจ เปลี่ยนประเทศเป็นเผด็จการชั่วคราว

มันเลยตลกตรงที่เหมือนไม่มีทางสายกลางเลย เหมือนระบบปกติก็ยุ่งไปหมด แต่ระบบพิเศษที่เอามารับมือระบบปกติก็เป็นอำนาจนิยมเกินไป

ซึ่งสภาวะแบบนี้ยิ่งทำให้คนไม่ศรัทธาในประชาธิปไตยเข้าไปใหญ่

ประทับใจบทไหนในหนังสือเป็นพิเศษไหม

ชอบบทสุดท้ายครับ (ยิ้ม) เป็นเชิงผูกพันกับตัวละคร ฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจเรียบร้อย ปัญญาชนก็ต้องหนี เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, ชาวไวมาร์หรือศิลปิน ไม่มีใครสามารถอยู่ได้ ทุกคนหนีไปหมด แล้วเวลาเราเขียน แต่ละบทก็เล่าถึงไอน์สไตน์, ไวลล์และเบรคช์ (นักดนตรีแจ๊ซในไวมาร์) หรือกลุ่มแฟรงก์เฟิร์ต แต่ในบทสุดท้าย เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นครองอำนาจ คนเหล่านี้ก็หนีออกไปหมดทุกคนเลย บางคนก็หนีแล้วไปตาย ไม่รอด เช่น วาลเธอร์ เบนยามิน (นักปรัชญาวิพากษ์) หนีไปฝรั่งเศส แล้วเมื่อตอนหลังที่พรรคนาซีขยายอำนาจ เริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 และมายึดครองฝรั่งเศส เบนจามินก็ต้องฆ่าตัวตาย และแน่นอนว่าพวกคนยิวต้องหนีไป หรือคนที่ไม่ใช่ยิวแต่เป็นฝ่ายซ้ายที่ไม่เห็นด้วยกับพรรคนาซีก็ต้องค่อยๆ ทยอยหนีออกไปนอกประเทศ

ตอนนั้นก็เริ่มมีการเผาหนังสือขึ้น โยเซฟ เกิบเบลส์ ซึ่งเป็นคนสนิทของฮิตเลอร์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการโฆษณาชวนเชื่อ ก็เอาหนังสือของคนที่เราอ่านมาตลอดทั้งเล่ม เรื่องราวของพวกเขา เอามาเผากลางลานเลย

มันสะเทือนใจตัวเอง และเรารู้สึกผูกพันกับบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านี้ที่เราตามอ่านเรื่องราวของพวกเขามาตลอด

The post ภาณุ ตรัยเวช “ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” appeared first on มติชนออนไลน์.

เรายอมรับความไม่ซื่อสัตย์ได้มากแค่ไหน

$
0
0

นักศึกษาสาวคนหนึ่งมาพบจิตแพทย์ด้วยเรื่องเครียดและนอนไม่หลับค่ะ สาเหตุคือเพื่อนทั้งคณะคว่ำบาตรไม่คุยและไม่มองหน้าเธอแถมยังต่อว่าเธออย่างรุนแรงลงในโซเชียลมีเดียของรุ่นด้วย เหตุการณ์เกิดจากเธอเขม่นกับเพื่อนสาวอีกคนหนึ่งซึ่งเคยเป็นเพื่อนสนิทกันมาก่อน มีครั้งหนึ่งเธอทำไม่ถูกใจเพื่อนจึงถูกเอาไปนินทาจนเพื่อนคนอื่นในคณะรังเกียจเธอ ความแค้นครั้งนั้นทำให้เธอคิดจะหาทางแก้เผ็ด อยู่มาวันหนึ่งเห็นใบสมัครฝึกงานของเพื่อนวางอยู่ปึกหนึ่งหน้าห้องอาจารย์ เธอหยิบมาดูและเห็นว่ามีใบหนึ่งสมัครไปที่เดียวกับเธอ เธอจึงหยิบใบนั้นออกมาเพราะคิดว่าไม่อยากไปฝึกงานที่เดียวกันแต่พอหยิบมาเธอก็รู้สึกไม่ดี แทนที่จะทิ้งก็เอาไปวางในโรงอาหารแทนเพราะคิดว่าถ้าคนมาเจอคงช่วยเอาไปคืนเจ้าของให้ได้ มีเพื่อนในรุ่นไปพบใบสมัครนี้วางอยู่จริงๆ ค่ะจึงถ่ายรูปลงโซเชียลว่าทำไมใบสมัครมาอยู่ในโรงอาหาร ฝ่ายเพื่อนก็เชื่อว่าต้องมีคนหยิบมาจากห้องอาจารย์แน่จึงบอกว่าใครขโมยให้สารภาพเสียแล้วจะให้อภัย เธอจึงสารภาพแต่กลายเป็นว่าทุกคนไม่ให้อภัยตามที่บอกค่ะ

“ตอนนี้หนูสำนึกผิดแล้ว ที่หนูไม่เอาไปทิ้งและสารภาพก็เพราะหนูสำนึกผิด หนูไม่เคยทำผิดมาก่อน แต่ไม่อยากถูกพักการเรียนเพราะพ่อแม่รู้แล้วพ่อแม่จะผิดหวัง หนูเพิ่งทำผิดครั้งแรก หนูขอโอกาสอีกครั้ง ถ้าหนูทำอีกจะไล่หนูออกเลยก็ได้”

เราจะให้อภัยกับความผิดครั้งแรกนี้ไหมคะ ประเด็นหนึ่งจากหลายประเด็นที่อยากชี้ให้เห็นคือ “เราจะยอมรับการกระทำความผิดได้มากน้อยแค่ไหน” เหตุการณ์นี้สุดท้ายเพื่อนก็ส่งใบสมัครทัน ไม่มีคนได้รับผลกระทบ คนทำก็สารภาพและสำนึกผิดแล้ว เราจะหยวนๆ และให้อภัยได้มากน้อยแค่ไหน มาดูการ์ตูนที่คนทำผิดไม่ได้รับการหยวนๆ แต่อาจจะส่งผลร้ายมากกว่าหยวนๆ ก็ได้ค่ะ

“Dimension W” เป็นแอนิเมชั่นที่ออกฉายทางทางโทรทัศน์ในญี่ปุ่นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา กล่าวถึงการค้นพบแหล่งพลังงานมหาศาลแห่งใหม่นั่นคือพลังงานจากมิติที่สี่ พลังงานที่ถูกดึงมาจะเก็บอยู่ใน “คอยล์” ซึ่งหน้าตาคล้ายถ่านกระดุมใส่นาฬิกา ก้อนขนาดเท่ากำปั้นก็ให้พลังงานแก่เฮลิคอปเตอร์ได้ทั้งลำจนกระทั่งเครื่องพังไปแล้วพลังงานอาจจะยังไม่หมดเลยค่ะ ข้อควรระวังของคอยล์คือห้ามใช้คอยล์เถื่อนที่ไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลโดยเด็ดขาดเนื่องจากคอยล์เถื่อนอาจทำให้พลังงานจากมิติที่สี่รั่วออกมาจนเกิดผลเสียมากมาย เมืองทั้งเมืองอาจหลุดมิติหายไปได้เลยค่ะ

มีจุดเล็กๆ ที่แอนิเมชั่นสื่อให้เห็นคือรัฐลงทุนลงแรงมากสำหรับการเก็บคอยล์เถื่อนซึ่งบางครั้งก็อยู่ของมันดีๆ ไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียอะไร การไปเก็บคอยล์เถื่อนเสียอีกที่ทำให้เกิดการต่อสู้และมีคนตายมากมาย ดีไม่ดีระหว่างสู้กันคอยล์รั่วออกมาก็ตายกันเป็นสิบ ถ้าเป็นอย่างนี้การปล่อยให้ของเถื่อนล่องลอยอยู่ในตลาดโดยไม่ก่อผลเสียจะดีกว่ายึดถือความถูกต้องอย่างเคร่งครัด กำจัดคอยล์เถื่อนโดยไม่สนว่าใครจะตายบ้างถือเป็นเรื่องเหมาะสมหรือเปล่า

ลองมาดูงานวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งนอตติงแฮมซึ่งตีพิมพ์ใน Nature ดีกว่าค่ะ เขาพบเรื่องน่าสนใจว่าคนเราซื่อสัตย์กว่าที่คิดทั้งที่แนวคิดหนึ่งในทางเศรษฐศาสตร์เชื่อว่าผู้บริโภคจะหาประโยชน์สูงสุดจากสิ่งที่ซื้อมาและผู้ผลิตจะหากำไรสูงสุดจากสิ่งที่ขายไป ดังนั้น สมมติฐานเบื้องต้นคือถ้าไม่มีใครเห็นและไม่ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรง เราน่าจะขี้โกงเพื่อประโยชน์ส่วนตน การทดลองนี้ทำใน 23 ประเทศจากกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 2,500 คน โดยการให้เข้าห้องที่ไม่มีใครเห็นแล้วทอยลูกเต๋า 2 ครั้ง เสร็จแล้วให้รายงานแต้มจากการทอยครั้งแรก หลังจากนั้นจะได้รับเงินตามแต้มแรกที่ทอยได้ ยิ่งแต้มมากก็ยิ่งได้เงินมาก ผลพบว่าคนส่วนใหญ่แม้รู้ว่าไม่มีใครทราบแต้มที่ทอยได้แต่ยังเลือกที่จะรายงานแต้มครั้งแรกและยอมรับเงินจำนวนตามแต้มแรกจริง ไม่โกหกแต้มมากๆ ขึ้นมาเองซึ่งไม่มีความแตกต่างกันทั้ง 23 ประเทศ

ทีนี้มาดูคนส่วนน้อยบ้าง พบว่าคนส่วนน้อยที่ไม่รายงานแต้มครั้งแรกตามความเป็นจริง ส่วนใหญ่ของกลุ่มนี้เลือกรายงานแต้มที่ทอยได้ครั้งที่สองซึ่งมากกว่าแทน นัยหนึ่งคือ “ขี้โกงเล็กๆ น้อยๆ” มีจำนวนน้อยมากเท่านั้นที่โกหกแต้มสูงๆ ทั้งที่ทอยไม่ได้แต้มนั้น จุดที่น่าสนใจคือมีความแตกต่างกันในบางประเทศค่ะ ประเทศที่มีการคอร์รัปชั่นมาก มีการยักยอกเงิน การคดโกงทางการเมือง ฯลฯ จะมีคน “ขี้โกงเล็กๆ น้อยๆ” มากกว่าประเทศที่มีค่านิยมไม่ยอมรับการคอร์รัปชั่นหรือความไม่ซื่อสัตย์ ผลการศึกษานี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าการยอมรับความไม่ซื่อสัตย์ของคนอื่นในสังคมมีผลต่อการยอมรับความไม่ซื่อสัตย์ (และเลือกที่จะไม่ซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ) ของเราด้วย

จากผลการศึกษานี้ หากรัฐบาลใน Dimension W ปล่อยให้คอยล์เถื่อนอยู่ไปเฉยๆ โดยไม่กวาดล้างด้วยเหตุผลว่าถ้าไม่ก่อความเดือดร้อนอะไรเราก็ยอมรับได้ก็จะส่งผลให้คนในสังคมยอมรับการใช้คอยล์เถื่อนได้มากขึ้น การกวาดล้างเป็นการแสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้แม้เป็นแค่ความไม่ซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกิดผลเสียกับใครก็ถือว่ายอมรับไม่ได้ซึ่งอาจจะมีผลดีในระยะยาวมากกว่า

และถ้าเราเชื่อผลการศึกษานี้ นักศึกษาสาวก็ควรได้รับการลงโทษแม้ว่าไม่มีใครได้รับผลกระทบและเธอทำผิดครั้งแรกหรือสารภาพแล้วก็ตาม การแสดงให้เห็นว่าความ “ไม่ซื่อสัตย์เล็กๆ น้อยๆ” นี้ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้คนในสังคมนั้นๆ ทำเรื่องไม่ซื่อสัตย์เพียงเพราะคิดว่า “ใครๆ ก็ทำกัน”

The post เรายอมรับความไม่ซื่อสัตย์ได้มากแค่ไหน appeared first on มติชนออนไลน์.

คอโกเมน

$
0
0

ขอเขียนถึง “นกคอโกเมน” หรือ “Firethroat” ชื่ออังกฤษที่ตั้งตามหลักรูปพรรณนามของ 1 ใน 100 นกไทยในตำนานอีกสักครานะครับ ในฐานะที่เป็นนกเด่นนกดังของไทย ที่นับเป็นนกเทพ หายาก และสถานภาพเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์อีกด้วย แถมรูปโฉมโนมพรรณ เด่นสง่าไม่แพ้นกสวยสีจัดจ้านชนิดใดๆ ในโลกนี้เลยทีเดียว

แค่สีส้มสดดั่งเปลวไฟของขนคอ ก็คงทำให้นักดูนกหลายคนสะท้านใจ ต่อมอยากเห็นกระตุกต้องบินไปส่องชมหนุ่มคอโกเมนกันมาแล้ว

เมื่อต้นปีกลาย มาปีนี้หนุ่มน้อยคอโกเมน ที่อายุอานามแค่ 2 ปีเมื่อปีกลาย ก็อพยพกลับมาอาศัยในดงกกดงอ้อ ริมแม่น้ำคำ ศูนย์อนุรักษ์ธรรมชาติน้ำคำ อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย อีกครั้งเป็นปีที่ 2

ที่เราทราบว่าเป็นนกตัวเดิม เพราะนักวิจัยจับหนุ่มคอโกเมนตัวนี้สวมห่วงขาไว้แล้ว จึงแน่นอนว่าเป็นนกตัวเดิม

ประโยชน์อีกประการของการใส่ห่วงขาวิจัยให้นก ทำให้เราเรียนรู้เรื่องวิถีชีวิตของนกเทพหายากในบ้านเราว่า นกเดินทางกลับมาบ้านในฤดูหนาว ณ ที่เดิมเป๊ะ ไม่ผิดเป้าเลย .. มหัศจรรย์ไหมครับ ความจำอันวิเศษของนกเกาะคอนนักร้องตัวเล็กแค่ 14 ซม. บินไปถึงภาคกลางของประเทศจีนแล้วบินกลับมาไทย ในจังหวัดเชียงราย จนถึงวันนี้ก็ 2 รอบแล้ว ไม่มีเพี้ยนผิดเส้นทางเลย นับว่าเก่งกว่าเหยี่ยวอพยพตัวใหญ่กว่าเป็นไหนๆ

คราวนี้คอโกเมนของเรา เติบโตเป็นนกเต็มวัย อายุ 3 ปีแล้วแต่ผลัดขนเป็นชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์ ยังไม่มีขนสีโกเมนสะท้านใจ

เดือนนี้แหละครับที่นกคอโกเมนจะผลัดอีกครั้ง เพื่อเตรียมแต่งตัวรอรับฤดูผสมพันธุ์ในอีก 2 เดือนข้างหน้า ขนสีส้มจะเริ่มปรากฏให้นกโดดเด่นขึ้นมาเพียงแค่ปราดเดียว เชื่อได้ว่า คงไม่มีนักดูนกคนไหน ไม่สะดุดตานกตัวนี้ ต้องหันกลับมาส่องดูนานๆ อย่างแน่นอน

ณ เวลานี้ นักดูนกหลายคนกำลังตั้งตารอคอยว่าเมื่อไหร่เจ้าคอโกเมนจะผลัดขนเข้าสู่ชุดขนฤดูผสมพันธุ์ ซึ่งจะทำให้นกงามขึ้นอีกมาก แม้จะเป็นนกตัวเดิม ตัวเดียวกันแต่สีสันที่สัมผัสได้ด้วยสายตานั้น กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้มนุษย์สนใจมากกว่าสีทึมทึบจืดชืดของชุดขนนอกฤดูผสมพันธุ์ นกก็เช่นกัน สีสันจึงเป็นหมายสำหรับนก ช่วยตัดสินใจเลือกคู่ผสมพันธุ์ที่สีสันสดใสจัดจ้าน ขนสีส้มแสดของนกคอโกเมนจึงมีประโยชน์ตรงนี้นั่นเอง เพราะยิ่งเด่น ยิ่งเตะตา หนุ่มนกก็มีโอกาสมากกว่านกตัวอื่นๆ ที่จะได้คู่เพื่อถ่ายทอดพันธุกรรมของตนไปสู่รุ่นต่อไป

ไม่ต่างจากสุภาษิตที่ว่าไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง จริงไหมครับ

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.birdsofthailand.org/bird/firethroat

The post คอโกเมน appeared first on มติชนออนไลน์.

“สงบ”ในความแปรเปลี่ยน

$
0
0

แม้จะฝึกจิตจนเข้าใจว่า แท้จริงแล้วลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหลายเป็นเพียงมายาที่ไม่ควรไปยึดถือเอามาแสวงหา หรือหวงแหนรักษาไว้

มองเห็นสภาวะเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนแปลงไปเป็นปกติ

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือดับไป ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะไปโหยหาให้ได้มา หรือโหยไห้หากสูญเสีย

ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยที่มาประกอบ เมื่อปัจจัยเปลี่ยนแปลง สภาวะต่างๆ ก็เปลี่ยนแปลงตามไป เรื่องราวก็เท่านั้น

เข้าใจอย่างนี้เสียได้ ใจก็สงบ เห็นความเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นธรรมชาติ

ใจ “สงบ” รับรู้ว่า “ความสุขจากความสงบ” นั้น ให้ความรู้สึกสบาย ไร้แรงกดดันบีบคั้นมากกว่าความสุขจากสิ่งอื่นๆ ที่ต้องดิ้นรนแสวงหา และประคับประคองรักษาไว้

แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อร่างกายเกิดป่วยไข้ เกิดความรู้สึกว่าไม่สามารถรักษาความสงบนั้นไว้ได้ จิตใจวุ่นวายหงุดหงิด

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีความเคยชินว่า หากมีอาการหงุดหงิดเกิดขึ้น สิ่งแรกที่ควรจะทำคือ “ตั้งสติ”

ใช้ “สติ” ที่ตั้งได้แล้วนั้น ค่อยๆ พิจารณาว่ามีอะไรมาครอบงำจิตจนเกิดความคิดที่พาให้ใจหงุดหงิด

ความหงุดหงิดไม่ถูกใจ เหตุใหญ่คือ “ความโกรธ” เพ่งไปที่เหตุที่ก่อให้เกิดความโกรธก็พบว่า เพราะไม่พอใจร่างกายตัวเอง

ในอารมณ์อยู่ในช่วงพึงพอใจกับ “การเสพความสงบ” ความเจ็บป่วยของร่างกายทำให้ “ความสงบ” หายไป ไม่มีให้เสพ

เห็นแบบนี้เลยได้คิดว่า “เสพติดความสงบเข้าให้แล้ว”

แท้จริงแล้ว “ความสงบ” ก็เป็นภาวะที่ไม่พ้นจากหลักอนิจจัง

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามเหตุปัจจัยที่เปลี่ยนแปลง ไม่ต่างกับลาภ ยศ สรรเสริญ เช่นกัน

กระทั่ง “ความสงบ” หากไปเสพติด คิดจะรักษาไว้ไม่ให้เปลี่ยนแปลง ที่เคยสุขก็กลายเป็นความทุกข์ได้ เพราะไปอยากที่จะหน่วงเหนี่ยวรักษาไว้

ดังนั้น หากไปให้ถึงอีกขั้น ควรจะฝึกจิตให้ยอมรับในความเป็นจริง มองให้เป็นทุกสิ่งอย่างว่าเป็นไปตามปัจจัยที่มาประกอบกัน เห็นความแปรเปลี่ยนตามความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยประกอบ

ไม่มีอะไรที่เหมาะกับการไปยึดถือไว้ การเสพติดทุกเรื่องราวล้วนเป็นความหลง

อันหมายถึงมองไม่เห็นความเป็นจริง

ความสงบที่แท้จริง น่าจะเกิดจากการรักษาสติไว้พิจารณาให้เห็นความจริงอยู่ทุกขณะ

ไม่ว่าจะเสพอะไรแล้วเกิดติด

เกิดอยากจะเสพอีก ไม่อยากจะสูญเสียสิ่งที่เสพนั้นไป

นั่นล้วนเป็นความหลง

อันเป็นอีกแพร่งหนึ่งที่นำให้เดินออกไปจากหนทางของสติที่เพ่งอยู่กับความเป็นจริง

แม้สิ่งที่ติดนั้นจะเป็น “ความสงบ”

เพียงแต่หากเป็น “ความสงบ” ที่เกิดจากการมองเห็นปัจจัยประกอบของสรรพสิ่งว่า จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นปกติ

“ความสงบ” ที่เห็นท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง

The post “สงบ”ในความแปรเปลี่ยน appeared first on มติชนออนไลน์.

ยิ่งใหญ่ด้วยก้าวเล็กๆ

$
0
0

จริงๆ แล้วในหนังสือ “Slow Success ยิ่งใหญ่ด้วยก้าวเล็กๆ” ที่มี “เกตุวดี และวสุ Marumura” เป็นผู้เขียน มีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าแค่เป็นหนังสือแห่งแรงบันดาลใจ

เพราะทุกคนที่ถูกรวบรวมทั้งหมด 30 คน แบ่งแยกเป็นชาย-หญิงชาวญี่ปุ่น ต่างมีเรื่องราวเป็นของตนเอง

บางคนไม่เอาถ่านแต่วัยเด็ก แต่พอโตขึ้นกลับกลายเป็นต้นแบบแรงดันดาลใจให้กับหนุ่ม-สาวชาวอาทิตย์อุทัยจนต้องหันมาศึกษาปูมหลังชีวิตของพวกเขา

หรือบางคนถูกปรามาสว่าไม่มีทางประสบความสำเร็จใจในอาชีพ เพราะต้นทุนต่ำ มีฐานะยากจน ทั้งยังเรียนหนังสือไม่สูง

แต่สุดท้ายประชากรในประเทศ รวมถึงอีกหลายประเทศในโลก ต่างนิยมใช้สินค้าของเขา จนกลายเป็นแบรนด์ระดับโลก ที่ไม่เฉพาะแต่คนที่เคยปรามาสต้องถ่มน้ำลายตัวเองหันมาบริโภค

ยังแนะนำคนอื่นๆ ให้ใช้สินค้าของเขาด้วย

ซึ่งเหมือนกับคนสองคนในสามสิบคนที่ผมยกตัวอย่างมาเล่าให้ฟัง คนแรกเป็นผู้ก่อตั้ง และเจ้าของร้านหนังสือตามใจฉันที่มีชื่อว่า “คิคูชิ เคอิชิ”

พื้นเพเขาเป็นเด็กชนบทมาจากเมืองชินโตคุโจ จังหวัดฮอกไกโด เขาไม่ชอบอ่านตำราเรียน แต่กลับชอบนั่งรถไฟมาซื้อหนังสืออ่านเล่นในตัวเมือง

วันหนึ่งเขาต้องมาเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัย Aoyama Gakuin เขาก็ยังไม่สนใจเรียน แต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหางานพิเศษทำ บางครั้งก็เล่นไพ่นกกระจอก และที่ขาดไม่ได้คือการเดินเข้าร้านหนังสือมือสองเพื่ออ่านฟรี

“คิคูชิ เคอิชิ” ใช้ชีวิตอย่างนี้ถึง 7 ปี จนจบปริญญาตรี แต่เป็น 7 ปีที่ทำให้เขาพบว่าโลกของการอ่านหนังสือมันช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน

แต่เขาไม่มีโอกาสทำงานในสิ่งที่ตัวเองชอบและรัก แม้ช่วงเวลาสั้นๆ เขาจะไปทำงานบริษัทแห่งหนึ่ง แต่เขาทำงานเพียง 3 เดือน ก็ลาออก เพราะไม่ใช่ตัวตนของเขา

จนวันหนึ่งมีโอกาสทำงานที่สำนักพิมพ์ Nippon Jitsugyo เขายอมรับว่าที่นี่ให้โอกาสเรียนรู้งานในวงการหนังสือค่อนข้างมาก ยิ่งเมื่อตอนติดตามรุ่นพี่ออกมาเปิดร้านหนังสือของตัวเอง

เขาช่วยรุ่นพี่คนนี้อยู่พักใหญ่

ก่อนที่จะเติบโตเป็นผู้จัดการร้าน จนได้รับความไว้วางใจให้ดูแลการบริหารจัดการคน การจัดซื้อ การส่งคืนของ การบริหารร้าน และอะไรต่างๆ มากมาย

รวมถึงผลกำไรเพียงเล็กน้อยที่เกิดขึ้นจาการขายหนังสือด้วย

“คิคูชิ เคอิชิ” ถามตัวเองบ่อยครั้งว่าทำอย่างไรถึงจะให้ร้านหนังสือมีกำไรมากกว่านี้ แต่เขาไม่พบทางออก กระทั่งเขาทดลองนำนิตยสาร และการ์ตูนเก่าๆ ที่เขาชอบมาวางขาย พร้อมกับลุ้นทุกวันว่าจะขายได้ไหม

ปรากฏว่าขายได้

เขาจึงเริ่มมีความเชื่อว่าถ้าเรานำสินค้าที่บ่งบอกถึงความเป็นตัวเองมาวางขาย นอกจากจะทำให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น ยังทำให้รู้สึกภูมิใจด้วยว่าเราเดาลูกค้าออกว่าเขาชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

ตรงนี้จึงกลายเป็นปฐมบทของการสร้างร้านหนังสือตามใจฉัน หรือ Village Vangaurd ในชื่อที่คนญี่ปุ่นรู้จัก ที่ไม่ได้ขายเฉพาะแต่หนังสือที่เขาชอบเพียงอย่างเดียว หากยังขายสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย

จนทำให้ร้านหนังสือตามใจฉันขยายสาขามากกว่า 396 แห่งทั่วประเทศญี่ปุ่น และฮ่องกงอีก 4 สาขา ทั้งยังต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย

คำถามคือกุญแจความสำเร็จเกิดขึ้นจากอะไร?

คำตอบคือ…คุณจะรู้สึกสนุกเมื่อมายังร้านของผม

ส่วนอีกคนหนึ่งเชื่อว่าหลายคนคงรู้จัก หรือไม่ก็ คงเคยอ่านหนังสือของเธอมาบ้าง โดยเฉพาะหนังสือ “โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ที่มี “คุโรยานาจิ เท็ตสุโกะ” เป็นผู้เขียน

เธอเกิดสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และมีความฝันว่าวันหนึ่งเธอจะเป็นสายลับ แต่เพื่อนของเธอกลับบอกว่า…ไม่มีทางเป็นได้หรอก เพราะเธอพูดเก่ง สายลับต้องรู้จักปิดปาก

เธอจึงละทิ้งความฝัน แล้วหันไปประกอบอาชีพใดก็ได้ที่ทำให้เธอได้พูดมากๆ วันหนึ่งเธอจึงเลือกเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อห้องของเท็ตสุโกะ

แต่กว่าจะมาเป็น “คุโรยานาจิ เท็ตสุโกะ” ในวันนี้ เธอต้องผ่านอุปสรรคขวางกั้นหลายด่าน สาเหตุเพราะเธอเป็นเด็กไม่อยู่นิ่ง เหมือนอย่างครั้งหนึ่งโรงเรียนนำโต๊ะมีฝาเข้ามาไว้ห้องเรียน เธอเปิด-ปิดฝาโต๊ะเรียนเล่นตลอดเวลา พร้อมกับคอยมองว่าเมื่อไหร่คุณลุงที่ตีกลองแจกใบปลิวโฆษณาจะผ่านมาเสียที

เพราะเธอนั่งอยู่ริมหน้าต่าง

แต่ครูกลับมองเธอเป็นเด็กมีปัญหา

ที่สุดจึงเชิญให้ออก

โชคดีที่ “แม่” ของเธอเข้าใจ ไม่ดุด่าว่ากล่าวอะไรสักคำ จากนั้นเธอจึงย้ายไปอยู่โรงเรียน “โทโมะ” ที่มีปรัชญาความเชื่อว่า…เด็กทุกคนเป็นคนดี มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ที่สำคัญ ครูจะต้องทำหน้าที่พัฒนาจุดเด่นของเด็กๆ ไม่ใช่ยัดเยียดแต่ความรู้

“คุโรยานาจิ เท็ตสุโกะ” ยอมรับว่าที่นี่ทำให้เธอมีความสุขมาก ทั้งเธอยังจำได้ว่าวันแรกของการไปโรงเรียน ครูใหญ่ถามเธอว่า…หนูมีอะไรอยากเล่าให้ครูฟังไหม?

เธอจึงเล่าเรื่องโรงเรียนเก่าให้ฟัง เรื่องหมาที่เลี้ยง เรื่องครอบครัว และอื่นๆ อีกมากมาย รวมแล้วกว่า 4 ชั่วโมงที่เธอเล่าให้ครูใหญ่ฟัง จนไม่รู้จะเล่าอะไรอีกต่อไปแล้ว

เธอรู้สึกแปลกใจที่ “ครูใหญ่” นั่งฟังอย่างมีความสุข ทั้งยังบอกเธออีกด้วยว่า…หนูนี่เป็นเด็กดีจริงๆ นะ

“คุโรยานาจิ เท็ตสุโกะ” บอกว่าเธอรู้สึกศรัทธาครูใหญ่คนนี้มากๆ เพราะโรงเรียนแห่งนี้แม้จะรับเด็กทุพพลภาพ แต่เขากลับสอนให้เด็กช่วยเหลือตัวเอง ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน และสามารถเลือกเรียนได้อย่างอิสระ จนทำให้นักเรียนเกิดจินตนาการ

ดังนั้น ถ้าถามว่าแรงบันดาลใจจากการเขียนหนังสือ “โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” มาจากไหน? เธอจึงตอบว่า…มาจากความประทับใจต่างๆ ของโรงเรียนแห่งนี้

จนกลายมาเป็นหนังสือ “โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง” ที่ไม่เพียงจะจุดประกายให้กับวงการศึกษาในประเทศญี่ปุ่น หากยังเป็นหนังสือแห่งแรงบันดาลใจ จนถูกแปลเป็นภาษาต่างๆ กว่า 35 ภาษาทั่วโลก

รวมทั้งภาษาไทยด้วย

ก็ล้วนเกิดขึ้นจากความไม่เอาถ่าน และคำปรามาสของผู้ใหญ่ในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้นเอง?

The post ยิ่งใหญ่ด้วยก้าวเล็กๆ appeared first on มติชนออนไลน์.

‘ออนกรีน การกุศล’ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ 4 ทศวรรษ “ประชาชาติธุรกิจ”

$
0
0

สำหรับผู้หญิง เลข 4 อาจเป็นตัวเลขที่สร้างความหวั่นไหว…

แต่กับสื่อสิ่งพิมพ์เช่น “ประชาชาติธุรกิจ” การก้าวขึ้นสู่ปีที่ 40 เป็นการยืนยันถึงการทำหน้าที่สื่อมวลชนอย่างเที่ยงตรง สม่ำเสมอมาอย่างยาวนาน ที่จะรายงานทุกข่าวสารสำคัญ ทุกความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นในสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง เพื่อ “เตือนคุณล่วงหน้า ทุกคำ ทุกข่าว”

ก้าวสู่ปีที่ 40

คู่มือประกอบการตัดสินใจนักธุรกิจ

ตลอดระยะเวลา 4 ทศวรรษของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เติบโตมาพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย

นับตั้งแต่ยุคแรกที่เริ่มมีตลาดหุ้น จนมาถึงทศวรรษที่ 2 ยุคของโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก หรือ “อีสเทิร์นซีบอร์ด” ก่อเกิดนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ มากมาย ขนาดที่รัฐบาลในขณะนั้นประกาศเป็นยุค “โชติช่วงชัชวาล” เป็นการเปิดประตูสู่อินโดจีนเป็นครั้งแรก

มาถึงทศวรรษที่ 3 ประเทศไทยต้องปรับตัวกับวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง วิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 เป็นผลให้นักธุรกิจ นักอสังหาริมทรัพย์บาดเจ็บกันถ้วนหน้า บ้างล้มหายตายจาก แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่สู้ฟันฝ่าลุกขึ้นอีกใหม่

กระทั่งปัจจุบัน ยุคที่ไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางทำเลที่ถือว่าได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ แต่วิกฤตสังคม การเมือง และเศรษฐกิจภายในประเทศที่เรื้อรังและทับถมมาเนิ่นนาน ทำให้กราฟเศรษฐกิจดิ่งตัวลง ข้อมูลที่เที่ยงตรง เจาะลึก และกว้างครอบคลุม จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการตัดสินใจ

ประชาชาติธุรกิจ ทำหน้าที่เสมือนเป็นผู้ให้ข้อมูลกับนักธุรกิจในเมืองไทย “เตือนคุณล่วงหน้า ทุกคำ ทุกข่าว” โดยจะบอกนักธุรกิจอยู่เสมอว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น เพื่อให้นักธุรกิจสามารถปรับตัว พร้อมรับกับการเปลี่ยนแปลงได้ทันท่วงที

ซึ่งการรู้ล่วงหน้าเช่นนี้ย่อมเป็นประโยชน์อย่างมากต่อนักธุรกิจ เป็นการหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดขึ้น โดยการมองเห็นโลกอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงในกรุงเทพ แต่รวมไปถึงต่างจังหวัด และครอบคลุมไปถึงต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจทั้งสิ้น นี่คือบทบาท

logo_prachachat

เปิดเวทีธุรกิจติดดาว

แรงบันดาลใจ “สตาร์ตอัพ”

หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ถือกำเนิดเมื่อ 29 พฤษภาคม 2519 ในฐานะเป็นหนังสือพิมพ์เศรษฐกิจฉบับแรกของเมืองไทย ที่ไม่เพียงบอกเล่าข่าวสาร ความเคลื่อนไหวในแวดวงอย่างครบครัน ทั้งด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ พร้อมบทวิเคราะห์อย่างลุ่มลึกเพื่อเตือนและชี้แนะให้กับผู้บริโภครับทราบข่าวก่อนใคร และพร้อมที่จะรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

จากรายสัปดาห์เมื่อเริ่มเปิดตัว ปรับเป็นราย 3 วัน โดยวางแผงทุกวันจันทร์และวันพฤหัสบดี เพื่ออัพเดตสถานการณ์ข่าวให้กับผู้อ่านได้ฉับไวมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางสมรภูมิข่าวที่การแข่งขันทางธุรกิจเป็นไปอย่างเข้มข้น

ทั้งนี้ มีหลายธุรกิจที่วันแรกๆ เติบโตมาพร้อมกับประชาชาติมาถึงวันนี้ก้าวขึ้นสู่การเป็นธุรกิจพันล้านหมื่นล้าน เช่น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งเป็น “ยุคของการวางรากฐานของประเทศ”

มาถึงยุคของการสื่อสาร ยุคของธุรกิจไอที นอกจากบทบาทในการเผยแพร่ข่าวสาร “เตือนคุณล่วงหน้า” อีกบทบาทคือ การเป็น “หน้าต่างของข่าวสาร” ในงานประชาชาติทุกปีจะมีการสัมมนา ซึ่งกลายเป็นเวทีแจ้งเกิดของผู้ประกอบการ นักธุรกิจรุ่นใหม่ๆ ได้มาแสดงวิสัยทัศน์ ทำให้เป็นที่รู้จักและสามารถขยายธุรกิจจนเติบโต

ขณะเดียวกัน เวทีนี้ก็เป็นแรงบันดาลใจที่จุดประกายให้กับสตาร์ตอัพหลายต่อหลายราย กล่าวได้ว่า ประชาชาติมีส่วนในการบุกเบิกการทำข่าวตรงนี้ สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ อาทิ เถ้าแก่น้อย เจ เอ็ม คูซีน (JM CUISINE) หรือเจ๊กเม้ง ตำนานก๋วยเตี๋ยวเนื้อเพชรบุรี เคยมาฟังสัมมนาประชาชาติตั้งแต่เป็นนักเรียนมัธยม และเป็นแรงบันดาลใจให้สร้างธุรกิจอาหารความคิดสร้างสรรค์ จนปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการนำไอทีมาใช้กับการทำธุรกิจ

เดินหน้าสู่สื่ออิเล็กทรอนิกส์

ทางเลือกใหม่ ฉับไวทันสถานการณ์

กล่าวกันว่ายุคนี้คนอาจจะพูดว่าเป็นยุคที่คนอ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์กันมาก แต่จากการสำรวจเชื่อว่า บนโต๊ะของนักธุรกิจระดับท็อปๆ เมืองไทยยังคงมีประชาชาติธุรกิจอยู่ เป็นคู่มือประกอบการตัดสินใจ เพราะได้รวบรวมเหตุการณ์สำคัญในรอบสัปดาห์ไว้ให้

สกุณา ประยูรศุข บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา หนังสือพิมพ์ประชาติธุรกิจ บอกว่า การนำเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจจะไม่ใช่เรื่องของการตามกระแสรายวัน แต่จะเจาะลึกในประเด็นสำคัญ ชี้แนะในสิ่งที่จะเกิดขึ้นผ่านบทวิเคราะห์ที่นักข่าวซึ่งมีประสบการณ์ มีความเชี่ยวชาญในเรื่องเศรษฐกิจ ไปเสาะหาข้อมูลมาป้อนให้ มีบทวิเคราะห์ บทสัมภาษณ์ รายงานข่าวสถานการณ์

และอีกก้าวกระโดดของประชาชาติธุรกิจคือ การเปิดเว็บไซต์ www.prachachat.net จากการทำงานมาอย่างต่อเนื่อง 5-6 ปี มีคนติดตามอย่างก้าวกระโดด ตรงนี้เป็นการตอบสนองต่อกลุ่มคนอ่านอีกกลุ่มที่เสพข่าวสารตลอดเวลา เป็นการสร้างคอมมูนิตี้ขึ้นมาใหม่ ซึ่งในแต่ละวันมีคนอ่านหลายแสนคน เฉพาะเฟซบุ๊ก มียอดไลค์กว่า 8 แสนไลค์ รวมทั้งมีอี-บุ๊ก (E-book) สำหรับคนที่สนใจให้อ่านด้วย โดยสามารถสมัครเป็นสมาชิกได้

“เราเดินทางมาถึงวันนี้ขึ้นสู่ปีที่ 40 และด้วยความเชื่อว่าสื่อกระดาษไม่มีวันตาย แม้ในโลกออนไลน์จะมีอะไรมากมาย แต่เราสามารถปรับตัวให้เดินไปข้างหน้าได้โดยคู่ขนานไปกับสื่อออนไลน์และสนับสนุนซึ่งกันและกัน”

456

29 มีนาคม 59 วาระที่ต้องไม่พลาด

“กอล์ฟการกุศล” บนสนามที่สวยที่สุดของเมืองไทย

ในเมื่อเป็นวาระ 40 ปี หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ จึงถือโอกาสนี้จัดงานใหญ่ เชิญชวนร่วมแข่งขันกอล์ฟการกุศล ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทั้งประเภททีมและประเภทบุคคล ในวันอังคารที่ 29 มีนาคม 2559 ณ สนามกอล์ฟ อมตะ สปริง คันทรีคลับ ชลบุรี

“เราอยากทำบุญกุศลร่วมกับผู้อ่าน แฟนประจำของประชาชาติ และประชาชนทั่วไป เราคิดกันว่า หนังสือพิมพ์เราเป็นหนังสือพิมพ์ธุรกิจ ซึ่งกีฬาที่เป็นธุรกิจคงไม่พ้นกอล์ฟ จึงจัดการแข่งขันกอล์การกุศลขึ้นมา โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ พระราชทานถ้วยรางวัล 2 ถ้วย เพื่อให้เป็นรางวัลในการจัดการแข่งขัน ที่สนามกอล์ฟ อมตะ สปริง คันทรีคลับ ชลบุรี ใกล้นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร ซึ่งเป็นสนามระดับเวิล์ดคลาสสำหรับสมาชิกเท่านั้น แต่ยินดีสำหรับประชาชาติธุรกิจ เป็นวาระสำคัญ และถือเป็นการทำกุศลร่วมกัน”

ทั้งยังมีรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย ได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ซึ่งร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอด 40 ปี หลายรายถือเป็นพันธมิตรที่ร่วมฝ่าฟันกันมาตลอด

ที่สำคัญคือรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย สมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลในโครงการสร้างอาคารศูนย์รักษาพยาบาลรวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จ.ชลบุรี

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสัมมนา ซึ่งมีการจัดต่อเนื่องมาโดยตลอด ปีนี้จะมี 3 ครั้ง ครั้งแรกในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นเดือนเกิด หัวข้อเกี่ยวกับโอกาสใหม่ๆ ของธุรกิจไทยในโลกที่เปลี่ยนไป

ครั้งที่ 2 ในเดือนสิงหาคม ว่าด้วยเรื่องของซีเอสอาร์ ซึ่งเป็นอีกหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ ที่จะทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างยั่งยืน

ครั้งที่ 3 จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน เป็นการมองทิศทางธุรกิจในปี 2560

นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นในวาระก้าวขึ้นสู่ปีที่ 40 ของหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

จิรนันท์ สกุลตั้งไพศาล

เจ้าของร้าน ณ ตลาดท่าเรือ รองประธานอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหนองคาย

03

เป็นสมาชิกหนังสือพิมพ์ประชาชาติมาตั้งแต่ฉบับแรก

ชอบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นข่าวธุรกิจ บทความจากต่างประเทศ เรื่องของการตลาด ที่ชอบพิเศษคือ เอชอาร์ และหลังๆ ก็มีเรื่องของซีเอสอาร์ ซึ่งเนื้อหาครอบคลุม และใช้ได้จริง

การทำธุรกิจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวต่างจังหวัดถือว่ามีต้นทุนสูง แต่เราไม่รู้วิธีการจัดการ การอ่านประชาชาติทำให้เห็นทิศทางและวิธีการจัดการ รวมทั้งกระแสโลก สามารถนำมาปรับใช้ และวันนี้สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าได้

ดิฉันอยู่จังหวัดหนองคาย แต่ก็เหมือนกับไม่ได้อยู่ไกลไปจากคนอื่นเลย เหมือนอยู่กรุงเทพฯ ได้ทราบข้อมูลข่าวสารทุกอย่าง ประชาชาติเหมือนเป็นครูคนหนึ่ง มีข้อมูลใหม่ๆ เข้ามา เราก็มาปรับใช้ในบริษัทอย่างจริงจัง เวลามีข่าวความเคลื่อนไหวอะไรเราก็จะทราบก่อน แม้กระทั่งธนาคารไหนมีนโยบายอะไรเราก็ทราบ

ดิฉันเคยเจอวิกฤตตอนปี 40 ต้องบอกว่าดิฉันผ่านวิกฤตความยากลำบากนั้น และได้พัฒนาตนเองจากหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ดิฉันอ่านเกือบจะทุกคอลัมน์ แต่ที่จะเปิดก่อนคือบทความจากต่างประเทศ เรื่องของเอชอาร์และซีเอสอาร์ ดิฉันสนใจธุรกิจเพื่อสังคม คิดว่าถ้าเราช่วยกันสังคมมันก็จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยกันทั้งหมด มองว่าในเรื่องของการทำธุรกิจ การลดความเหลื่อมล้ำ เรื่องของธรรมาภิบาล การที่จะคำนึงถึงผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ

เพราะทุกวันนี้ที่โลกเป็นอย่างนี้ เพราะเหมือนใครเข้าถึงทรัพยากรก่อนได้เปรียบกว่า และเราละเลยการที่จะดูแลสังคม จึงสนใจประเด็นซีเอสอาร์ ซีเอสวี และยังได้นำความรู้ไปเผยแพร่ให้แก่ชาวบ้านด้วย

ธวัชชัย สหัสสพาศน์

ผู้จัดการฝ่ายสร้างสรรค์ธุรกิจ JMcuisine

5678

เป็นแฟนหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจมา 14 ปีแล้วครับ ตั้งแต่สมัยที่ยังเรียนมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบ ตอนนั้นที่บ้านที่จังหวัดเพชรบุรีกำลังมีปัญหา เพราะเพิ่งผ่านวิกฤตเมื่อปี 2540 ไม่นาน ผมและพี่ชาย (ธีรศานต์ สหัสสพาศน์) มีโอกาสได้เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพฯ หลังเลิกเรียนจะเข้าห้องสมุดอ่านหนังสือเป็นประจำ ซึ่งพี่ชายเป็นคนแนะนำให้อ่าน ทำให้ได้เห็นในมุมมองทาด้านเศรษฐกิจที่ไม่เคยรู้

ส่วนใหญ่ผมจะอ่านออนไลน์ และอีบุ๊ก ซึ่งก่อนหน้านี้จะอ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งเป็นราย 3 วัน ทำให้ได้อัพเดตข้อมูลข่าวสารใหม่ๆ ตลอดเวลา ผมชอบส่วนของสถิติ เพราะช่วยสรุปเนื้อหาให้เข้าใจง่ายขึ้น

สื่อกระดาษก็ยังรับอยู่เช่นกัน เพราะที่บ้านอ่านประชาชาติธุรกิจกันทุกคน

สำหรับผมแล้ว “ประชาชาติธุรกิจ” ไม่ใช่แค่เพียงหนังสือพิมพ์ แต่เป็นเหมือนตำราที่ให้เราสามารถนำไปใช้ได้จริง

The post ‘ออนกรีน การกุศล’ ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพฯ 4 ทศวรรษ “ประชาชาติธุรกิจ” appeared first on มติชนออนไลน์.

ม่านประเพณี : ผีเสื้อเนื้อคู่

$
0
0

เมื่อเดือนธันวาคม 2558 วงดนตรีจีนดั้งเดิมจากปักกิ่ง ได้มาแสดงที่หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เนื่องด้วยความสัมพันธ์ไทย-จีน 40 ปี ท่านทูตจีนท่านเป็นคนที่มีความขยันมาก ด้วยเหตุที่ท่านเป็นคนที่มาจากเมืองหูหนาน (Hunan) ซึ่งเป็นเมืองบ้านเกิดของประธานเหมา เจ๋อตุง และเป็นบ้านเกิดของท่านทูตวัฒนธรรมจีนด้วย ท่านก็นำเสนอวงซิมโฟนีจากเมืองหูหนานให้ได้มาแสดงความไพเราะที่ศาลายา

ท่านทูตจึงมีความตั้งใจสูงที่จะอวดวงดนตรีจีนเป็นอย่างยิ่ง ท่านได้นำเสนอวงดนตรีจีน (วงซิมโฟนี) ที่เมืองหูหนาน เมื่อได้เดินทางไปชมด้วยตัวเอง ก็ได้ตอบตกลงที่จะเชิญวงซิมโฟนีประจำเมืองหูหนานมาแสดงที่มหิดลสิทธาคาร ในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม 2559 เวลา 1 ทุ่ม และในวันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2559 เวลา 4 โมงเย็น ซึ่งทั้ง 2 วันมีรายการแสดงแตกต่างกัน วันหนึ่งเป็นเพลงจีน อีกวันหนึ่งเป็นเพลงตะวันตก (รัสเซีย)

มิตรรักแฟนเพลงคนไทยจำนวนมากจะรู้จักบทเพลง “ม่านประเพณี: ผีเสื้อเนื้อคู่” (Butterfly Lovers) ในบทเพลงไวโอลินคอนแชร์โต ผ่านหนังจีน ซึ่งเชื่อว่าเป็นบทเพลงที่ใครๆ ก็อยากฟัง คนที่ชอบดูหนังจีนหรือชอบอ่านนวนิยายจีนก็จะรู้จักนวนิยายเรื่องม่านประเพณีเป็นอย่างดี ซึ่งมีอยู่หลายสำนวน หลายชุด เมื่อถูกนำมาถ่ายทอดเป็นบทเพลงก็สร้างความประทับใจกับผู้ฟังเป็นอย่างมาก

“ม่านประเพณี: ผีเสื้อเนื้อคู่” เป็นนวนิยายของความรักหนุ่มสาวแบบสุดใจขาดดิ้น เป็นเรื่องน้ำเน่าที่มีอยู่ในทุกสังคม แบบเดียวกับโรมิโอและจูเลียตของฝรั่ง หรือเรื่องไททานิก (หนังฮอลลีวู้ด) เรื่องคู่กรรม หรือขวัญเรียมของไทย ซึ่งสามารถสร้างความประทับใจให้กับคนทุกระดับทุกวัย ประหนึ่งว่า “รักเดียวใจเดียวโรเนียวไม่ได้” หรือ “แม้สายลมจะเปลี่ยนทิศ แต่ดวงจิตไม่เคยเปลี่ยนเลย” อะไรทำนองนั้น

ม่านประเพณีเป็นเรื่องของชนชั้นและโอกาสระหว่างหญิงกับชายในสังคมจีนที่ไม่เท่าเทียมกัน ผู้หญิงจะมีโอกาสน้อยกว่าผู้ชาย แม้พ่อแม่ก็ยังอยากมีลูกผู้ชายมากกว่าลูกผู้หญิง เมื่อเป็นเด็กผู้หญิงในสังคมจีนจะหาโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้ก็ยากหรือไม่ได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้อะไร นอกจากจะเป็นคนรับใช้หรือเป็นแม่บ้าน

จู้หยิงไถ่ (นางเอก) เป็นเด็กสาวที่เกิดในครอบครัวมีอันจะกินและอยากเรียนหนังสือ แต่เนื่องจากเป็นผู้หญิงจึงไม่มีโอกาสจะเรียนหนังสือได้ จู้หยิงไถ่จึงปลอมตัวเป็นผู้ชาย ซึ่งทางครอบครัวก็ไม่รู้ว่าเธอได้ปลอมตัวเป็นผู้ชาย แล้วเธอก็เดินทางไปต่างเมืองเพื่อเรียนหนังสือ ระหว่างทางก็ได้พบกับเหลียงซันโป่ (พระเอก) ต่างก็ได้รู้จักและรักกันมาก โดยที่ฝ่ายชายไม่รู้ว่าเพื่อนร่วมสาบานที่ชื่อจู้หยิงไถ่นั้นเป็นผู้หญิง ต่อมาแม่ของจู้หยิงไถ่ล้มป่วยลง ครอบครัวก็ได้ส่งจดหมายให้จู้หยิงไถ่รีบกลับบ้าน

จู้หยิงไถ่ก็ต้องกลับเพื่อไปดูลมหายใจของแม่ ก่อนไปก็ได้ฝากผีเสื้อหยกให้กับเหลียงซันโป่ไว้เป็นที่ระลึก พร้อมกับให้เหลียงซันโป่ตามไปเพื่อสู่ขอน้องสาวของจู้หยิงไถ่แต่งงาน ซึ่งหมายถึงตัวเธอเอง เมื่อจู้หยิงไถ่กลับไปถึงบ้าน ทางครอบครัวก็ได้จัดพิธีแต่งงานของเธอกับลูกผู้มีอันจะกินในเมือง ซึ่งทำให้เธอเศร้าใจมาก ส่วนเหลียงซันโป่ก็เดินทางตามไป จนรู้ความจริงว่า ที่แท้จู้หยิงไถ่เป็นผู้หญิง และถูกบังคับให้แต่งงานกับชายอื่น เหลียงซันโป่ก็ตรอมใจตาย คราวนี้ความรู้ถึงนางเอก เมื่อรู้ว่าพระเอกตามมาและตรอมใจตาย ตัวเองก็ไปที่หลุมฝังศพและฆ่าตัวตายตาม แล้วทั้งคู่ก็ได้ไปเกิดเป็นผีเสื้อ เรื่องก็จบลงแค่นี้

การที่ผู้ประพันธ์เพลง เหอจั้นห่าว และเฉินกัง (He Zhanhao / Cheng Gang) นำเนื้อเรื่องโด่งดังมาเขียนเป็นบทเพลงสำหรับไวโอลินและวงซิมโฟนีออเคสตรา ก็ทำให้บทเพลงเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็วและกว้างขวางมาก จนเพลงนี้กลายเป็นเพลงสัญลักษณ์ของเพลงจีนไปเลย แม้วงดนตรีต่างๆ ในเมืองจีนอยากเล่นเพลงอื่นๆ (เพลงฝรั่ง) ก็ต้องถูกเรียกร้องให้เล่นเพลงนี้จนได้ เช่นเดียวกับวงหูหนาน (Hunan Symphony Orchestra) ซึ่งเขาก็พยายามบ่ายเบี่ยงที่จะเล่นเพลงอื่น เมื่อถูกยื่นเงื่อนไขของการแสดงว่า ท่านจะเล่นเพลงอะไรก็ได้แต่ในรายการจะต้องมีเพลงม่านประเพณี: ผีเสื้อเนื้อคู่ อยู่ด้วยนะ ไม่งั้นก็จะไม่มีผู้ฟังมาดู โดยคุยข่มขู่ได้เล็กน้อย

วงหูหนาน (Hunan Symphony Orchestra) ได้เชิญนักไวโอลินสุดยอดของจีน หลิวเชียว (Liu Xiao) มาร่วมแสดงในครั้งนี้ ในวันแรกวงหูหนานก็จะเล่นม่านประเพณี: ผีเสื้อเนื้อคู่ ซึ่งเป็นบทเพลงเงื่อนไขจากมิตรรักแฟนเพลงชาวไทย ครึ่งหลังก็จะเป็นนิวเวิลด์ซิมโฟนี (New World Symphony) ส่วนในวันที่สอง (วันเสาร์) หลิวเชียวก็จะอวดบทเพลงมาตรฐานสากล ไวโอลินคอนแชร์โต (ดีเมเจอร์) ของไชคอฟสกี ซึ่งคนไทยรู้จักในชื่อเพลง “ม่านไทรย้อย” (ของครูสุทิน เทศารักษ์) ครึ่งหลังก็จะเป็นซิมโฟนี หมายเลข 5 ของไชคอฟสกี

ความจริงนักดนตรีจีนทุกคนหรือผู้นำจีนทุกคนต่างก็ต้องการอวดความสามารถ (เก่ง) ทางดนตรีให้โลกยอมรับเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อจีนเปิดประเทศ คนจีนรวมทั้งรัฐบาลจีนต่างก็ต้องการนำของดี นำคนเก่งออกมาอวดโลกอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครต้องการอวดความล้าหลังแต่อย่างใด แม้จะมีการปกครองที่แตกต่างกันก็ตาม แต่ศักยภาพความเป็นเลิศของมนุษย์ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน อาจจะคุยได้ว่าดีกว่าด้วยซ้ำไป

วงซิมโฟนีออเคสตราจากเมืองหูหนานมาแสดงที่เมืองไทยในครั้งนี้ก็มาเต็มยศทีเดียว เหตุผลหนึ่ง เพื่อต้องการบอกให้ชาวโลกทราบว่า จีนเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม มีประเพณี มีรสนิยม และมีความเจริญ เพราะดนตรีเป็นเครื่องหมายของความเจริญ อีกเหตุผลหนึ่ง จีนต้องการสร้างบทบาทเพื่อคานมหาอำนาจตะวันตกที่อยู่เหนือภูมิภาคอุษาคเนย์ และประเด็นสุดท้าย จีนต้องการบอกกับอาเซียนว่า จีนยังเป็นมิตรกันอยู่นะ

สำหรับประเทศจีนและประเทศที่เจริญแล้ว ทั้งในยุโรปและอเมริกา เขาใช้วัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ ศิลปะ และดนตรี ซึ่งเป็นเรื่องของรสนิยมและเป็นปัจจัยที่สำคัญของชีวิต เป็นเครื่องมือเพื่อบอกถึงความเจริญของประเทศด้วย ดังนั้น กระทรวงต่างประเทศ กระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงท่องเที่ยว แม้กระทรวงการศึกษาของเขา ได้ทำหน้าที่อย่างจริงจังภายใต้นโยบายเดียวกันและสอดคล้องกัน ไม่ใช่ต่างฝ่ายต่างทำ รัฐมนตรีทุกคนก็มีนโยบายของตัวเองที่ไม่ขึ้นแก่กัน อย่างที่เห็นอยู่ในประเทศไทย ของจีนนั้นทุกกระทรวงอยู่ภายใต้นโยบายเดียวกัน

จีนเป็นวัฒนธรรมหลักและวัฒนธรรมที่แข็งแรงมากของตะวันออก มีร้านอาหารจีนขยายไปทั่วโลก โดยไม่ต้องมีลิขสิทธิ์ ซึ่งต่างไปจากวิถีชีวิตตะวันตกที่ต้องมีเจ้าของลิขสิทธิ์ ดังนั้น การปรับตัวของวัฒนธรรมจีนจึงซึมลึกไปทั่วเหมือนน้ำ ยิ่งในภูมิภาคอุษาคเนย์นั้น แยกกันไม่ออกว่า หากไม่มีวัฒนธรรมจีน หรือเอาความเป็นจีนออกไปแล้ว ที่เหลือจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสียงเพลง หรือวิถีชีวิตความเป็นอยู่

หากมีเวลา วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม เวลา 1 ทุ่ม ลองมาฟังวงซิมโฟนีออเคสตราจีน เล่นเพลงจีน และในวันเสาร์ที่ 26 เวลา 4 โมงเย็น ลองมาฟังวงซิมโฟนีออเคสตราจีน เล่นเพลงฝรั่งบ้าง ฟังว่ามันเหมือนหรือมีความแตกต่างอย่างไร อาคารมหิดลสิทธาคารที่ศาลายานั้น บัดนี้ได้เป็นพื้นที่ที่วงดนตรีดีๆ ทั้งหลายในโลก อยากมาแสดง

The post ม่านประเพณี : ผีเสื้อเนื้อคู่ appeared first on มติชนออนไลน์.


โลกสองวัย : เชิญแข่งขันกอล์ฟ

$
0
0

นานที 40 ปีเพิ่งมีครั้งแรก “ประชาชาติธุรกิจ ครบรอบ 40 ปี” เชิญพี่เพื่อนน้อง และนักหวดลูกกลมๆ บนกรีน ร่วมแข่งขันกอล์ฟการกุศล ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สนามกอล์ฟอมตะ สปริง คันทรีคลับ จ.ชลบุรี

วันอังคารที่ 29 มีนาคม 2559 (Shotgun Start เวลา 12.00 น.)

สอบถามรายละเอียดที่คุณวรรณศิริ วงศ์วานิช โทรศัพท์ 0-2580-0021 ต่อ 1544, 08-2993-9079 หรือ wansiri.v@gmail.com

รายการแข่งขันเริ่มเวลา 10.00 น. รับประทานอาหารก่อนออกรอบ

เวลา 11.45 น. นายฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เรียนเชิญประธานในพิธี พล.อ.สำเภา ชูศรี กล่าวเปิดงาน

เวลา 12.00 น. Shotgun Start

กติกาการแข่งขัน ระบบ 36 System ออกรอบพร้อมกันทุกหลุม

การแข่งขันแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ

1.ประเภททีม ทีมละ 4 คน คิดคะแนนสุทธิ (Net Score) ทีมที่มีคะแนนรวมของผู้เล่นดีที่สุด 3 คน น้อยที่สุดเป็นทีมชนะ หากคะแนนเท่ากันให้นับแต้มต่อรวมของผู้เล่น 3 คน ทีมที่มีแต้มต่อรวมน้อยที่สุดเป็นทีมชนะ หากแต้มต่อรวมเท่ากัน ให้นับคะแนนรวมตั้งแต่หลุมที่ 1 เป็นต้นไป ทีมคะแนนรวมน้อยที่สุดเป็นทีมชนะ

2.ประเภทบุคคล ประเภท Net Score ผู้ที่ทำคะแนนหักแต้มต่อแล้วน้อยที่สุดเป็นผู้ชนะ ประเภท Gross Score ผู้ที่ทำคะแนนรวมโดยไม่หักแต้มต่อแล้วน้อยที่สุดเป็นผู้ชนะ

กรณีที่เสมอกันประเภทบุคคล Net Score ผู้ที่มีแต้มต่อน้อยกว่าเป็นผู้ชนะ หากมีแต้มต่อเท่ากันให้นับแต้มตัดสินตั้งแต่หลุม 1 เป็นต้นไป

ประเภทบุคคล Gross Score ผู้ที่มีแต้มต่อมากกว่าเป็นผู้ชนะ หากมีแต้มต่อเท่ากันให้นับคะแนนตัดสินตั้งแต่หลุม 1 เป็นต้นไป

การตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่สุด พิธีมอบรางวัล หลังเสร็จสิ้นการแข่งขัน

รางวัลประกอบด้วย

ประเภททีม รางวัลชนะเลิศ ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1 รางวัล

ประเภทบุคคล Overall Low Gross ถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 1 รางวัล, Lady Flight 1 รางวัล, Flight A 1 รางวัล, Flight B 1 รางวัล, Flight C 1 รางวัล

รางวัลตีใกล้ธง ทุกหลุมพาร์ 3 รางวัล ตีไกล 2 รางวัล รางวัลโฮลอินวัน รถยนต์ ALL NEW MAZDA CX-3 นอกจากนั้นยังลุ้นจับรางวัลจากรายชื่อผู้เข้าร่วมแข่งขันเป็นอุปกรณ์ไฟฟ้า อุปกรณ์ของใช้ ฯลฯ

เสร็จการแข่งขัน 18.30 น. รับประทานอาหารค่ำ พร้อมฟังเพลงไพเราะจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล กระทั่ง 20.00 น. ประธานกล่าวปิดการแข่งขัน และถ่ายภาพร่วมกัน

การแข่งขันกอล์ฟครั้งนี้ทำบุญครบรอบการก่อตั้งหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ ในเครือบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) ย่างเข้าสู่ปีที่ 40 รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายสมทบทุนโดยเสด็จพระราชกุศลในโครงการสร้างอาคารศูนย์รักษาพยาบาลรวมเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า โรงพยาบาลสมเด็จพระบรมราชเทวี ณ ศรีราชา จ.ชลบุรี

ผู้จัดการแข่งขัน ประธานกรรมการที่ปรึกษา ขรรค์ชัย บุนปาน ประธานกรรมการบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน), พล.อ.สำเภา ชูศรี, ดร.วีรพงษ์ รามางกูร, ปิยะชาติ มงคลไชยสิทธิ์, พล.ต.ต.นรศักดิ์ เหมนิธิ กรรมการจัดงาน, ฐากูร บุนปาน กรรมการผู้จัดการ, จรัญ พงษ์จีน, ชลิต กิติญาณทรัพย์, กิตติชัย อินทร์นุรักษ์, สุชาติ ศรีสุวรรณ และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์มติชน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ

 

The post โลกสองวัย : เชิญแข่งขันกอล์ฟ appeared first on มติชนออนไลน์.

นัดแล้วห้ามเปลี่ยนแปลง! ‘สถานการณ์เชิญตัว’สะท้อนอะไรในบ้านเมือง

$
0
0

อาจจะพูดยากสักหน่อยว่าการถูกเจ้าหน้าที่ทหารเชิญตัวไปพูดคุยนั้นเป็นบรรยากาศที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจ

แต่คงพอถูๆ ไถๆ พูดได้แค่ว่าคงไม่เหงาเพราะถึงอย่างไร ถูกเชิญไปคงต้องมีเรื่องให้พูดคุยแน่-เผลอๆ อาจไม่ต้องเหงากันข้ามวันข้ามคืน

จนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลาสองปีกว่าแล้วที่บรรยากาศเหล่านี้ปกคลุมอยู่ในประเทศ หลายต่อหลายคนถูกเชิญตัวไปพูดคุยหรือปรับทัศนคติ นับตั้งแต่รายใหญ่ๆ จนถึงคนตัวเล็กตัวน้อยที่อาจแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองได้ไม่ถูกใจผู้นำนัก จนต้องนำตัวไปเพื่อทำความเข้าใจในความแตกต่างทางความคิดของประชาชน

กระทั่ง วลีที่ว่า “ไปปรับทัศนคติ” กลายเป็นคำพูดใช้หยอกเอิญหรือเย้าแหย่กันของหลายๆ คน ไม่เกินไปนักหากจะบอกว่า นั่นเป็นการกระเซ้าที่หม่นเศร้า เพราะความในจริงแล้ว การถูกบังคับหรือถูกเชิญไปโดยไม่มีอำนาจในการปฏิเสธ ย่อมไม่เรียกว่าเป็นการพูดคุยที่ดีหรือมีความสุขได้

แต่รูปแบบการเชิญไปพูดคุยเช่นนี้ก็ยังดำเนินเรื่อยมา ท่ามกลางการทำงานอย่างแข็งขันของเจ้าหน้าที่ ที่ดูคล้ายจะมีหลายเรื่องราวอยากแลกเปลี่ยนความเห็นกับประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตน โดยเฉพาะในห้วงยามนี้ที่ร่างรัฐธรรมนูญกำลังรอลุ้นประชามติ

และล่าสุด ชื่อของ วัฒนา เมืองสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย, อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด อดีตรักษาการโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ สราวุธ บำรุงกิตติคุณ เจ้าของเพจเปิดประเด็น ก็เป็นอีกชื่อที่ทางรัฐบาลให้ความสนใจอยากเชิญไปพูดคุยด้วย-และเป็นอีกครั้งที่สังคมเฝ้าจับตามองการเรียกตัวในครั้งนี้ด้วยความสนใจ ไม่ว่าจะในแง่สวัสดิภาพของผู้ที่ถูกเรียกตัว ไปกระทั่งนัยยะของรัฐบาลเอง

ใช่หรือไม่ว่าผู้คนเหล่านั้น มากน้อยแม้จะข้องเกี่ยวกับวงการการเมือง แต่ก็เป็นรายชื่อที่ออกจะ “ห่างไกล” กับความเป็นผู้นำมวลชน

พูดอีกอย่าง การเรียกไปพบปะครั้งนี้ของ คสช. นั้น คือการเอื้อมมือมาคว้าไหล่ของเหล่า “คนอื่น” หรือคนตัวเล็กตัวน้อย

และใช่แล้ว-คนตัวเล็กตัวน้อยที่อาจเป็นใครก็ได้สักคนในสังคมที่พูดหรือคิดต่างไปจากรัฐบาล

02
ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น

นัดได้ด้วยอำนาจ
เมื่อรัฐบาลอยากคุยกับเจ้าของเสียงวิจารณ์

“ถ้าใช้กรอบมองแบบการเมืองชนชั้นนำ ในระยะนี้จะพบว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเรื่องการต่อประชามติร่างรัฐธรรมนูญพอดี ไม่แปลกที่รัฐบาลจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะ” ภาคิไนย์ ชมสินทรัพย์มั่น นักวิชาการอิสระให้ความเห็น ทั้งยังเสนอว่า ที่ผ่านมา คสช. เองใช้วิธีเจรจา ประนีประนอม พร้อมๆ กับแสดงอำนาจในเวลาเดียวกัน

“อย่างคุณวัฒนา เมืองสุขก็เป็นคนจากพรรคเพื่อไทย การที่เขาถูกเชิญตัวก็เป็นหลักฐานที่ชี้ให้เห็นว่า ไม่ว่าจะประนีประนอมหรือมีการปะทะคารมทางการเมืองอย่างไร สุดท้ายทหารก็เลือกจะแสดงอำนาจของพวกเขาเองผ่านการจับกุมผู้คนเหล่านี้เหมือนเดิม”

ประเด็นสำคัญที่ภาคิไนย์ให้ความสนใจมากกว่าใครจะถูกจับ คือการที่ คสช. เชิญคนไปพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติอย่างมีนัยยะหลังถูกวิจารณ์เรื่องร่างรัฐธรรมนูญ

ยิ่งเฉพาะช่วงนี้-ช่วงที่ คสช. เองอยากดันร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ให้ผ่าน แต่ก็คล้ายว่าจะยากเย็นยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นเขา

“ดูจากปรากฏการณ์ต่างๆ ก็จะพบว่า ฝ่ายการเมืองแทบทุกฝ่ายรุมวิพากษ์วิจารณ์ คสช. จนแทบเป็นเสียงเดียวกัน และล่าสุด พลเอกประยุทธ์ก็ออกมาบอกว่าจะร่างใหม่ก็ได้ถ้าร่างฯ ฉบับนี้ไม่ผ่าน”

“ฉะนั้น ผมคิดว่าการที่ คสช. เรียกเชิญผู้คนไปคุยด้วยนั้น เป็นเรื่องของแสดงอำนาจของ คสช. และเป็นการพยายามประนีประนอมไปในเวลาเดียวกัน มันเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฉันมีอำนาจเหนือคุณ ฉันจึงเรียกคุณมาได้”

เหล่านี้ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลเองก็ลำบากใจและมากน้อย ย่อมเหน็ดเหนื่อยที่จะยืนอยู่ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่เชี่ยวกรากของประชาชนในประเทศต่อร่างรัฐธรรมนูญล่าสุด ซึ่งเห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่ร่างฯ ที่ “น่ารัก” ต่อวิถีชีวิตประชาชนเท่าใดนัก

“เขายืนอยู่ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ที่หนักมาก จากนี้คิดว่า รัฐบาลคงจะเรียกตัวผู้คนมาพูดคุยด้วยมากขึ้นเพราะอยากให้ประชาชนหุบปากเสียที” เป็นคำลงท้ายที่คล้ายจะย้อนแย้งต่อการกระทำของ คสช. เองของภาคิไนย์

 

03
สมชาย ปรีชาศิลปกุล

เชือดไก่ให้ลิงดู
เมื่อการวิจารณ์ขยายวงกว้างในหมู่ประชาชน

ใช่ว่าการถูกวิจารณ์นั้นเป็นความกดดันอย่างใหญ่หลวงที่ คสช. ต้องเผชิญในเวลานี้ แต่ถึงอย่างไร คงต้องยอมรับว่า หนึ่งในสาเหตุนั้นย่อมมาจากการที่ คสช. เองตั้งอยู่บนพื้นฐานของความไม่สามารถสื่อสารกับคนในสังคมได้อย่างตรงไปตรงมา

หรือหนักหนากว่านั้น-นี่อาจเป็นการคุยกันคนละภาษากับคนในสังคมเสียด้วยซ้ำ

สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มองว่าประเด็นนี้คือปัญหาใหญ่ของรัฐบาล คสช.

“หมายความว่า คสช. คิดว่าการแสดงความเห็นของประชาชนคือปัญหา แต่เดิม ก่อนหน้านี้ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอาจจะแคบ คืออาจอยู่ในกลุ่มคนที่สนใจการรัฐประหารของ คสช. แต่ตอนนี้ กลุ่มคนเหล่านั้นขยายวงกว้างมากขึ้น เราเองจะเห็นว่าประเด็นที่กลุ่มวิจารณ์การใช้อำนาจของคณะ คสช. เริ่มครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น”

“คือไม่ใช่วิจารณ์การเมืองแต่เพียงประเด็นเดียวแล้ว แต่ยังวิจารณ์ถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ตามขึ้นมาด้วย”

เหล่านี้ล้วนเป็นข้อบ่งชี้ว่า รัฐบาลไม่อาจตั้งฐานอยู่บนการนึกคิดไปเองฝ่ายเดียวได้แล้วว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นสิ่งที่ดีและถูกต้องเสมอไป แต่ต้องผ่านการวิพากษ์วิจารณ์และถกเถียงจากฝ่ายต่างๆ ในสังคมอย่างเสมอภาค และที่ชัดที่สุด สองปีที่ผ่านมาย่อมเป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากพอว่าการเรียกคนมาปรับทัศนคตินั้น ไม่ช่วยให้สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

“ช่วงแรกๆ คสช. พยายามปรามคนที่อาจดูเป็นแกนนำหรือผู้มีอิทธิพล แต่ระยะหลัง หลายคนที่วิจารณ์หรือออกความเห็นต่อการกระทำของ คสช. ก็เริ่้มกระจายไปในวงกว้าง การเรียกคนตัวเล็กตัวน้อยเหล่านี้ไปปรับทัศนคติจึงเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู เพราะเขาคงไม่มีความสามารถพอจะเรียกคนที่วิจารณ์เขาทุกคนมานั่งพูดคุยได้ จึงต้องเรียกบางคนมาเท่านั้น”

“แต่ส่วนตัวผมคิดว่า การที่รัฐบาลทำอย่างนี้ นอกจากคนจะไม่เชื่อแล้วยังต่อต้านกลับอีกด้วย” สมชายสรุป

 

04
ชำนาญ จันทร์เรือง

 

เราจะยกเลิกนัดไหน กับใครก็ได้
แต่เรายกเลิกนัดที่ไปปรับทัศนคติกับเจ้าหน้าที่ ไม่ได้!
และอีกประเด็นที่อยู่ในความสงสัยของหลายคน-ใช่หรือไม่ว่า การเรียกตัวของ คสช. นั้น เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานโดยตรง

เพราะไม่ไปก็ไม่ได้ ถึงอย่างไรคงต้องไป ‘คุย’ กับเจ้าหน้าที่จนได้

“อันที่จริงก็ปฏิเสธได้นะ” ประโยคนี้ของ ชำนาญ จันทร์เรือง ประธานกรรมการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย สร้างความหวังขึ้นมาวูบเล็กๆ ในการจะ ‘ปัด’ คำเชิญตัวของเจ้าหน้าที่ แต่เขาก็ดับความหวังนั้นด้วยประโยคต่อมา “แต่ทางรัฐบาลเขาคงอ้างมาตรา 44 จนได้ว่ามีอำนาจในการควบคุมตัว 7 วัน ซึ่งถ้าปฏิเสธอีก เขาคงแจ้งข้อหาและควบคุมตัว ใช้กำลัง ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่เห็นด้วย”

สุดท้ายแล้วหนทางปฏิเสธนัดครั้งนี้จึงเท่ากับศูนย์ไปโดยปริยายตามความหมายของชำนาญ

และใช่แล้ว-ว่านี่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนแน่นอน 100 เปอร์เซ็นต์

“จริงๆ รัฐทำไม่ได้ ถ้าจะเชิญตัวคนก็ต้องเป็นสถานการณ์พิเศษจริงๆ คือภาวะสงคราม, การจลาจล หรือเกิดภัยพิบัติร้ายแรง เพราะมีกฎหมายความมั่นคงที่อนุญาตให้ทำเช่นนั้นได้ในชั่วครั้งคราว ไม่ใช่เชิญตัวยาวนานเป็นการถาวรเช่นนี้”

“ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นการดำเนินนโยบายที่ไม่ฉลาด เพราะเรียกประชาชนไปทั่วเลย แล้วผลที่ออกมาก็ไม่ดีด้วยเพราะสุดท้าย คนที่อยู่กลางๆ แรกๆ เขาอาจจะชอบใจที่บ้านเมืองสงบพอควร แต่พอมันเริ่มเป็นการคุกคาม พวกเขาก็เริ่มเห็นอันตรายที่มาถึงตัว”

“เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่าญาติพี่น้องจะโดนเมื่อไหร่”

 

ใช่แล้วว่าอาจจะพูดยากสักหน่อยว่าการถูกเจ้าหน้าที่ทหารเชิญตัวไปพูดคุยนั้นเป็นบรรยากาศที่ชวนให้อบอุ่นหัวใจ แต่ถึงอย่างไร สำหรับบางคน บรรยากาศภายใต้การปกครองของรัฐบาลชุดนี้ก็ย่อมสงบเงียบ ไร้ซุ่มเสียงการทะเลาะเบาะแว้งทางการเมือง

แต่การทำเป็นเมิน ไม่รู้ไม่เห็นว่าภายใต้พรมของความสงบเรียบร้อยนั้น ซุกซ่อนด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์เห็นต่างต่อการกระทำของรัฐบาล ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ “โหดร้าย” อยู่ไม่น้อย

เพราะเมื่ออำนาจคุกคามมาถึงคนอื่นคนไกลที่อยู่นอกเหนือจากแวดวงการเมือง นั่นไม่เพียงสะท้อนต่อความเปราะบางของรัฐเอง

แต่มันยังสะท้อนมาถึงความปลอดภัยอันเบาบางของประชาชน ภายใต้รัฐที่ชอบชวนเราไปพูดคุยกันในที่ลับตาแห่งนี้ด้วย

The post นัดแล้วห้ามเปลี่ยนแปลง! ‘สถานการณ์เชิญตัว’ สะท้อนอะไรในบ้านเมือง appeared first on มติชนออนไลน์.

โลกสองวัย : เกือบหมดปัญหาแล้ว

$
0
0

ทำอย่างไรให้การนับอายุของผู้ที่เกิดเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ของ พ.ศ.2484 จึงจะยอมรับการนับอายุไม่ใช่การหักลบอย่างธรรมดา เนื่องจาก พ.ศ.2484 เริ่มต้นวันที่ 1 มกราคม สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2484 แต่ พ.ศ.2483 เริ่มต้นตั้งแต่ 1 เมษายน สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม

เมื่อมาถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ.2483 มติคณะรัฐมนตรีขณะนั้น สมัยที่จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี ให้เปลี่ยนวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2483 เป็นวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2484 คือให้เริ่มต้นวันปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม ตามที่นานาประเทศใช้ ไม่ใช่วันที่ 1 เมษายนดังที่ใช้มานานนับสิบปี

ดังนั้นเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม พ.ศ.2483 จึงไม่มี

ผู้ที่เกิดวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2482 จะมีอายุครบ 1 ปีตามการนับเดือน พ.ศ.2484 เนื่องจากไม่มีเดือนมีนาคม 2483

เขียนเรื่องนี้หลายครั้งหลายหน เนื่องจาก “ผู้อ่านประจำ” มักเขียนจดหมายมาถึงข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ชี้แจงเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะคือเรื่องวันเดือนปีเกิดของอาจารย์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ท่านเกิดวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2459 จัดเป็นคนไทยกลุ่มพิเศษคือเกิดในเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ก่อน พ.ศ.2484 การนับอายุจะไม่ใช่การหักลบอย่างธรรมดา

“ผู้อ่านประจำ” บอกมาว่าอาจารย์ป๋วยอายุครบ 23 ปี วันที่ 9 มีนาคม 2482 แต่เมื่อเวลาผ่านไป 12 เดือน อาจารย์ป๋วยอายุครบ 24 ปี ในวันที่ 9 มีนาคม 2484 แทนที่จะเป็น 2483 เพราะ 2483 ไม่มีเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม

ด้วยเหตุผลนี้อาจารย์ป๋วยจะมีอายุครบ 100 ปี ในวันที่ 9 มีนาคม 2560 แปลว่าเราจัดงานให้ท่านผิดไปปี “ผมเป็นห่วงมานานแล้ว”

“ผู้อ่านประจำ” ขึ้นต้นจดหมาย เล่นเอาคนอ่าน “โตะจายโหมะเลย” ว่า เฮี้ยน เฮี้ยน เฮี้ยน จริงๆ ถึง 2 บรรทัด แล้วต่อด้วยว่า

“ผมนึกถึงเพลงโฆษณาแฟลตปลาทอง (คุ้ม คุ้ม จริงๆ คุ้มที่แฟลตปลาทอง-น้องหนูได้ฟังทันไหม) ไม่ทราบว่าคุณจะจดจำเพลงโฆษณานี้ได้หรือเปล่า (เวลาล่วงเลยมาร่วม 30 ปีแล้ว)

ที่รู้สึกว่า”เฮี้ยน” ก็เนื่องมาจากเห็นข่าวมติชนบอกว่าจะมีสุริยุปราคาเต็มดวงในวันที่ 9 มีนาคม 2559 ซึ่งเป็นวันที่ประเทศไทยจะมีการจัดงาน 100 ชาตกาลอาจารย์ป๋วย เป็นงานที่บรรดาลูกศิษย์จัด ไม่ใช่รัฐบาลจัด

ผมเป็นห่วงมานานแล้ว เพราะอาจารย์ป๋วยเกิด 9 มี.ค.2459 จัดเป็นคนไทยกลุ่มพิเศษคือเกิดในเดือน ม.ค., – ก.พ., – มี.ค. ก่อนปี 2484 การนับอายุจะไม่ใช่การหักลบอย่างธรรมดา เพราะก่อน 2484 ศักราชของไทยเริ่ม 1 เม.ย. จบ 31 มี.ค. และใช้มาจนถึง ธ.ค. 2483 ไม่มีเดือน ม.ค., ก.พ., มี.ค. นั่นคือพอสิ้นวันที่ 31 ธ.ค. 2483 ก็ขึ้น 1 ม.ค. 2484 เลย…

ความเฮี้ยนของอาจารย์ป๋วยยังแรงขึ้นมาอีก เพราะเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงเมื่อ 2 มี.ค.59 แต่เดชะบุญที่ไม่เกิดภัยพิบัติและสึนามิเลย และก็หวังว่าต่อจากนี้คงไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรขึ้นมาอีก

เผอิญมติชนฉบับวันศุกร์ 4 มี.ค.59 มีบทความของ มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด หน้า 20 “ต้นทุนของสังคมผู้สูงวัย” เป็นบทความที่ดีมาก แต่ให้ความรู้สึกว่าผู้สูงอายุไทยนั้นจะสร้างปัญหาให้สังคมไทยมาก เพราะเราแก่ก่อนรวย ดังนั้นที่คุณเสนอให้เรียกผู้สูงอายุว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิตขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 คงไม่ค่อยมีคนชอบใจสักเท่าใด เพราะผู้เชี่ยวชาญชีวิตของคุณนั้นดูจะเป็นภาระที่น่าหนักใจของสังคมโดยรวม

สิ่งที่ควรเปลี่ยนแปลงคือ ต้องขอให้คนไทยทำงานนานขึ้น เพื่อจะได้สร้างผลผลิตเอาไว้ใช้ในยามที่ร่างกายไปไม่ไหวแล้ว”

นั่นซิ ทุกวันนี้วัยที่เรียกว่า “ผู้เชี่ยวชาญชีวิต” ยังแข็งแรงทำงานไหวสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญชีวิตจริงๆ

The post โลกสองวัย : เกือบหมดปัญหาแล้ว appeared first on มติชนออนไลน์.

เส้นทาง…คนหนังสือพิมพ์ กับ 4 ‘รอยต่อ’คน ‘มติชน’

$
0
0

“เส้นทาง…คนหนังสือพิมพ์”

“เกิดขึ้นมาจากเจตนาของสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยที่ต้องการบันทึกประวัติ เรื่องราวของคนหนังสือพิมพ์ที่ยังมีชีวิตอยู่..”

“..ที่สำคัญ เส้นทางคนหนังสือพิมพ์อีก 17 ท่านยังมีคุณค่าในเชิงประวัติศาสตร์เพราะทุกท่านคือ รอยต่อ ของประวัติศาสตร์ระหว่าง นักหนังสือพิมพ์รุ่นเก่าจนถึงนักหนังสือพิมพ์รุ่นใหม่..”

รอยต่อ นี้แหละที่อยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทย”

“แม้กระทั่งเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง 2540 รอยต่อทั้ง 17 ท่าน ล้วนแต่ต้องเผชิญอย่างเลี่ยงไม่ได้…”

นี่คือส่วนหนึ่งของคำนำของหนังสือ “เส้นทาง…คนหนังสือพิมพ์” โดย เปี่ยมศักดิ์ คุณากรประทีป บรรณาธิการ ที่ได้อธิบายเจตจำนงในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ขึ้นเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของ “รอยต่อ” ประวัติศาสตร์ ทั้ง 17 ท่านจากสื่อสำนักต่างๆ สู่สื่อมวลชนรุ่นใหม่

ซึ่งทางทีมข่าวเฉพาะกิจได้เรียบเรียงส่วนหนึ่ง

อันเป็น 4 รอยต่อ คน “มติชน” เอาไว้ ณ ที่นี้

ขรรค์ชัย บุนปาน
ขรรค์ชัย บุนปาน

ขรรค์ชัย บุนปาน : ผู้สร้างอาณาจักรมติชน

ชื่อ ขรรค์ชัย บุนปาน เอ่ยขึ้นจริงๆ แล้วย่อมแพร่หลายและเป็นที่รู้จักในวงการสื่อมวลชน ค่าที่เจ้าของชื่อนั้นมีฝีไม้ลายมือ พิสูจน์ความสามารถไม่รู้กี่แขนงต่อกี่แขนงมาแล้ว

แต่ชัดเจนสุด คือ ตำแหน่งหนึ่งในผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน

“ขึ้นชื่อว่ามีอาชีพนักข่าวแล้ว อยู่ตรงไหนก็ต้องทำข่าว ต้องหาข่าวเขียนข่าวเสมอไม่ว่ายุคสมัยและสถานการณ์จะเปลี่ยนไปอย่างไร คนทำข่าวก็ยังต้องหาข่าวและเขียนข่าว รูปแบบการนำเสนออาจเปลี่ยนไปบ้าง วิธีการหาก็อาจจะเปลี่ยนไป”

“แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังต้องเขียนอยู่ดี”

เป็นบทสัมภาษณ์ของขรรค์ชัย โดยมี ชุติมา นุ่นมัน เป็นผู้เรียบเรียง

ขรรค์ชัยเป็นชาวราชบุรีโดยกำเนิด จบ ม.6 จากโรงเรียนวัดราชโอรสาราม ม.7-8 ที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ ที่ซึ่งโชคชะตานำพาให้รู้จักกับเพื่อนรักที่ผ่านรอยยิ้มและคราบน้ำตามาด้วยกันจนทุกวันนี้อย่าง สุจิตต์ วงษ์เทศ ร่วมสร้างสรรค์งานเขียนและกรุยทางสื่อสิ่งพิมพ์ จนได้รับฉายาในวงการสื่อว่า สองกุมารแห่งสยาม

ในระดับอุดมศึกษา ขรรค์ชัยและสุจิตต์ยังเข้าศึกษาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรด้วยกัน และในช่วงวันเวลาเหล่านี้เองที่ทั้งสองตีพิมพ์งานเขียนร่วมกันหลายต่อหลายเล่ม กอดคอกับ เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ เพื่อนรักอีกคนให้ช่วยจัดพิมพ์ให้

และตอนนั้นเองที่เขาได้มีโอกาสพบกับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และเป็นที่โปรดปรานมาก กระทั่งเมื่อเรียนจบ ขรรค์ชัยจึงตรงไปทำงานกับอาจารย์หม่อมที่หนังสือพิมพ์สยามรัฐอย่างที่ใฝ่ฝันไว้

ทว่าในขวบปีที่ 27 ขรรชัยและสุจิตต์ถูกไล่ออกจากสยามรัฐด้วยเหตุว่าหัวแข็ง เชื่อมั่นในตัวเองเกินไป

นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานหนังสือพิมพ์อย่างจริงจัง

วันที่ 18 มกราคม 2521 นั่นเอง ที่ขรรค์ชัยและเพื่อน ประกอบด้วยสุจิตต์ วงษ์เทศ และพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ได้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชนด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท

สำหรับอนาคต ขรรค์ชัยบอกว่า “กว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์มติชน เราก็ผ่านอะไรมาเยอะ เยอะจนทำให้คิดได้ว่าความจริงของชีวิตคือการเปลี่ยนแปลง และหากเราจะอยู่ให้ได้เราก็ต้องปรับตัวไปกับการเปลี่ยนแปลงนั้น”

“ทุกวันนี้รูปแบบการนำเสนอข่าวเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าไม่ปรับตัวก็อยู่ไม่ได้ จะค่อยๆ ตายไปทีละน้อย ตายไปพร้อมกับยุคสมัย ดังนั้นจึงอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง”

“ในอนาคตหนังสือพิมพ์อาจจะมีหรือไม่มีก็ตาม รูปแบบการนำเสนออาจจะเปลี่ยนจากกระดาษเป็นออนไลน์ จะอะไรก็แล้วแต่ แต่ถ้าเป็นนักข่าว เรายังต้องทำข่าว เพราะผู้คนยังต้องการบริโภคข่าวสารอยู่”

เป็นคำตอบต่ออนาคตของผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์มติชน

สุจิตต์ วงศ์เทศ
สุจิตต์ วงศ์เทศ

สุจิตต์ วงศ์เทศ : ดุดัน แหกคอก นอกตำรา

ในวัย 70 ปีของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ใช้เวลากับการจิบชาอุ่นๆ ในยามค่ำแทนการร่ำสุรา และเขียนวิพากษ์สังคม การเมืองและวัฒนธรรมผ่านคอลัมน์อันดุเดือด ร้อนแรง สยามประเทศไทย รวมถึงกลอนวันอาทิตย์ในหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน

ช่วงที่สุจิตต์สอบเข้าคณะโบราณคดี ม.ศิลปากร เขามีโอกาสได้ทำนิตยสารช่อฟ้า ซึ่งนับเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการทำหนังสือ เพราะแม้นิตยสารจะเลิกไปแล้วก็ยังขอเป็นลูกจ้างโรงพิมพ์ย่านเฟื่องนคร

เช่นเดียวกับขรรค์ชัยที่ถูกไล่ออกจากสยามรัฐพร้อมกัน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สองกุมารแห่งสยามเริ่มต้นเปิดโรงพิมพ์พิฆเณศย่านแพร่งสรรพศาสตร์เมื่อ พ.ศ.2515 รับจ้างพิมพ์หนังสือทุกชนิด และภายหลัง 14 ตุลาฯ 2516 ก็ออกหนังสือพิมพ์ประชาชาติรายสัปดาห์ ร่วมกับเดอะ เนชั่น โดยสุทธิชัย หยุ่น และพงษ์ศักดิ์ พยัฆวิเชียร ร่วมด้วยอีกราย ก่อนขยับขยายเป็นประชาชาติรายวัน โดยสุจิตต์รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการบริหาร

“ความจริงผมถนัดไปทางฝ่ายผลิต แต่เพื่อนๆ พี่ๆ ที่ร่วมก่อตั้งมีมติให้เป็นบรรณาธิการบริหาร ก็จำใจต้องรับทั้งที่ไม่ถนัดงานบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก” สุจิตต์กล่าวกับ น.รินี เรืองหนู และพันธุ์ทิพย์ ธีระเนตร ในบทสัมภาษณ์

หลังจากผ่านพ้นวิกฤต 6 ตุลาฯ 2519 ที่นักเขียน นักข่าวรุ่นใหม่ ถูกตามล่า จนต้องใช้ชีวิตนอน “คืนละบ้าน” เมื่อทุกอย่างคลี่คลาย ขรรค์ชัยและเรืองชัยได้ออกหนังสือพิมพ์ใหม่ พัฒนาจนเป็น “มติชน”

ส่วนสุจิตต์นั้นแยกตัวไปทำงานด้านประวัติศาสตร์ตามความตั้งใจที่มีแต่แรกเริ่ม และออกนิตยสารรายเดือนชื่อ ศิลปวัฒนธรรม ฝ่าหลากอุปสรรคและยืนหยัดอยู่บนแผงจนถึงทุกวันนี้ กระทั่งเมื่อเป็นบรรณาธิการครบ 25 ปี สุจิตต์จึงขอลาออกจากตำแหน่งในมติชนทั้งหมดเพื่อเดินทาง ค้นคว้า และเขียนนิยายอย่างเต็มที่

กระทั่งทุกวันนี้ ภาพลักษณ์ของสุจิตต์ก็ยังดุดันไม่แพ้งานเขียน ที่แหกคอกและนอกตำราจนขึ้นชื่อ

และแม้มีผลงานมากมาย แต่สุจิตต์ย้ำเสมอว่าสิ่งที่ตนเองทำไม่ได้มีอะไรโดดเด่น ดังนั้นเมื่อถามถึงคำแนะนำต่อนักข่าวรุ่นหลัง สุจิตต์จึงส่ายหน้าบอกว่า ไม่มี และยิ่งไม่ควรเอาแบบอย่างจากเขา แต่ควรเป็นตัวของตัวเองมากกว่า

สำคัญ คือ อย่าหลงตัวเอง คิดว่าตัวเองเป็น “ฐานันดรที่สี่” และมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น

เวลานี้สุจิตต์ยังคงมุมานะในการตีแผ่ข้อมูลทางประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ว่าจะอยู่ในบทบาทใด เขายังยืนยันว่า

“จิตวิญญาณกู คือ หนังสือพิมพ์รายวัน”

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์
เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ : กุนซือใหญ่ ค่ายประชาชื่น

แม้จะอยู่ในวัยหลักเจ็ด เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์ หรือที่คนมติชนเรียกอย่างคุ้นเคยว่า อาจารย์ปั๋ง ยังคงเดินทางเข้าออกที่ “มติชน” เพื่อมาทำงานเป็นประจำแทบทุกวัน

เส้นทางชีวิตของเขาก่อนหน้านี้ผูกพันกับหนังสือพิมพ์มานาน ค่าที่ว่าครอบครัวทั้งพ่อ แม่ และน้า ล้วนแล้วเกี่ยวข้องกับหนังสือพิมพ์และงานเขียน

เรืองชัยในวัยเด็กเขียนเรียงความได้ดีจนมีโอกาสได้ทำหนังสือรุ่นในช่วงชั้น ม.7-8 ที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ และได้รู้จักขรรค์ชัย-สุจิตต์ ก่อนที่เรืองชัยจะไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยครูสวนสุนันทา และพักการเรียนไว้เนื่องจากมุ่งมั่นจะทำนิตยสารช่อฟ้า

ชะตาชีวิตยังขีดให้ได้อยู่กับขรรค์ชัยและสุจิตต์อีกครั้ง เมื่อสองกุมารสยามจัดตั้งโรงพิมพ์พิฆเนศขึ้น ก่อนจะทำหนังสือพิมพ์ รวมประชาชาติรายวัน กับเพื่อนสนิททั้งสอง ซึ่งได้นำพาให้เขาทำหน้าที่อยู่ในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 และเห็นความรุนแรงด้วยตาตัวเอง

“ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลจะแถลงอย่างไร เป็นหน้าที่ของนักข่าวนักหนังสือพิมพ์จะรายงานเรื่องที่เกิดขึ้น”

ภายหลังเหตุการณ์ความรุนแรงในครั้งนั้น หนังสือพิมพ์ถูกปิดตาย เรืองชัยจึงไปบวชที่วัดโสมนัสวรวิหารได้ 7 เดือน ก็กลับมาทำหนังสือพิมพ์รายวัน โดยหนังสือพิมพ์มติชนก็เริ่มขึ้นในปีนั้นเอง (พ.ศ.2521) และเป็นเส้นทางของเขาที่ยาวนานมาตลอด 40 ปี โดยที่ไม่คิดหันเหไปทำสิ่งอื่นใดแล้วในชีวิต

“ความภูมิใจคือ ได้อยู่ในแวดวงในอาชีพที่เรารัก ในกลุ่มงานที่เราชอบ ไม่ต้องมีชื่อเสียง ไม่จำเป็นต้องมีคนรู้จักมากมายก็ได้”

เรืองชัยเน้นย้ำถึงคนที่เดินในเส้นทางหนังสือพิมพ์ว่า ต้องรักในวิชาชีพ ศรัทธาในวิชาชีพ และเชื่อมั่นในวิชาชีพ

ขณะที่คนซึ่งตัดสินใจเข้ามาเดินในเส้นทางนี้แล้วนั้น มี 3 เรื่องที่เรืองชัยอยากฝากไว้ คือ 1.ตระหนักถึงความเป็นวิชาชีพและวิชาการควบคู่กันไป 2.เข้าใจพื้นฐานให้มากขึ้นว่าสื่อยึดถือเสรีภาพประชาธิปไตย อยากได้สิ่งที่เขาปกปิด อยากได้สิ่งที่ถูกต้อง และ 3.สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ต้องดูแลสมาชิกสมาคม รวมถึงผู้ประกอบการให้ทั่วถึง

ทั้งหมด คือ ฝันของชายผู้เดินอยู่บนทางสายหนังสือพิมพ์ยาวนานกว่า 4 ทศวรรษ

นิธินันท์ ยอแสงรัตน์
นิธินันท์ ยอแสงรัตน์

นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ : จากนักกิจกรรม สู่สนามข่าวที่เที่ยงธรรม

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2516 นิธินันท์ ยอแสงรัตน์ หรือ “ป้อม” ได้สอบเข้าเป็นนักศึกษาในรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และถือเป็นนักกิจกรรมตัวยงในรั้วแม่โดมแห่งนี้

เธอเป็นทั้งสมาชิกชมรมวรรณศิลป์ สมาชิกวงดนตรีไทย “ต้นกล้า” อันมีงานหลักคือการตระเวนแสดงดนตรีให้กับผู้ชุมนุม และทำให้เธอได้มีโอกาส รู้จักกับ สุจิตต์ และ ขรรค์ชัย เป็นครั้งแรก

นอกจากนั้นเธอยังทำกิจกรรมสังคมและการเมืองต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ในยุคสมัยที่มีการเรียกร้องชุมนุมทางการเมืองบ่อยครั้ง

“ตอนนั้นได้ฟังเสียงปืน เสียงระเบิดจากฝ่ายที่มาข่มขู่แทบทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวหรือท้อถอย เราถือว่าทำตามหน้าที่”

หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ ผ่านพ้น นิธินันท์ได้เข้าทำงานที่หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานเป็นนักข่าวของเธออย่างเต็มตัว และหลังจากทำงานได้หนึ่งปีเต็ม นิธินันท์ก็ย้ายมาทำงานที่หนังสือพิมพ์มติชน ในข่าวด้านวรรณกรรม ศิลปวัฒนธรรมและดนตรี

การทำงานกับมติชนครั้งนั้นยาวนานถึง 10 ปี ก่อนที่ในปี 2535 เธอกลับไปอยู่ที่เดอะ เนชั่น อีกครั้ง

วันนี้ในวัยใกล้เกษียณ นิธินันท์รับคำชวนจากผู้บริหารจากมติชนให้กลับมาทำงานอีกครั้งหนึ่ง เพราะมติชนยังต้องการบุกเบิกงานใหม่ๆ โดยเฉพาะงานด้านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และยังคงมุ่งมั่นตั้งใจจะทำงานต่อไป โดยไม่เชื่อว่าคนสูงอายุจะไร้ประโยชน์เหมือน “ไม้ที่ตาย” แล้ว

“งานสื่อนั้นถ้าเราเปิดกว้างพร้อมสำหรับการเรียนรู้ใหม่ๆ เสมอ เราจะไม่โง่ คับแคบ แก่และเชย ซึ่งเป็นอันตรายต่ออาชีพมาก”

“คนทำสื่ออย่าหยุดเรียนรู้ อย่ายึดติดแต่โลกเก่าความรู้เก่า พูดในภาพรวมคือควรมีความรู้รอบด้าน โดยเฉพาะเศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ ปรัชญา จิตวิทยา”

ทั้งยังฝากถึงเรื่องจริยธรรมสื่อว่า ขอเพียงรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างถูกต้อง รอบด้าน เที่ยงธรรม ไม่บิดเบือนให้ร้าย

เพื่อข่าวจะผิดพลาดน้อยที่สุด

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ หนังสือ “เส้นทาง…คนหนังสือพิมพ์”

ยังอีกหลายเรื่องราว หลากมุมมอง ที่ควรพินิจและเรียนรู้จาก “รอยต่อ” ทั้ง 17 ท่าน เหมือนในส่วนหนึ่งของคำนำที่ว่า

“เรื่องราวเหล่านี้จึงเป็นบทเรียนอันมีค่า..”

คนกับหนังสือ

The post เส้นทาง…คนหนังสือพิมพ์ กับ 4 ‘รอยต่อ’ คน ‘มติชน’ appeared first on มติชนออนไลน์.

เดือนหงายที่ชายโขง : ลาวเลือกตั้ง ความแตกต่างและการก้าวย่างครั้งใหม่

$
0
0

วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม 2016 เป็นวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติชุดที่ 8 และสมาชิกสภาประชาชนแขวงชุดแรกของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

แต่กระนั้น การเลือกตั้งของลาวก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการเลือกตั้งตามระบอบเสรีประชาธิปไตยตามมาตรฐานสากล และไม่อาจเอามาเทียบเคียงได้กับสถานการณ์ในประเทศไทยทั้งหมด

ที่ผ่านมาการเลือกตั้งของ สปป.ลาวเป็นเหมือนพิธีการที่จัดขึ้นเพียงฉากหน้าเท่านั้น เนื่องจากประเทศลาวมีเพียงพรรคเดียว คือพรรคประชาชนปฏิวัติลาว และผู้สมัครเกือบทั้งหมดที่ได้รับเลือกตั้งก็มาจากพรรคเดียวนี้ มีเพียงผู้สมัครอิสระที่ได้รับความเห็นชอบจากพรรครัฐไม่กี่คนได้เข้าไปนั่งในสภาแห่งชาติ

อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติครั้งที่ 8 ถือเป็นการเลือกตั้งครั้งที่มีข้อแตกต่างจากครั้งก่อนหลายประการ ได้แก่ การที่มีผู้สมัครอิสระ ไม่สังกัดพรรคประชาชนปฏิวัติลาว ลงสมัครรับเลือกตั้งเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากกระแสข่าวสารที่ทันสมัยและการเข้าถึงสื่อมวลชนในระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก ทำให้ผู้สมัครอิสระที่ได้รับอนุญาตจากพรรครัฐเพื่อลงสมัคร สามารถใช้สื่อส่วนตัวเพื่อสื่อสารไปยังผู้มีสิทธิลงคะแนนเสียงเลือกตั้งได้มากยิ่งขึ้น

ชาวลาวที่เริ่มมีฐานะดีขึ้นจากการปฏิรูปเศรษฐกิจและการลงทุนที่ผ่านมา นับแต่การเลือกตั้งครั้งก่อน 5 ปีที่แล้วก็ได้รับการศึกษาระดับสูงขึ้นโดยไม่ต้องรอทุนจากภาครัฐ รวมถึงตัวอย่างการพัฒนาประชาธิปไตยของประเทศอื่น ก็เป็นผลให้ชาวลาวกระตือรือร้นกับการเลือกตั้งมากขึ้นกว่าในอดีต

อีกประการหนึ่งคือ ในกองประชุมใหญ่สภาแห่งชาติครั้งที่ 10 ได้เกิดการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญของ สปป.ลาว โดยให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาประชาชนแขวง เพิ่มเติมขึ้นจากสภาแห่งชาติ เพื่อเป็นการกระจายอำนาจและงบประมาณ ลดขั้นตอนการส่งเรื่องเพื่อตัดสินใจดำเนินการตามแนวนโยบายลง จากเดิมที่ต้องส่งมาพิจารณาในสภาแห่งชาติ ก็ให้สภาประชาชนแขวงลงมติตัดสินในเรื่องราวเกี่ยวกับแขวงของตนเองได้

นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญ และเป็นเรื่องที่เกินคาดกับการที่พรรครัฐส่วนกลางยอมปล่อยอำนาจที่เคยกุมไว้เบ็ดเสร็จ กระจายลงให้แก่หน่วยการปกครองระดับย่อยลงไปในเรื่องสำคัญต่างๆ เป็นครั้งแรกนับแต่ปฏิวัติประชาชนสำเร็จ

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ มีนักวิชาการทั้งของลาวและตะวันตก วิเคราะห์ว่า เกิดจากอำนาจทางเศรษฐกิจที่เพิ่มมากขึ้นของชนชั้นกลาง พ่อค้า และนักเรียนนักศึกษาอาจารย์ ซึ่งผลิบานขึ้นภายหลังการปฏิรูปเศรษฐกิจและกฎหมายระลอกที่สองในปี 2011 หรือในกองประชุมใหญ่ครั้งที่ 9 และการเลือกตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติครั้งที่ 7 โดยหากติดตามการประชุมสภาแห่งชาติ จะพบว่า สมาชิกสภาแห่งชาติได้ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบและคานอำนาจของคณะศูนย์กลางพรรค หรือกรมการเมือง ในประเด็นต่างๆ อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะประเด็นการให้สัมปทานแก่บริษัทต่างชาติในการก่อสร้างเขื่อนผลิตไฟฟ้า สัมปทานป่าไม้และสวนยางพารา และสัมปทานเหมืองแร่ ซึ่งก่อปัญหาให้แก่พื้นที่สัมปทานในต่างแขวงอย่างรุนแรง และเกิดการต่อต้านของประชาชนในพื้นที่หลายครั้ง

แตกต่างจากสภาแห่งชาติชุดก่อนๆ ที่เป็นเหมือนเพียงตรายางรับรองการปฏิบัติของคณะรัฐมนตรีและผู้นำประเทศเท่านั้น โดยล่าสุดสภาแห่งชาติชุดที่เพิ่งหมดวาระไป ได้ลงมติระงับการให้สัมปทานป่าไม้และเหมืองแร่กว่า 300 โครงการที่คณะรัฐมนตรีเคยอนุมัติทั้งหมด เพื่อศึกษาหาความคุ้มค่าและรักษาสภาพแวดล้อมที่เริ่มทรุดโทรมลง

สภาแห่งชาติ สปป.ลาวชุดใหม่ และสภาประชาชนแขวงชุดแรก จึงเป็นความหวังใหม่ของการมีส่วนร่วมในการปกครองบ้านเมืองของชาวลาวมากขึ้นกว่าเดิม

โดย กกต. ของ สปป.ลาวคาดว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งสูงขึ้นกว่าครั้งก่อนๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยหนุ่มสาวที่มีสิทธิเลือกตั้งครั้งแรกและรับสื่อทันสมัยได้อย่างทันท่วงที แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่พรรคประชาชนปฏิวัติลาวจะยอมให้มีพรรคการเมืองอื่นเข้าแข่งขันก็ตาม

The post เดือนหงายที่ชายโขง : ลาวเลือกตั้ง ความแตกต่างและการก้าวย่างครั้งใหม่ appeared first on มติชนออนไลน์.

โลกสองวัย : ขับเคลื่อนคุณธรรม

$
0
0

ศัพท์คำว่า “ขับเคลื่อน” หรือ “การขับเคลื่อน” นับแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ นำมาใช้กับสมาชิกคณะปฏิรูปการขับเคลื่อนประเทศ ปรากฏว่าศัพท์คำนี้รับไปใช้ในแทบว่าทุกหน่วยงานของราชการ แม้ในวงการศาล เช่น ที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางมีคณะกรรมการขับเคลื่อนการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชนของศาลเยาวชนและครอบครัว มีคุณณัฐรัตน์ ประโยชน์อุดมกิจ เป็นประธานคณะกรรมการ

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เดิมตั้งอยู่ที่ใกล้ศาลหลักเมือง วันนี้ย้ายมาอยู่ที่ถนนกำแพงเพชร แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900

นายอาเล็ก จรรยาทรัพย์กิจ เป็นอธิบดี

วันนี้ พุธ 23 มีนาคม จะมีการบรรยายเชิงสัมมนาหัวข้อ “คุณธรรมความดีกับการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สันติสุข” เพื่อการพัฒนาคุณธรรมความดีที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย ส่งเสริมพัฒนาองค์ความรู้ รูปแบบของการประพฤติปฏิบัติของบุคคลและการเป็นคนดีของสังคม สร้างองค์ความรู้ใหม่ การแลกเปลี่ยนความรู้ การบริหารจัดการและการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านคุณธรรมความดีในรูปแบบต่างๆ เพื่อศักยภาพความสามารถนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการดำรงตน และการปฏิบัติหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม

ผู้ที่มาดำเนินการบรรยายและสัมมนาครั้งนี้ คือ ศูนย์คุณธรรม กระทรวงวัฒนธรรม

รายการเริ่มตั้งแต่เวลา 08.00 น. ลงทะเบียน

08.45 น. ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการศึกษาสำหรับเด็กและเยาวชน กล่าวรายงาน อธิบดีผู้พิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวงกลาง กล่าวเปิดการบรรยาย

09.00 น. นายวิชา มหาคุณ บรรยายในหัวข้อ “คุณธรรมความดีกับการขับเคลื่อนสังคมไทยสู่สันติสุข” จบแล้วพักรับประทานอาหารว่าง

10.45 น. การบรรยายเชิงสัมมนาหัวข้อ “การพัฒนาคุณธรรมความดีที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย” โดยคณะวิทยากรจากศูนย์คุณธรรม

11.45 น. แลกเปลี่ยนเรียนรู้และถามตอบ

จบการบรรยายและสัมมนาเที่ยงตรง

ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง เริ่มต้นทางความคิดมาตั้งแต่ พ.ศ.2482 ต่อมามีการออกพระราชบัญญัติตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ.2494 เปิดดำเนินการครั้งแรก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2495

ต่อมามีการเปลี่ยนโครงสร้างของศาลคดีเด็กและเยาวชนออกไปให้ทั่วทุกจังหวัด โดยจัดตั้งเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวเต็มรูปแบบให้ครบทุกจังหวัด ให้จัดตั้งแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นในศาลจังหวัดทุกศาล อันมีผลทำให้เด็กและเยาวชน ตลอดจนคู่กรณีที่มีข้อพิพาทเกี่ยวกับครอบครัว ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน และเป็นการอำนวยความยุติธรรมแก่ประขาชนทั่วราชอาณาจักร

ศาลคดีเด็กและเยาวชนเต็มรูปแบบที่มีอยู่ มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายและประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัว และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวขึ้นเมื่อ พ.ศ.2534

เปลี่ยนชื่อมาเป็นศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง หรือศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด….

เรื่องของศาลไทย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ประกอบด้วย ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลยุติธรรม มี 3 ชั้น คือศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ศาลปกครอง มี 3 ชั้น คือศาลปกครองชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลปกครองสูงสุด และศาลทหาร

ในส่วนของศาลยุติธรรม นอกจากศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาแล้ว ยังประกอบด้วยศาลอาญา ศาลแพ่ง ศาลแขวง และศาลในคดีอื่น เช่น ศาลเยาวชนและครอบครัว ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร ศาลทรัพย์สินทางปัญญา เป็นต้น รวมถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ศาลเยาวชนและครอบครัว มีผู้พิพากษาสมทบ และผู้ประนอมเพื่อทำหน้าที่ไกล่เกลี่ยคดี

The post โลกสองวัย : ขับเคลื่อนคุณธรรม appeared first on มติชนออนไลน์.

“ปกป้อง…ถาม-ชาญวิทย์…ตอบ”หลากเรื่อง อ.ป๋วย ที่คุณอาจไม่เคยรู้

$
0
0

ที่มา : ตัดทอนบางส่วนมาจาก Anti-memoir of a man called Puey Ungphakorn ความ “อ” ทรงจำ 100 ปีป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่ ปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สัมภาษณ์ ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เมื่อปลายปี 2558 เนื่องในวาระ 100 ปี ชาตกาล ป๋วย อึ๊งภากรณ์

ปกป้อง : เท่าที่อาจารย์รู้จักอาจารย์ป๋วย ท่านเป็นคนอย่างไร

ชาญวิทย์ : ผมต้องบอกก่อนว่า ผมเกือบไม่รู้จักอาจารย์ป๋วยเลย จนกระทั่งเมื่อมาทำงานกับท่าน และก็ทำงานกับท่านได้เพียงปีเดียว ในช่วงที่ท่านเป็นอธิการบดีธรรมศาสตร์ และเมื่อท่านต้องออกจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 แล้วไปอยู่ต่างประเทศ ผมก็ต้องออกตามท่านไปด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าพูดจริงๆ แล้ว ผมรู้จักอาจารย์ป๋วยในระยะเวลาที่สั้นมากๆ

ปกป้อง : แต่อาจารย์เคยเขียนบอกว่าถึงจะเป็นแค่ปีเดียว แต่อาจารย์รู้สึกว่ารู้จักอาจารย์ป๋วยลึกซึ้ง เป็นความสัมพันธ์ที่ไม่ใช่เวลาเป็นตัวกำหนด

ชาญวิทย์ : ครับ อาจารย์ป๋วยก็เป็นคนซึ่งผมรู้จักเพียงไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน แต่เรารู้สึกว่ารู้จักกันมานานจังเลย เป็นลักษณะพิเศษมากๆ ผมคิดว่าโดยประสบการณ์ ผมเรียนธรรมศาสตร์ปี 2503-2506 แล้วผมก็เรียนคณะรัฐศาสตร์ ผมเป็น “สิงห์แดงแข็งขัน” (รัฐศาสตร์) ตอนนั้น คณะเศรษฐศาสตร์ของอาจารย์ป๋วยเป็นคณะที่เล็ก และผมเกือบไม่ให้ความสนใจเลย เพราะฉะนั้นเมื่ออาจารย์ป๋วยกลับเข้ามาเป็นคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ในปี 2507 ผมไม่ได้อยู่ธรรมศาสตร์แล้ว เตลิดเปิดเปิงไปทำงานอยู่ระยะหนึ่งที่ กทม. ที่กระทรวงการต่างประเทศ แล้วก็ไปเรียนต่อเมืองนอก 7 ปี (2508-2516)

ปกป้อง : พออาจารย์ได้เจอตัวจริงแล้ว อาจารย์ป๋วยเป็นคนยังไง ทำไมทุกคนจึงสนใจท่าน อาจารย์ได้คำตอบไหม

ชาญวิทย์ : ที่ผมคิดว่าผมได้สัมผัสกับอาจารย์ป๋วย เพราะในบรรยากาศของปี 2516 ก่อนที่อาจารย์ป๋วยจะเข้ามาเป็นอธิการบดี ความตื่นตัวทางวิชาการมีสูงมาก ทั้งในหมู่อาจารย์ หมู่นักศึกษา ของคนรุ่นนั้น ที่เรารู้จักกันในนาม “คนเดือนตุลา” อะไรทำนองนั้น

จำได้ว่า วันหนึ่งผมก็ไปพูดเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย ผมพูดเรื่องสกุลประวัติศาสตร์ สกุลตำนาน สกุลพงศาวดาร สกุลใหม่ที่เกิดขึ้นในตอนหลัง จำได้ว่าในครั้งนั้น ท่านอาจารย์ป๋วยมาฟังด้วย ผมเห็นท่านเป็นครั้งแรกว่ามีชายสูงอายุที่ตรงนี้ (ชี้ที่ขมับ) ยังไม่แก่

เมื่อเราอภิปรายกัน และพูดถึงความสัมพันธ์ไทย-จีน ตอนนั้น อย่าลืมว่ากำลังมีกระแสที่จะนำไปสู่การรับรองจีนปักกิ่ง และไม่รับรองจีนไต้หวัน กระแสมันมาแรงมากๆ ที่จีนปักกิ่งได้เข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติแทนจีนไต้หวัน แล้วผมก็พูดถึงเรื่องการค้าแฝงอยู่ในระบบ “จิ้มก้อง” บรรณาการด้วย มีการส่งไม้ฝางก็ดี ยาสมุนไพร ผลเร่ว อะไรทำนองนี้

ผมจำได้ว่าอาจารย์ป๋วยเข้ามาอภิปรายร่วมกับเรา ผมก็…อืม อาจารย์ป๋วยเป็นคนแปลกนะ จบเศรษฐศาสตร์ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย แต่สามารถร่วมอภิปรายในวงประวัติศาสตร์เชยๆ

โบราณๆ อย่างเราได้ อันนั้นเป็นความประทับใจครั้งแรก อาจารย์ป๋วยจะพูดว่า ผมก็จำได้สมัยของปู่ยาตายายนั้น ต้องนำเข้าของจากเมืองจีน พวกเครื่องดอง ผักดอง ที่มาเป็นไหๆ ผมก็ว่าอันนี้แปลกดี คือนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไป ว่าไปแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก จะไม่สนใจรายละเอียดเกี่ยวกับสังคม ชีวิต ผู้คน พวกนี้จะอยู่กับตัวเลข และค่อนข้างน่าเบื่อ แต่คนอย่างอาจารย์ป๋วยไม่น่าเบื่อเลยเวลาคุยเรื่องเศรษฐศาสตร์

ปกป้อง : อาจารย์ป๋วยชวนอาจารย์มาเป็นรองอธิการบดีฝ่ายใหม่ คือ ฝ่ายวิชาพื้นฐาน ตอนนั้นมีความเป็นมาอย่างไรครับ

ชาญวิทย์ : ตำแหน่งที่ผมได้และอยู่กับอาจารย์ป๋วย 1 ปี เรียกว่าตำแหน่งรองอธิการบดีฝ่ายวิชาพื้นฐาน คือดูแลนักศึกษาปี 1 อย่างเดียว บางคนจะเรียกผมว่าเป็น “รองพื้น” ตำแหน่งนี้ไม่เคยมีในสารบบ และก็มีอยู่หนเดียวในสมัยอาจารย์ป๋วย หลังจากนั้นก็ไม่มีตำแหน่งนี้อีกเลย

งานที่อาจารย์ป๋วยต้องการผลักดันมีหลายอย่างที่วางเอาไว้ ที่สำคัญก็คือ การที่อาจารย์บอกว่า มหาวิทยาลัยปิด อย่างจุฬาฯก็ดี ธรรมศาสตร์ก็ดี มหิดลก็ดี มันจบลงด้วยคนที่ได้เปรียบอยู่แล้ว ก็ได้เปรียบต่อไป คนที่เรียนโรงเรียนในกรุงเทพฯ เรียนในโรงเรียนระดับเกรดเอ ยังไงก็ต้องสอบเข้าจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ มหิดลได้ คนที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้หรอก

ดังนั้น อาจารย์จึงมีโครงการที่เรียกว่า นักศึกษาเรียนดีจากชนบท หรือที่เราเรียกกันว่า “ช้างเผือก” อาจารย์รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ เป็นคนร่างโครงการ และเสนอของบประมาณแผ่นดิน แต่ว่าไม่ผ่าน แต่ว่าในตอนหลัง เมื่อบ้านเมืองเริ่มเข้าสู่สภาพปกติชั่วคราว ในสมัยของอาจารย์ประภาศน์ อวยชัย เป็นอธิการบดี อาจารย์ประภาศน์และอาจารย์อรุณ รัชตะนาวิน รองอธิการบดี ดึงกลับขึ้นมา แล้วก็ผลักดันจนสำเร็จ

ปกป้อง : อาจารย์เคยพูด เคยเขียนว่า ไม่มีสมัยไหนที่เราทะเลาะกับนักศึกษาได้มัน เด็ดขาดเท่ากับสมัยนั้น ทั้งตัวอาจารย์และอาจารย์ป๋วยบริหารความท้าทายนั้นอย่างไร

ชาญวิทย์ : ผมคิดว่าคนที่น่านับถือมากๆ เลยคืออาจารย์ป๋วยกับอาจารย์เสน่ห์ ทั้งสองท่านในยุคที่เรากำลังพูด 2 ปี คือ ปี 2518-2519 ความขัดแย้งในสังคมไทยมีสูงมากๆ ปัญหาที่ถูกเก็บเอาไว้มันระเบิดขึ้นมาหลัง 14 ตุลาคม 2516

อาจารย์ป๋วยและอาจารย์เสน่ห์ ยอมรับการประท้วง สิ่งที่เรามาเรียกว่า “อารยะขัดขืน” ในปัจจุบันได้อย่างดีมาก คุณประท้วงได้ ผมเปิดหอประชุมใหญ่ให้คุณเข้าไปประท้วงเลย แต่มาทำให้คนอื่นเรียนหนังสือไม่ได้ สอบไม่ได้ ทำไม่ได้ ไม่เคารพสิทธิคนอื่น

อันนี้เป็นสิ่งที่ผมจำได้แม่นเลย อาจารย์ป๋วยกับอาจารย์เสน่ห์บอก เอาเลย คุณกำลังจะช่วยชาวนาใช่ไหม ซึ่งเข้ามาพึ่งพิงธรรมศาสตร์ เข้าไปในหอประชุมใหญ่ ห้องน้ำห้องท่ามี ไปพูดกันในนั้น ลานโพธิ์นั้น ขอให้ปลอดหน่อย เพราะตึกศิลปศาสตร์เขาต้องเรียน คนที่อยากเรียนก็มีเยอะ คนที่ต้องการสอบก็มีเยอะ ดังนั้น ต้องเคารพสิทธิคนอื่น ผมว่าอันนี้แหละ คือสิ่งที่อาจารย์ป๋วยบอกว่า “สันติประชาธรรม” คืออะไร เป็นอย่างไร

ปกป้อง : นักศึกษาที่อาจารย์ป๋วยต้องชนด้วย ถือว่ารักและเคารพอาจารย์ป๋วยไหม อยู่กันยังไง รู้สึกกันยังไง ระหว่างกัน

ชาญวิทย์ : ผมคิดว่านักศึกษารักอาจารย์ป๋วยมากๆ ด้วย คือผมจำได้ มีอยู่วันหนึ่ง ก่อนที่อาจารย์จะได้โหวตเป็นอธิการบดี อาจารย์กลับมาจากอังกฤษ เพราะต้องลี้ภัยการเมืองอยู่ช่วงหนึ่ง เนื่องจากมีความขัดแย้งกับจอมพลประภาส จารุเสถียร (รอง นรม.) ซึ่งเป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คงจำได้ ในช่วงที่จอมพลถนอมยึดอำนาจตัวเอง อาจารย์ป๋วยเขียนจดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง (รหัสเสรีไทยของท่าน) เขียนเตือนสติว่า การยึดอำนาจไม่ใช่ทางออกของสังคมไทย และอาจารย์ป๋วยก็พิสูจน์ว่าถูกต้อง เพียงแต่มีคนจำนวนมากยังไม่ยอมรับฟัง

อาจารย์ป๋วยรักธรรมศาสตร์ นักศึกษารักอาจารย์ป๋วย วันหนึ่ง อาจารย์กลับมาจากอังกฤษ ยังไม่ได้เป็นอธิการบดี นักศึกษาเศรษฐศาสตร์แถวๆ ตึกเศรษฐศาสตร์ มาเขียนตัวโตเลยว่า “เตี่ย กลับมาแล้ว”

อาจารย์ป๋วยเป็นคนแรกๆ ที่ขึ้นไปในตำแหน่งสูงมาก และพูดถึงกำพืดของตัวเองว่าเป็นลูกจีน หลานจีน แต่เกิดเมืองไทย ทำงานให้ประเทศไทย ผมว่าอาจารย์ป๋วยทำให้คนรู้สึกว่า ไม่ว่าคุณจะมาจากไหนก็ตาม แต่เมื่อคุณมาอยู่ด้วยกัน เราก็เป็นคนไทย เพียงแต่ว่าเราอาจจะเป็น จปล (เจ๊กปนลาว) จปม (เจ๊กปนมอญ) ฯลฯ ก็แล้วแต่นะครับ

ปกป้อง : ตลอด 1 ปี ที่อาจารย์ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับอาจารย์ป๋วย ในฐานะความเป็นมนุษย์ อาจารย์ป๋วยเป็นคนแบบไหน ในฐานะครู ท่านเป็นครูแบบไหน ในฐานะผู้บังคับบัญชา หัวหน้า เป็นหัวหน้าแบบไหน

ชาญวิทย์ : อาจารย์ป๋วยเป็นอาจารย์ป๋วยนะ หายาก คือเป็นคน เป็นมนุษย์ แล้วในความเป็นคน เป็นมนุษย์ ท่านก็มีอะไรอยู่ในนั้นหลายอย่าง ถ้าพูดอย่างเท่ๆ หรูๆ ก็ต้องบอกว่าเป็นคนประเภท “เรอเนสซองซ์ แมน” เป็นคนที่หลากหลาย ความสนใจกว้างมาก ดนตรีก็สนใจ ภาพเขียนก็สนใจ ประวัติศาสตร์ก็สนใจ เศรษฐศาสตร์ก็เป็นเศรษฐศาสตร์แนวหน้า ผมจำได้ว่าอาจารย์ชอบพูดว่าอาจารย์เรียน Economics and Politics ไม่ได้เรียน Economics อย่างเดียวนะ ไม่เชยๆ แบบบรรดาพวกกระแสหลัก ผมคิดว่าในความเป็นอาจารย์ป๋วย มีความหลากหลายมาก มันทำให้คนเข้าไปหาอาจารย์ป๋วยได้ในมิติต่างๆ

อย่างกรณีของผม ผมก็สามารถจะคุยประวัติศาสตร์กับอาจารย์ป๋วยได้ คือนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์ มันเหมือนอาจารย์ป๋วยเป็นคน well rounded เหมือนอย่างครั้งหนึ่ง ที่เราบอกว่ามหาวิทยาลัยที่ดีเยี่ยมต้อง well rounded ต้องรอบด้าน

อาจารย์เป็นคนแบบนั้น มันทำให้เรารู้สึกว่า…ตกเย็นนะ อาจารย์บอกไปกินข้าวดีกว่า อาจารย์ไปกินที่ไหนรู้ไหม ไปกินตลาดนานา บางลำพู มีตรอกซอกซอย สมัยนั้นยังไม่มีฝรั่งเต็มแบบปัจจุบัน อาจารย์ป๋วยไปกินตรงนั้น ผมก็เห็นคนมาเยอะนะ ในธรรมศาสตร์ ผมอยู่ธรรมศาสตร์มาตั้งแต่ปี 2503 อธิการบดีที่เดินดิน ไปกินข้าวท่าพระจันทร์ กับศิริราช หรือบางลำพู ผมว่ามีไม่กี่คน

ปกป้อง : ในช่วงที่อาจารย์ป๋วยเป็นเสรีไทย โดดร่มมาติดต่อกับอาจารย์ปรีดี ทั้งสองท่านสัมพันธ์กันยังไง ได้เจอตัวไหม

ชาญวิทย์ : เมื่ออาจารย์ป๋วยโดดร่มลงมาได้ เขาไปเอาตัวอาจารย์มาได้ แล้วก็ไปพบกันที่บ้านอาจารย์วิจิตร ผมคิดว่าความสัมพันธ์อันนี้จะอยู่ต่อ เพราะหลังจากนั้น เมื่อหมดสงคราม เมื่ออาจารย์ปรีดีเป็นนายกฯ เมื่อในหลวงอานันท์ฯ กลับมา เมื่อเกิดกรณีสวรรคต (9 มิถุนายน 2489) อาจารย์ปรีดีก็ต้องลี้ภัยการเมือง ไปอยู่ปักกิ่ง 21 ปี แล้วก็ไปอยู่ปารีส ตอนนั้นแหละที่อาจารย์ป๋วยจะไปพบท่านในยุโรป

ปกป้อง : รูปที่ทั้งสองท่านนั่ง…

ชาญวิทย์ : รูปที่ทั้งสองท่านนั่งกัน อาจารย์บอกว่าไปพบในฐานะลูกศิษย์กับอาจารย์ อาจารย์ป๋วยอ่อนกว่าอาจารย์ปรีดี 16 ปี อาจารย์ป๋วยไปพบอาจารย์ปรีดีที่ต่างประเทศ รูปนั้นน่ะ น่าจะเอามาสร้างเป็นอนุสาวรีย์ของสามัญชน

ปกป้อง : มรดกทางความคิดที่อาจารย์ป๋วยทิ้งไว้ เรื่องการเมือง เรื่องประชาธิปไตย เรื่องสันติวิธี อะไรไว้ในสังคมไทย แล้วปัจจุบัน มรดกทางความคิดเหล่านี้อยู่อย่างไรในสังคมไทยปัจจุบัน ที่เรามีวิกฤตการเมือง วิกฤตประชาธิปไตย มันเป็นคำตอบให้กับสังคมไทยได้ไหม

ชาญวิทย์ : การที่คนจำนวนมากลุกขึ้นมา แล้วบอกว่าจะทำงานร้อยปีอาจารย์ป๋วย มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากๆ มันแปลว่า มรดกความคิดของอาจารย์ป๋วยยังอยู่ ไม่ว่าจะเรื่อง “สันติประชาธรรม” เรื่องการกระจายเสรีภาพทางการศึกษา เรื่องวิธีคิดเรื่องการกระจายรายได้ ผมว่ามันอยู่เยอะมาก แล้วก็ที่เราพูดกันเรื่องคอร์รัปชั่น ผมคิดว่ามรดกของอาจารย์ป๋วย บางทีเราก็ได้ยินคนบอกว่า อาจารย์ป๋วยก็รับใช้เผด็จการ แต่ผมว่าอาจารย์ป๋วยเป็นข้าราชการ ที่ทำงานให้ข้าราชการ ไม่ได้ทำงานให้ใครคนใดคนหนึ่ง

แล้วเมื่อถึงเวลาที่ต้องแสดงจุดยืนของอุดมการณ์ อาจารย์ก็มีความกล้าหาญทางจริยธรรมที่จะทำ ตัวอย่างอันดีก็คือ “จดหมายของนายเข้ม เย็นยิ่ง” ที่มีความกล้าหาญที่จะเขียนจดหมายนั้น

ปกป้อง : จดหมายฉบับนั้นสำคัญอย่างไรในตอนนั้น

ชาญวิทย์ : มันเป็นการตอกย้ำจิตสำนึกว่า คำตอบของประเทศไทยอยู่ที่ประชาธิปไตย อยู่ที่มีรัฐธรรมนูญ อยู่ที่มีการเลือกตั้ง อยู่ที่การให้โอกาสคนจำนวนมาก มีสิทธิ มีส่วน มีเสียง ไม่ใช่เอาคนมีปริญญาเอก 3 ใบ แล้วบอกว่าตัวเองต้องมีคะแนนมากกว่าคนอื่น ผมว่ามันตอกย้ำอันนั้น

สิ่งที่ผมคิดว่ามันดีมากๆ คือการที่คนจำนวนมากลุกขึ้นมาบอกว่าอยากทำงานร้อยปีอาจารย์ป๋วย อยากจะสืบมรดกอะไรบางอย่างของอาจารย์ป๋วย ผมอยากเชื่อว่าคนจำนวนไม่น้อยพยายามจะลบภาพอาจารย์ป๋วยออกจาก 6 ตุลาคม 2519 เราต้องไม่ลืมว่า มีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากในรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519 อาจารย์ป๋วยเป็นคนแรกๆ ที่บาดเจ็บในเหตุการณ์นี้

ปกป้อง : อาจารย์ป๋วยทิ้งมรดกทางความคิดอะไรด้านการศึกษาให้กับสังคมไทย

ชาญวิทย์ : อาจารย์ป๋วยเข้ามาอยู่ในธรรมศาสตร์ เป็นคณบดี กับเป็นอธิการบดี เข้ามาในช่วงซึ่งมหาวิทยาลัยของไทยขาดแคลนห้องสมุดดีๆ ขาดแคลนหนังสือวิชาการดีๆ อาจารย์ก็ผลักดันเรื่องนี้ ผมคิดว่าศูนย์หนังสือธรรมศาสตร์ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง มันก็โอเค ไม่ดีเท่าของจุฬาฯ แต่ก็เป็นการผลักดันของอาจารย์ป๋วย

อีกอย่างหนึ่งที่ผมออกตัวเป็นพิเศษ คือ มูลนิธิโครงการตำราสังคมมนุษยศาสตร์ ซึ่งอาจารย์ป๋วยตั้งเอาไว้เมื่อปี 2509 มูลนิธิจะครบรอบ 50 ปีเมื่ออาจารย์ป๋วยครบรอบ 100 ปี ครึ่งต่อครึ่ง อันนี้ก็เป็นความคิดความอ่านของคนแบบอาจารย์ป๋วย ที่บอกว่ามันต้องมีหน่วยงานที่ทำงานแบบนี้ ในเมื่อมหาวิทยาลัยยังไม่เข้มแข็งพอในปี 2509 อาจารย์ก็ตั้งมูลนิธินี้ขึ้นมา แล้วคนที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงอย่างดี ต่องานให้อาจารย์ป๋วย ก็คืออาจารย์เสน่ห์ จามริก ซึ่งเป็นประธานต่อจากอาจารย์ป๋วย ตอนนี้เราก็มาถึงประธานคนที่ 3 คือ อาจารย์เพ็ชรี สุมิตร

แล้วผมก็เล่นเกมนี้ต่อ นับตั้งแต่กลับมาจากเมืองนอกแล้ว เล่นเกมเป็นเลขานุการ เป็นกรรมการ เป็นตัววิ่ง ผมกลับมา ผมอายุยังน้อยอยู่ 30 ต้นๆ ก็เป็นตัววิ่ง ผมมาดูแล้ว แรกเริ่มเดิมทีอาจารย์ป๋วยกับอาจารย์เสน่ห์ก็ไปขอความสนับสนุนมาจากร็อกกี้ เฟลเลอร์ ได้มา 1 ล้านบาท อาจารย์เกริกเกียรติ (พิพัฒน์เสรีธรรม) กับผม กับอาจารย์ชลธิรา (สัตยาวัฒนา) เราก็ไปดูตึกห้องแถวฝั่งธนฯ ไปซื้อไว้สมัยที่อาจารย์ป๋วยอยู่ มีที่ทำงาน มีเจ้าหน้าที่สองสามคน แล้วก็ทำงานผลิตตำรากันมาจนถึงทุกวันนี้

 

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ , ปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดี ม.ธรรมศาสตร์ , ปกป้อง จันวิทย์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

 

พอมารุ่นอาจารย์ชาญวิทย์ อาจารย์ชาญวิทย์สนิทสนมกับญี่ปุ่น ก็ได้รับการสนับสนุนจากโตโยต้า เจแปน แล้วในตอนหลังก็เป็นโตโยต้า ไทยแลนด์

ทั้ง Toyota Thailand และ Toyota Japan สนใจเรื่อง Southeast Asia หรือ ASEAN จากการที่อาจารย์ป๋วยได้วางเมล็ดพืชเอาไว้ ในข้อคิดเรื่อง The Quality of Life of a South-East Asian (A Quality of Hope from Womb to Tomb ที่แปลเป็นไทย และรู้จักกันดี “คุณภาพแห่งชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดา ถึงเชิงตะกอน”)

เป็นประเด็นที่ทำให้ผมจับว่า อันนี้แหละ ไปเจรจาทุนเกี่ยวกับ Southeast Asia ได้ทำหนังสือหนังหาเกี่ยวกับอุษาคเนย์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาเซียน ได้ห้องหนังสือเกี่ยวกับทั้งอาจารย์ป๋วย ทั้งอุษาคเนย์ ที่ห้องสมุดใต้ดิน ที่ท่าพระจันทร์ เพิ่มจากที่มีที่คณะเศรษฐศาสตร์มาก่อน แล้วในที่สุดก็จะมีศูนย์ใหม่ๆ ที่รังสิต เราก็เลยได้หนังสือเกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาเยอะ รวมทั้งห้องเพิ่มขึ้นมาอีกห้องหนึ่ง มีที่ตึกเศรษฐศาสตร์แล้ว มีที่รังสิตแล้ว ก็ไม่เป็นไร มีอีกก็ได้ ห้องที่เอาหนังสือเกี่ยวกับเอเชีย อาเซียน ไปใส่ไว้อีกที่หนึ่ง

ปกป้อง : ธรรมศาสตร์ยุคนี้ต่างจากธรรมศาสตร์ยุคอาจารย์ป๋วยอย่างไรบ้าง

ชาญวิทย์ : สิ่งซึ่งคนจำนวนมากไม่มี สิ่งซึ่งคนที่เป็นผู้นำ เป็นนายกฯ เป็นรัฐมนตรี หรือเป็นอธิการบดีไม่มี คือสร้างแรงบันดาลใจไม่ได้ จืด แต่อาจารย์ป๋วยสร้างแรงบันดาลใจได้ อาจารย์อาจจะพูดไม่กี่คำ แต่คนบอกว่าใช่ ผมว่านักการศึกษาไม่ใช่คนที่ทำงานประจำ ผมไม่อยากพูดในเชิงดูถูกกันมากเกินไป แต่คนที่เป็นนักการศึกษา คนที่เป็นผู้นำ ต้องสร้างแรงบันดาลใจที่ทำให้คนบอกว่า ใช่แล้ว อันนั้น เราต้องทำ

ปกป้อง : ถ้าประเมินช่วงชีวิตอาจารย์ป๋วย อะไรคือความสำเร็จ อะไรคือความล้มเหลว

ชาญวิทย์ : ถ้าเราดูอาจารย์ป๋วยมาจนกระทั่งอายุ 60 เราต้องพูดว่าอาจารย์ป๋วยประสบความสำเร็จมาก แล้วก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ ในความเป็นคนคนหนึ่งที่ออกมาอยู่แถวหน้าของสังคมไทย เป็นคนธรรมดา เป็นลูกคนจีน แต่ก็มาได้ไกลและสูงมาก เราต้องถือเป็นความสำเร็จในชีวิตมาก แต่เป็นความสำเร็จที่อาจารย์ไม่ได้สำเร็จเพื่อตัวเองเฉยๆ แต่เป็นความสำเร็จเพื่อคนจำนวนมาก อันนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่าประเสริฐสุด

ปกป้อง : อาจารย์ป๋วยอยู่ใน “ความเงียบ” 22 ปี แล้วเราได้ยินเสียงอะไรจาก “ความเงียบ”

ชาญวิทย์ : ความเงียบ 22 ปี อาจารย์ป๋วยก็ส่งกระแสมาเป็นระยะๆ ด้วยลายมือที่บิดเบี้ยว ด้วยการแสดงจุดยืนบางอย่าง ใน “ความเงียบ” นั่นก็ทำให้คนจำนวนไม่น้อย ยังมีภาพของคน ซึ่งต้องการ “สันติ” ต้องการ “ธรรมะ” ต้องการ “ประชาธิปไตย” กับการที่บอกเราว่า ลาภยศ สรรเสริญ มันเล็กน้อยเกินไป

ธรรมศาสตร์เคยพยายามที่จะให้ปริญญาดุษฎีอาจารย์ป๋วย ธรรมศาสตร์เคยพยายามที่จะให้รางวัลธรรมศาสตราจารย์แก่อาจารย์ป๋วย อาจารย์ป๋วยตอบว่า “รับไม่ได้”

กว่าท่านจะยอมรับก็ใช้เวลาอีกนาน ถึงแม้ใน “ความเงียบ” นั้น อาจารย์ก็ยังบอกเราว่า นี่คือสิ่งที่ต้องทำ ซึ่งเราจำนวนมากเลยก็ยังไม่ตระหนัก

The post “ปกป้อง…ถาม-ชาญวิทย์…ตอบ” หลากเรื่อง อ.ป๋วย ที่คุณอาจไม่เคยรู้ appeared first on มติชนออนไลน์.


“กรุณาสัมผัส”ด้วยหัวใจ ศิลปะจากโลกแห่งความมืด

$
0
0

ในบางครั้งเพราะเรามองเห็นทุกอย่างชัดเกินไป ทำให้คุ้นชินกับการมองสิ่งต่างๆ แล้วก็ปล่อยผ่านไป จนลืมที่จะใช้มือเข้าไปสัมผัส ใช้จมูกเข้าไปดมกลิ่น หรือแม้แต่ใช้สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างการใช้ “หัวใจ” ในการรับรู้เรื่องราวสิ่งต่างๆ รอบตัว

งานศิลปะก็เช่นกัน คนทั่วไปมักมองเห็นศิลปะต่างๆ แล้วมีความรู้สึกเพียงแค่ว่ามันก็สวยดี ทั้งๆ ที่เราไม่รับรู้หรอกว่ามันสวยอย่างไร แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่งที่งานศิลปะหรือการวาดรูปนั้นถือเป็นเส้นขนานและเป็นสิ่งใหม่สำหรับเขาเลยก็ว่าได้ นั้นคือกลุ่มผู้บกพร่องทางสายตา

แน่นอนว่าเมื่อพูดถึงศิลปะกับผู้บกพร่องทางสายตา หลายๆ คนคงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ คนตาบอดจะวาดภาพได้อย่างไร แต่ ณ วันนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป เมื่อมีสิ่งที่เรียกว่าชุดวาดรูป “เล่นเส้น”

“เล่นเส้น” คือชุดวาดรูปสามมิติ โดยฝีมือการประดิษฐ์คิดค้นของ “กล่องดินสอ” กลุ่มนักพัฒนาสื่อการเรียนรู้เพื่อคนพิการทางสายตา ด้วยพื้นฐานความคิดที่ว่า แม้ผู้พิการทางสายตาจะไม่สามารถเรียนรู้จากการมองเห็นได้ แต่เราใช่ว่าจะไร้จินตนาการและความคิดฝัน จึงเป็นที่มาของการใช้กระดานหนามเตยและกลุ่มด้ายสีเป็นอุปกรณ์สำหรับการวาดภาพสามมิติ

สำหรับคนที่มีสายตาปกติ “เล่นเส้น” คงไม่ใช่สิ่งที่น่าสนหรือน่าตื่นใจมากนัก แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดตลอดแล้ว มันกลับเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด

ที่น่าปลื้มใจนักคือ การที่ผลงานตนเองได้จัดแสดงในนิทรรศการ “กรุณาสัมผัส” (Please Touch) ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) ร่วมกับบริษัท กล่องดินสอ จำกัด จัดขึ้นเพื่อส่งเสริมให้เด็กผู้ที่มีปัญหาทางสายตาได้เข้าถึงและพัฒนาศักยภาพทางศิลปะ “หนูไม่ได้ชอบวาดรูปนะคะ แต่หนูชอบที่มันสามารถจินตนาการตามที่หนูคิดได้”

“น้องลูกปลา” นักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ พูดถึงความพิเศษของการวาดรูปโดยวิธีเล่นเส้น ผลงานของน้องลูกปลาสะท้อนอะไรหลายอย่าง น้องลูกปลาเล่าว่า ผลงานของตัวเองมีชื่อว่า “ภาพใหม่ที่อยู่บนท้องฟ้า” มีกลุ่มดาวต่างๆ มีพระอาทิตย์ ก้อนเมฆ หัวใจ ลอยอยู่บนท้องฟ้า

ส่วนศิลปินตัวเล็กที่ใจไม่เล็กตามตัวอีกคน น้องบาส นัทพล ทั้งโครต นักเรียนโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เล่าว่ารู้สึกดีใจที่ได้วาดรูปและมีคนมาชมผลงาน สำหรับผลงานของน้องบาสเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะสะท้อนสังคมในปัจจุบัน

น้องบาสเล่าว่า ได้ยินข่าวตามทีวีและโทรทัศน์ถึงการบุกรุก ตัดไม้ทำลายป่า ทำให้เกิดน้ำท่วม ไฟป่า และอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย มันทำให้รู้สึกอยากวาดขึ้นมา

จากคำบอกเล่าของน้องทั้งสองคนบอกเลยว่าเป็นจินตนาการที่สุดยอดจริงๆ ในขณะที่โลกของน้องมองเห็นเพียงสีดำ แต่กลับรับรู้และตื่นกลัวกับปัญหาที่เราหลายๆ คนมองผ่านไป

 

โลกมืด03

แล้วถ้าคนสายตาปกติมาสร้างผลงานด้วยวิธี “เล่นเส้น” จะออกมาเป็นแบบไหน วิศุทธิ์ พรนิมิตร นักวาดการ์ตูนชาวไทยคนแรกที่ผลงานได้ตีพิมพ์ในญี่ปุ่น เล่าถึงความรู้สึกหลังจากลอง “ปิดตา” วาดภาพว่า เวลาที่เราวาดรูปเรามักใช้ตาในการมองควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์ผลงาน มันทำให้เราสนใจแต่ว่า รูปจะออกมาเป็นอย่างไร จะสวยไหม จะมีคนชอบหรือเปล่า แต่พอลองปิดตาวาดด้วยวิธีเล่นเส้นทำให้เราลืมโลกภายนอกไปหมดเลย

“ไม่สนแล้วว่าใครจะรู้สึกอย่างไร หรือว่ารูปจะสวยหรือไม่สวย สิ่งที่เราเห็นคือข้างในเรา เรามีใจกับมัน เรามีความเงียบสงบอยู่กับมัน เรามีจินตนาการ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่เราไม่เคยรู้สึกมาก่อน วันนี้ได้มาเห็นผลงานของน้องๆ รู้สึกว่าเขาต้องรู้สึกแบบเราแน่เลย ซึ่งในรูปมันไม่ได้ตรงกับที่เราจินตนาการ ไม่ได้เหมือนที่เราอยากวาด แต่ว่ามันได้ความรู้สึก”

วิศุทธิ์เล่าต่อว่า ผลงานที่เลือกใช้สีเพียงสีเดียวเพราะว่าอยากให้น้องๆ จับดูแล้วรู้ว่าคือรูปอะไรโดยไม่ต้องมีคนคอยอธิบายว่ามีสีอะไรบ้าง มันจะได้เห็นเท่าๆ กันทั้งคนที่มองด้วยตาและคนที่สัมผัสมันด้วยใจ

(ซ้าย) วิศุทธิ์ พรนิมิตร นักวาดการ์ตูนชาวไทยคนแรกที่ผลงานได้ตีพิมพ์ในญี่ปุ่น (ขวา) โลกในความมืดที่ไม่มืดอีกต่อไป
(ซ้าย) วิศุทธิ์ พรนิมิตร นักวาดการ์ตูนชาวไทยคนแรกที่ผลงานได้ตีพิมพ์ในญี่ปุ่น (ขวา) โลกในความมืดที่ไม่มืดอีกต่อไป

จากเจ้าของผลงาน มาฟังความรู้สึกของผู้เข้าชมบ้าง

เจน นิรมิต เล่าว่า สัมผัสรูปในตอนแรกเราไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเป็นรูปอะไรถ้าเราไม่อ่านคำบรรยายภาพประกอบ ฉะนั้น ผู้บกพร่องทางสายตาต้องมีสัมผัสที่ดีมากแน่ๆ เพราะสามารถจดจำและจินตนาการได้ว่าเส้นด้ายเหล่านี้เรียงร้อยเป็นรูปอะไร และสื่ออะไรออกมา ขณะที่เราต้องใช้เวลาในการดูและเข้าใจมัน

มันอาจจะใช้เวลานานสักหน่อยต่อการสัมผัสรูปในแต่ละรูป เราลองตัดการรับรู้ทางสายตาแล้วใช้มือสัมผัส ให้ใจเป็นตัวจินตนาการว่าสิ่งที่เราสัมผัสนั้นคือรูปอะไร และรับรู้ว่ารูปวาดเหล่านี้กำลังบอกอะไรเราอยู่ ทุกรูปมีเรื่องราวของมันเองที่ผู้วาดส่งถึงเรา และมันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถเห็นได้ในชีวิตเพราะเรามัวแต่มองด้วยตาเพียงอย่างเดียว

(ซ้ายบน) "My Name" น้องเตย-วาสนา เต็มมูล อายุ 17 ปี ตาบอดสนิทตั้งแต่กำเนิด อยากเขียนชื่อตัวเองได้ จึงเป็นที่มาภาพนี้ที่น้องเตยสามารถเขียนหนังสือได้ด้วยตัวเอง (ขวาบน) "เมืองไทยในฝัน" ของน้องบิ๊ก-ธีระพงษ์ กันนิยม (ซ้ายล่าง) ธรรมชาติเมืองไทยในความฝัน น้องนุ๊ก-อดิศักดิ์ คำหวาน อายุ 20 ปี (ขวาล่าง) "คิ้วต่ำ" อนุชิต คำน้อย นักเขียนภาพประกอบ
(ซ้ายบน) “My Name” น้องเตย-วาสนา เต็มมูล อายุ 17 ปี ตาบอดสนิทตั้งแต่กำเนิด อยากเขียนชื่อตัวเองได้ จึงเป็นที่มาภาพนี้ที่น้องเตยสามารถเขียนหนังสือได้ด้วยตัวเอง (ขวาบน) “เมืองไทยในฝัน” ของน้องบิ๊ก-ธีระพงษ์ กันนิยม (ซ้ายล่าง) ธรรมชาติเมืองไทยในความฝัน น้องนุ๊ก-อดิศักดิ์ คำหวาน อายุ 20 ปี (ขวาล่าง) “คิ้วต่ำ” อนุชิต คำน้อย นักเขียนภาพประกอบ

นอกจากผลงานของน้องๆ จาก 4 โรงเรียน ได้แก่ โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ โรงเรียนธรรมิกวิทยา โรงเรียนสอนคนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา และโรงเรียนศึกษาคนตาบอดและคนตาบอดพิการซ้ำซ้อน จ.ลพบุรี ยังมีผลงานของ 12 ศิลปินดัง อาทิ ศิลปินแห่งชาติ ศ.เกียรติคุณอิทธิพล ตั้งโฉลก จิตรกรผู้ได้รับรางวัลทุนเกียรติยศ “ศิลป์ พีระศรี”-ผศ.วุฒิกร คงคา ศิลปินหญิงร่วมสมัย-ศ.กัญญา เจริญศุภกุล นักวาดภาพประกอบ “คิ้วต่ำ” และ “มุนิน” นักวาดการ์ตูนมืออาชีพ ฯลฯ

ร่วมสัมผัสเรื่องราวที่ถ่ายทอดจากประสบการณ์ในโลกแห่งความมืด ภาพวาดแห่งจิตนาการ ในนิทรรศการ “กรุณาสัมผัส” ระหว่างวันที่ 15-24 มีนาคม 2559 ณ โถงชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

The post “กรุณาสัมผัส” ด้วยหัวใจ ศิลปะจากโลกแห่งความมืด appeared first on มติชนออนไลน์.

วันนี้ฟัง “แหม่มแอนนา”

$
0
0

เดือนหนึ่งมีครั้งหนึ่ง คือ “ตลาดน้อยประชาชื่น” มีสินค้า ผัก ผลไม้ อาหาร และของรับประทานประเภทขนมปัง เค้ก รวมทั้งเครื่องใช้ประจำบ้าน ประจำตัวมาให้เลือกซื้อตามอัธยาศัยและอัธยาทรัพย์

วันเดียวกัน เดือนหนึ่งมีครั้งหนึ่งเฉพาะวันพฤหัสบดี เดือนมีนาคมเป็นวันพฤหัสบดีที่ 24 คือวันนี้

“ตลาดน้อยประชาชื่น” เริ่มจากเวลา 10.00-15.00 น.

ส่วนรายการอภิปรายให้ความรู้ แนวทางความคิดจากอดีตถึงปัจจุบัน คือ “ศิลปวัฒนธรรมเสวนา” ร่วมกับ “มติชน” วันพฤหัสบดีนี้ เป็นเรื่อง

“แหม่มแอนนา” ครูฝรั่งกับวังหลวง

ผู้นำเสวนาคือ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ แห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรามินทร์ เครือทอง นักเขียนอิสระ และ ศรัณย์ ทองปาน กองบรรณาธิการนิตยสารสารคดี

งานนี้เริ่ม 13.30-16.30 น.

สถานที่ทั้งสองงานคืออาคารมติชนอคาเดมี ข้างสำนักงานหนังสือพิมพ์ข่าวสด

“แหม่มแอนนา” คือครูที่ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงจ้างมาเป็นครูสอนพระราชโอรส พระราชธิดา ตั้งแต่สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ เป็นต้นไป บางครั้งก็เป็นราชเลขานุการิณีของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อการติดต่อกับฝรั่ง

จากประสบการณ์และสิ่งที่พบเห็นในวังหลวง แหม่มแอนนาจึงเขียนหนังสือ 2 เล่ม จากหนังสือที่แหม่มแอนนาเขียนชื่อ “แหม่มแอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม” บริษัทสร้างภาพยนตร์ที่ฮอลลีวู้ดนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ออกฉายทั่วโลก ยกเว้นประเทศไทย

หนังสือที่เธอเขียนแปลออกมาเป็นภาษาไทย มีพิมพ์จำหน่าย แต่หาซื้อยาก เพราะห้ามขาย

บางคนหาว่าเธอโกหก แต่หลายคนยกย่องว่าคือความจริง

เธอ-แหม่มแอนนา-เป็นใคร เธอเขียนอะไร ทำไมต้องถูกข้อหาว่า “ตอแหล” ????

งานนี้ต้องสำรองที่นั่งล่วงหน้า ด้วยเหตุที่มีรายการพิเศษสำหรับลูกค้าของ AIS สำรองที่นั่ง 50 คนแรก ได้รับพ็อคเก็ตบุ๊กฟรี (โปรดแสดงสิทธิต่อเจ้าหน้าที่ในวันงาน)

หมายเลขโทรศัพท์สำรองที่นั่งล่วงหน้าและสอบถามเพิ่มเติมที่ 0-2580-0021-40 ต่อ 1206, 1228

เรื่องราวของแหม่มแอนนา ไม่เพียงแต่น่าฟังในวันนี้เท่านั้น หากใครพอจะหาหนังสือเรื่อง “แหม่มแอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม” มาอ่านได้ จะเพิ่มพูนความรู้ทางประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัยนั้นได้อย่างดี อย่างน้อยเพื่อเทียบเคียงกับประวัติศาสตร์ในช่วงนั้น ซึ่งเป็นช่วง “เปลี่ยนผ่าน” จากแนวความคิดระหว่างสมบูรณาญาสิทธิราชย์กับประชาธิปไตยที่ก่อกำเนิดขึ้นในทวีปยุโรป

“แหม่มแอนนา” หรือ มิสซิสแอนนา เลียวโนเวนส์ เธอบอกสถานที่เกิดของเธอเพียงว่า “ฉันเชื่อว่า ฉันเกิดในคาร์นาร์วอน ในแคว้นเวลส์” เธอเดินทางเข้ามาสยามเพื่อถวายงานสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรส พระราชธิดา เจ้าจอม หม่อมห้าม ตามคำเชิญของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ พ.ศ.2405 และกลับออกไปจากสยาม พ.ศ.2410 รวมเวลาที่อยู่ในสยาม 5 ปีกว่า

หวังว่าน้องหนูคงจะรู้จักชื่อ “หลุยส์ ที. เลียวโนเวนส์” ซึ่งเดินทางมา

สยามและเข้ารับราชการสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เป็นผู้นำสำเนาของ “แม่” คือแหม่มแอนนา มามอบให้ นอกจากจะมาฟังการเสวนาเรื่อง “แหม่มแอนนา” ครูฝรั่งกับวังหลวง บ่ายวันนี้แล้ว ยังมีโอกาสหาซื้อหนังสือหลายเล่มที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์แห่งยุคพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4

หนังสือเล่มหนึ่งที่จัดพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่เดือนกันยายน 2547 “สายลับวังหลวงและโลกมายาของ แอนนา เลียวโนเวนส์” ซึ่ง ไกรฤกษ์ นานา กับ ปรามินทร์ เครือทอง นำเสนอไว้ ไม่ทราบว่ายังมีจำหน่ายไหม

กระนั้น บ่ายวันนี้ พบกันที่เก่าเวลาเดิมนะครับ หากมาก่อนเวลาเชิญที่ “ตลาดน้อยประชาชื่น”

The post วันนี้ฟัง “แหม่มแอนนา” appeared first on มติชนออนไลน์.

ตะลุยงานสัปดาห์หนังสือ สำนักพิมพ์’มติชน’ชวนค้น’ประวัติศาสตร์’เพื่อสร้าง’อนาคต’

$
0
0

“14 ตุลา นำมาซึ่งความใส่ใจต่ออดีต และเหตุที่ใส่ใจต่ออดีตก็เพราะคนไทยกำลังวางเส้นทางอนาคตของสังคมตนเอง ความทรงจำทำให้เรามีสมรรถภาพที่จะวางอนาคต แต่ในขณะเดียวกัน ความทรงจำก็ไม่ใช่สิ่งที่ลอยมาจากอดีตล้วนๆ แต่ถูกกำหนดขึ้นจากความใฝ่ฝันถึงอนาคตที่เราต้องการด้วย”

ตอนหนึ่งในบทความเรื่อง “อดีตในอนาคต” ผลงานของ นิธิ เอียวศรีวงศ์ ตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ที่สะท้อนเหตุผลของการให้ความสำคัญและใส่ใจอดีต

ด้วยความตระหนักในคุณค่าของ “ประวัติศาสตร์” ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 44 นี้ จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 มีนาคม-10 เมษายน 2559 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

สำนักพิมพ์มติชนได้ยกทัพหนังสือมาให้บรรดาหนอนนักอ่านได้เลือกสรรอย่างจุใจ ภายใต้ธีม “ประวัติศาสตร์คืออนาคต”

ทำไมต้อง ‘ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต’

อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ รองผู้จัดการสำนักพิมพ์มติชน ดูแลงานแปลและหนังสือศิลปวัฒนธรรม เกริ่นว่า หนังสือของสำนักพิมพ์มติชนพิมพ์งานประเภทประวัติศาสตร์ออกมาจำนวนมาก ปีนี้จึงเลือกใช้ธีมนี้เป็นธีมหลัก

“อย่างที่เรารู้กันว่า อดีตคือฐานแห่งการเรียนรู้เพื่อเข้าใจปัจจุบัน แล้วจะได้วางแผนสู่อนาคตว่าเราอยากดำรงชีวิตแบบไหน อยากให้คำตอบแบบไหนในสังคม แล้วหนังสือที่เราทำออกมาในงานนี้ ไม่ได้มีเพียงหนังสือของศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีหนังสือของกองแปลกองไทย ที่ออกมาเพื่อกุมธีม “ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต”

“ตอนนี้สังคมไทยเกิดการแบ่งแยกเป็น 2 ขั้ว คล้ายกับที่ อ.ชาญวิทย์ เคยให้สัมภาษณ์ว่า สังคมตอนนี้อยากได้ความรู้ที่จะเข้ามาช่วยเยียวยาสังคมไทย เราคิดว่าโจทย์นี้น่าจะเป็นทางออกให้สังคมไทยได้”

อพิสิทธิ์ย้ำว่า หนังสือประวัติศาสตร์ของสำนักพิมพ์มติชน ไม่ได้อยากให้เชื่อทั้งหมด แต่ให้รู้จักตั้งคำถาม สังเกต ถกเถียงกันโดยมีหลักฐานและเหตุผลมารองรับ อธิบายซึ่งกันและกัน เช่นงานเขียนเกี่ยวกับรัชกาลที่ 6 ซึ่งตีพิมพ์มาแล้วหลายเล่ม ล่าสุดทำออกมา 2 เล่มคือ การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ 6 กับ เบื้องลึก เบื้องหลัง ในพระราชบันทึกเรื่อง ประวัติต้นรัชกาลที่ 6 ซึ่งแต่ละเล่มมีมุมมองต่างกัน

pra01250359p1

5 ปกใหม่ เอาใจคอประวัติศาสตร์

สำนักพิมพ์มติชนมีหนังสือออกใหม่ที่ออกมาครอบคลุมธีมประวัติศาสตร์ คือ อนาคต ได้แก่ การเมืองในการทหารไทยสมัยรัชกาลที่ 6 ผลงานของ เทพ บุญตานนท์ ราษฎรสามัญ หลังวันปฏิวัติ 2475 ผลงานของ ศราวุฒิ วิสาพรม อยู่ในศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ ส่วนงานแปลคือ ราชสำนักจีนหันซ้าย โลกหันขวา เขียนโดย หวังหลง แปลโดยเขมณัฏฐ์ ทรัพย์เกษมชัย และสุดารัตน์ วงศ์กระจ่าง มติชนบันทึกประเทศไทย ปี 2558 โดยศูนย์ข้อมูลมติชน ซึ่งในอนาคตข้างหน้า หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นหลักฐานอย่างหนึ่ง และอีกเล่มที่น่าสนใจไม่แพ้กันคือ ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ผลงานของ ภาณุ ตรัยเวช แอดมินของเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ในไวมาร์เยอรมัน”

มณฑล ประภากรเกียรติ หัวหน้ากองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรมฉบับพิเศษ อธิบายถึงหนังสือแต่ละเล่มว่า

“การเมืองในการทหารไทยสมัยรัชกาลที่ 6” เกี่ยวกับการครองราชย์ของรัชกาลที่ 6 ซึ่งกองทัพเปลี่ยนไปมีรูปแบบกองทัพแบบตะวันตกซึ่งมีกระทรวงกลาโหมทำงานอย่างชัดเจน กองทัพไม่ได้ขึ้นตรงกับกษัตริย์อย่างช่วงก่อนหน้านั้น ทำให้รัชกาลที่ 6 ไม่มีกำลังทหารส่วนพระองค์

“หนังสือเล่มนี้พยายามบอกว่า ตลอดยุคสมัยของพระองค์ท่าน ทรงพยายามดึงกองทัพมา ซึ่งจนแล้วจนรอดก็ไม่ง่ายเลย เพราะอำนาจในกองทัพทั้งหมดกลับตกไปอยู่กับสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ กับสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ถ้าอ่านหนังสือเล่มนี้จะทราบว่ารัชกาลที่ 6 จะทำอะไร ต้องให้ 2 พระองค์นี้อนุมัติเท่านั้น ข้ามหน้าข้ามตาไม่ได้เลย

“ขณะเดียวกัน พระองค์ก็พยายามหาทางออก โดยการตั้งกองเสือป่า กรมทหารรักษาวัง ทั้งๆ ที่มีกรมมหาดเล็กรักษาพระองค์อยู่แล้ว สะท้อนให้เห็นว่าพระองค์ท่านพยายามสร้างกองทัพขึ้นมา” มณฑลอธิบาย

ก่อนเล่าคร่าวๆ ถึงหนังสือ “ราษฎรสามัญ หลังวันปฏิวัติ 2475” ว่า งานที่ผ่านมาเรื่องปฏิวัติ พ.ศ.2475 มีการผลิตออกมาจำนวนมาก แต่เล่มนี้เป็นอีกมุมมอง เน้นไปเรื่องราษฎร สามัญชน คนธรรมดาอย่างเรา พ่อค้า คนธรรมดา นักวิชาการต่างๆ ว่าก่อนการปฏิวัติราษฎรมีพลังอย่างไร ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างไรบ้าง และหลังปฏิวัติ ชีวิตของคนเหล่านี้เป็นอย่างไรบ้าง

อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ - มณฑล ประภากรเกียรติ
อพิสิทธิ์ ธีระจารุวรรณ – มณฑล ประภากรเกียรติ

“ที่ผ่านมาเราจะอธิบายแต่ว่า คณะราษฎร์กับราชวงศ์แย่งชิงอำนาจกันอย่างไร แต่เล่มนี้เป็นการพูดถึงประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ประวัติศาสตร์การเมืองโดยโฟกัสที่คนธรรมดาอย่างเดียว ซึ่งเป็นมุมมองใหม่อีกมุมมอง”

อพิสิทธิ์เสริมว่า ส่วน “ราชสำนักจีนหันซ้าย โลกหันขวา” เป็นหนังสือแปล ผู้เขียนต้องการเปรียบเทียบระหว่างโลกฝ่ายตะวันตกกับตะวันออก เปรียบเทียบว่าคนทั้งสองโลกต่างกันยังไง มีวิธีการพัฒนาประเทศอย่างไร เปรียบเทียบให้เห็นโดยยกบุคคลสำคัญมาเปรียบเทียบกัน เช่น สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียแห่งสหราชอาณาจักร กับ ซูสีไทเฮา เพื่อให้คนอ่านเห็นว่าทำไมประเทศยิ่งใหญ่อย่างจีนไม่เจริญเหมือนฝั่งตะวันตก

ส่วน “บันทึกประเทศไทย 2558” เป็นการรวมเนื้อหาข่าวในปี 2558 หลายหมวดหมู่ เราจะเห็นภาพรวมว่าปีที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมือง สมมุติอีก 50 ปีข้างหน้าถ้าเราอยากศึกษาว่าปี 2558 เกิดอะไรขึ้น เล่มนี้จะเป็นหลักฐานหนึ่งที่ช่วยได้

อีกเล่มคือ “ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” เล่าเรื่องสาธารณรัฐไวมาร์ บอกเล่าว่าฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่หนังสือเล่มนี้ไม่ใช้ประวัติศาสตร์ล้วนๆ แต่คล้ายงานวรรณกรรม เพราะใช้ทั้ง

งานวรรณกรรม ภาพยนตร์ ศิลปะ และหลักฐานประวัติศาสตร์ เพื่อเล่าว่าเกิดอะไรขึ้นในสาธารณรัฐไวมาร์

2 วงเสวนาจัดเต็ม ข้อมูล-เกร็ดประวัติศาสตร์

29 มีนาคม วันแรกของงานหนังสือ สำนักพิมพ์มติชนได้จัดวงเสวนา “เจ้าฟ้า เจ้าชายในพระพุทธเจ้าหลวง” โดยวิทยากรคือ ธงทอง จันทรางศุ ผู้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์คนหนึ่งในเมืองไทย

อพิสิทธิ์อธิบายว่า ตอนแรก คุณศันศนีย์ วีระศิลป์ชัย มีผลงานกับ สนพ.มติชน ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก คือ “ลูกท่านหลานเธอ” พระประวัติของเจ้านายที่เป็นสตรีในวังซึ่งเจ้านายแต่ละพระองค์ทรงมีความสามารถที่แตกต่างกันไป แต่เล่มนี้ทาง สนพ.มติชนคุยกับศันศนีย์ว่าอยากได้เป็นผู้ชาย เริ่มเขียนตั้งแต่ปี 2554 แล้วเสร็จปี 2556-2557 โดย มณฑล เป็นบรรณาธิการ เขามีมุมมองตรงกับศันศนีย์ว่า เจ้าฟ้าเจ้าชายในหนังสือเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงพัฒนาประเทศ

มณฑลเสริมว่า พระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 ที่ศึกษาที่ยุโรป เมื่อกลับมาก็ช่วยอภิวัตน์สยามให้ทัดเทียมตะวันตก เป็นแนวคิดของรัชกาลที่ 5 ที่ทรงพยายามพลิกฟื้นสยามโดยใช้พระราชโอรส ในเล่มนี้จะเสนอหลายด้าน เช่น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์-ด้านทหารเรือ สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ-ด้านทหารบก สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก-ด้านการแพทย์ เป็นต้น

อพิสิทธิ์บอกว่า จุดเด่นคือคุณศันศนีย์เป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะ จึงมีเกร็ดบางอย่างที่เราไม่ค่อยรู้ คนเขียนก็เอามาเรียบเรียงให้เราได้รู้

อีกวงเสวนาของ สนพ.มติชนจัดขึ้นในวันที่ 4 เมษายน คือ “เรื่องเล่าในพระราชบันทึกประวัติล้นเกล้ารัชกาลที่ 6” โดยวรชาติ มีชูบท

อพิสิทธิ์อธิบายว่า คุณวรชาติมีเอกสารบางอย่างที่ยังไม่เคยเผยแพร่ เอามาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่ปรากฏในหนังสือ

“เหตุการณ์บางอย่างที่ รัชกาลที่ 6 ท่านทรงบันทึกไว้ บางอย่างเราก็ไม่รู้เบื้องหลังว่าที่ท่านเขียนคืออะไร ทำไมเขียนอย่างนั้น แต่คุณวรชาติ ค้นเอกสารมา แล้วบรรยายว่ารัชกาลที่ 6 หมายถึงอะไร เหตุการณ์เป็นอย่างไร โดยที่ใช้เอกสารที่ยังไม่เคยเผยแพร่ที่ไหนเอามาประกอบการเขียน เช่น เอกสารจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ ซึ่งอาจารย์คัดมาบางช่วงเพื่อมาอธิบาย สนุกมาก

“คาดว่างานเสวนาครั้งนี้ แกคงจะเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อย เรื่องสมัยรัชกาลที่ 6 ได้สนุก จึงจัดขึ้น” อพิสิทธิ์ย้ำ

อพิสิทธิ์ทิ้งท้ายว่า ไม่ว่าประวัติศาสตร์ยุคไหนก็น่าค้นหาเสมอ อดีตบางอย่าง เป็นบทเรียนที่เราเห็นจากประวัติศาสตร์ เราอยากซ้ำรอยกับมันไหม อยากหมุนกลับไปที่เดิมไหม หรือเราจะก้าวสู่อนาคต

ส่วนมณฑลบอกว่า เราไม่สามารถไปสู่อนาคตได้เลยถ้าเราไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ถ้าเราไม่รู้จักรากเหง้าที่ผ่านมา ก็ไม่สามารถที่จะเดินหน้าต่อไปได้ เราต้องเรียนรู้จากความผิดพลาด เรียนรู้จากการปฏิวัติ การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เรียนรู้จากการใช้นโยบายรัฐกับประชาชนอย่างไร ฉะนั้น ถ้าเราไม่มีบทเรียนอย่างนี้ เราก็จะไม่มีอนาคตที่จะเดินออกไป อาจจะซ้ำรอยเก่าหรือไปทางใหม่

ฉะนั้น การอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ ศึกษาประวัติศาสตร์ เท่ากับการศึกษาอนาคตเหมือนกัน

 

The post ตะลุยงานสัปดาห์หนังสือ สำนักพิมพ์’มติชน’ ชวนค้น’ประวัติศาสตร์’เพื่อสร้าง’อนาคต’ appeared first on มติชนออนไลน์.

พรุ่งนี้จุฬาฯ100ปี

$
0
0

เป็นกิจวัตรประจำตลอดทั้งปี ที่ “มติชน” ดำเนินการมาหลายสิบปี คือการรณรงค์ให้เพื่อนร่วมงานทุกคนช่วยกันลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้า น้ำประปา และโทรศัพท์

ปีนี้ ภาวะแล้งทำให้การขาดแคลนน้ำเริ่มขึ้นเร็วกว่ากำหนด ถึงขนาดกระทบกับน้ำประปา ชาวมติชนไม่รอช้า เริ่มรณรงค์เป็นพิเศษมากว่าเดือนหนึ่งแล้ว ด้วยการปิดประกาศให้ทราบและปฏิบัติทั่วกันว่า “น้ำน้อยใช้สอยประหยัด ท่ามกลางภาวะสถานการณ์ภัยแล้ง หมั่นตรวจเช็กหลังใช้งาน” 3 กรณีต่อไปนี้

1.ก๊อกน้ำที่มีน้ำหยดตลอดเวลาจะสูญเสียน้ำไม่น้อยกว่า 1,500 ลิตร หรือ 27 บาท/เดือน

2.ก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิท มีน้ำไหลเป็นเส้นตลอดเวลาจะสูญเสียน้ำไม่น้อยกว่า 10,000 ลิตร หรือ 180 บาท/เดือน

3.ชักโครกที่มีลูกลอยปิดไม่สนิท มีน้ำไหลลงโถส้วมตลอดเวลาจะสูญเสียน้ำไม่น้อยกว่า 30,000 ลิตร หรือ 540 บาท/เดือน

การประปานครหลวงรณรงค์ “ใช้น้ำทุกหยดอย่างมีคุณค่า” ให้คนกรุงเทพฯและปริมณฑลร่วมกันประหยัดน้ำ เพื่อช่วยลดปัญหาภัยแล้งด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของแต่ละคนใช้น้ำอย่างถูกวิธี

การประปานครหลวงเดินหน้ารณรงค์ให้ประชาชนตระหนักและร่วมใจใช้น้ำประปาอย่างรู้คุณค่า “แต่ดูเหมือนว่าความพยายามที่ผ่านมายังไม่มากพอที่จะปลุกกระแสรวมพลคนประหยัดน้ำได้อย่างเป็นรูปธรรม”

ปัญหาอาจอยู่ที่ว่าการประชาสัมพันธ์ยังไม่ต่อเนื่อง (งบประมาณน้อย) ค่าน้ำประปาที่ถูกแสนถูก เมื่อเทียบกับค่าสาธารณูปโภคอื่นจึงแทบไม่จูงใจให้ประหยัดมากขึ้น ต่างจากการประหยัดน้ำมันและค่าไฟฟ้า

การประปานครหลวงมีโฆษณาออกมาเรื่องหนึ่ง “ถ้าขาดน้ำ… ทุกอย่างก็หยุด” จำลองสถานการณ์ขาดน้ำที่หลายคนเคยประสบ เช่นระหว่างอาบน้ำ จู่ๆ น้ำหยุดไหล จะล้างจานชามแต่ไม่มีน้ำ “หรือโชคร้ายสุดสุด เมื่อทำธุระในห้องน้ำเสร็จ ทิชชูหมด น้ำไม่ไหล” โฮ้ย อะไรจะปานนั้น

การประปานครหลวงคุยว่า เป็นความกล้าหาญที่ออกมารณรงค์ให้คนกรุงประหยัดน้ำ เพราะการทำแบบนี้ไม่ต่างไปจากการบอกผู้บริโภคว่า อย่าใช้สินค้าฉันเยอะ ซื้อน้อยๆ ใช้น้อยๆ ผลคือรายได้ลดลง

เช่นปีที่ผ่านมาการรณรงค์กิจกรรม “ช่วยราษฎร์ ช่วยรัฐ ช่วยประหยัดน้ำประปา” เมื่อช่วงปลายปี ปรากฏว่าเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมการใช้น้ำลดลงร้อยละ 10 เพื่อรับรางวัลเป็นส่วนลดค่าน้ำประปา มีผู้ลดการใช้น้ำตามหลักเกณฑ์กว่า 4 แสนราย คิดเป็นปริมาณน้ำลดลงเกือบ 9,000 ล้านลิตร ภายใน 2 เดือน ทำให้รายได้ของการประปานครหลวงหายไปหลายล้านบาท ยังไม่รวมรางวัลค่าน้ำอีก 43 ล้านบาท

ปีนี้ยังมีการรณรงค์โครงการเดียวกันเป็นปีที่ 2 ในหลักการเดียวกันเดือนเมษายนและมีนาคม 2559 บ้านไหนลดการใช้น้ำเท่ากับปีก่อนจะได้รางวัลเดือนมิถุนายน มาตรขนาดไม่เกิน 1 นิ้ว รับรางวัลสูงสุดไม่เกิน 100 บาท มาตรขนาด 1 นิ้วขึ้นไปรับรางวัลสูงสุดไม่เกิน 200 บาท โดยตั้งงบประมาณไว้ 20 ล้านบาท

ปัญหาแล้งน้ำไม่ได้มีเฉพาะในกรุงเทพฯเท่านั้น แต่เป็นไปทั่วประเทศ ขอให้น้องหนูทั้งหลายเริ่มที่ตัวเองก่อน สงกรานต์นี้สนุกได้ แต่ต้องสนุกอย่างมีขอบเขต และ “ใช้น้ำทุกหยดอย่างรู้คุณค่า”

พรุ่งนี้ ชาวจามจุรีสีชมพู นัดพบที่สนามพระบรมราชานุสาวรีย์ 2 รัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบกิจกรรมสนุกทุกซุ้มคณะ ในงาน “99 ปี คืนสู่เหย้า ก้าวสู่ 100 ปี จุฬาฯ” เริ่มเวลา 7 โมงเช้า เป็นต้นไป

ขอเชิญชาวจุฬาฯแต่งกายชุดสีชมพู รวมพลัง “จุดไฟสีชมพู” ก้าวสู่วันที่ 1 “100 ปีจุฬาฯ”

บัตรราคา 200 บาท นำไปสมทบทุนสร้าง “อุทยานจุฬาฯ 100 ปี” สร้างให้เป็นอนุสรณ์สถาน “100 ปี จุฬาฯ” อันสรรค์สร้างคุณประโยชน์ยิ่งใหญ่ให้แก่สังคมและค่าอาหาร/เครื่องดื่ม+ไฟฉายสีชมพู

ติดต่อซื้อบัตรวันนี้ ที่สมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ 0-2218-3680, 0-2215-3488 หรือที่สมาคมนิสิตเก่าแต่ละคณะ และที่หน้างานพรุ่งนี้เช้า

จอดรถฟรีที่อาคารจอดรถ 2, 3 และถนนอังรีดูนังต์ “ห้าม” จอดถนนพญาไททั้งสองฝั่ง

 

The post พรุ่งนี้จุฬาฯ100ปี appeared first on มติชนออนไลน์.

กฎหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลง สิทธิกร ตั้งศิริ เจ้าของรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์

$
0
0

ในฐานะนักเรียนกฎหมาย การได้รับคัดเลือกจาก “กองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์” ให้เป็นผู้รับรางวัล “รางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์” ประเภทนักศึกษากฎหมายดีเด่นประจำปี 2559 จึงถือเป็น “รางวัลชีวิต” ที่ตอบโจทย์และเตือนใจว่าเรียนกฎหมายเพื่ออะไร

สิทธิกร ตั้งศิริ หรือภูมิ คือผู้ได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประเภทนักศึกษากฎหมายดีเด่นประจำปี 2559

ภูมิ จบการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1

เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2535 เป็นบุตรชายคนเล็กของ นายสมนึก ตั้งศิริ และนางสุภาพร ตั้งศิริ มีอาชีพเป็นวิศวกรและพยาบาลตามลำดับ มีพี่สาวที่มีอายุห่างกัน 3 ปี คือ นางสาวสุชญา ตั้งศิริ

เจ้าของรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ คนล่าสุด เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า ด้วยการที่แม่เป็นพยาบาล ตั้งแต่เด็กแม่จึงพาเขาไปโรงพยาบาลด้วยในวันทำงาน

เขาจบการศึกษาชั้นประถมและมัธยมจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยด้วยเกรดเฉลี่ย 3.89 โดยระหว่างเรียนนั้น ได้รับทุนการศึกษาประเภทนักเรียนที่มีผลการศึกษาสูงสุด 20 อันดับแรก “Top 20 Scholarship” โดยเลือกเรียนแผนการเรียนวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ เพราะมองว่าได้เรียนรู้แง่มุมที่หลากหลาย

“รู้สึกว่าได้เรียนกว้างดี ได้เรียนวิทยาศาสตร์ สมมุติว่าไม่ได้เรียนวิทยาศาสตร์ คงไม่เห็นภาพแบบวิทย์เลย”

หลายคนอาจคิดว่า ผลการเรียนดีขนาดนี้คงเป็นเด็กเนิร์ด กิจกรรมไม่ยุ่งมุ่งแต่เรียน

แต่ไม่ใช่!

ระหว่างเรียน ภูมิ บอกว่าชอบทำกิจกรรม สมมติมีแข่งตอบปัญหา มักจะขออาจารย์เพื่อลงแข่งเสมอ กระทั่ง ป.3 ได้เข้าเป็นสมาชิกคณะนักร้องประสานเสียง BCC Boy’s Choir ของโรงเรียนตั้งแต่ ป.6 ก็มีโอกาสได้แสดงละครเพลงเรื่อง “มนต์รักเพลงสวรรค์” (The Sound Of Music) ร่วมกับนักเรียนโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย โดยรับบทเคิร์ท ลูกชายคนที่ 4 ของกัปตันวอนแทรปป์ (Captain von Trapp) พระเอกของเรื่อง

เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย เมื่อเข้าเป็นนิสิตคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ แล้ว ได้เป็นหนึ่งในคณะนักร้องประสานเสียงวงซิมโฟนีออเคสตราแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางไปยังเมืองคาร์โอเร ประเทศอิตาลี เพื่อแข่งขันขับร้องประสานเสียงรายการ “Venezia in Musica 2014” ประเภทนักร้องกลุ่มขนาดเล็กผสม (mixed chamber choir) ได้รับรางวัลเหรียญทอง

ส่วนความสนใจด้านกฎหมายนั้น สิทธิกร เล่าว่า เกิดจากความคิดว่า หากต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น

“ก่อนหน้านั้นชอบด้านเศรษฐศาสตร์ คิดว่าทำให้เราเข้าใจสังคม ส่วนความชอบกฎหมายเข้ามาตอนท้าย มาจากความคิดที่ว่า ถ้าเราอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรอย่างหนึ่ง เราก็ควรจะมีพื้นฐานกฎหมาย จะได้เข้าใจสถาบันต่างๆ ว่าทำงานอย่างไร ดูนามธรรมมากเลยเนอะ” สิทธิกร ตอบพร้อมหัวเราะ

ขณะอยู่ปี 2 เขาได้ร่วมเป็นหนึ่งในกลุ่มตัวแทนคณะนิติศาสตร์ ได้รับรางวัลชนะเลิศ (ระดับในประเทศ) ในการแข่งขันว่าความในศาลจำลอง ทำให้ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันว่าความในศาลจำลอง รายการ Philip C. Jessup International Law Moot Court Competition ครั้งที่ 54 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา โดยอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองในการเขียนคำฟ้อง แถลงการณ์ด้วยวาจาต่อหน้าคณะกรรมการ และสร้างข้อต่อสู้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย

ซึ่งตามปกติแล้ว คนที่จะร่วมแข่งขันรายการนี้ส่วนใหญ่ควรเป็นนิสิต ปี 3 หรือปี 4 เพราะจะได้เรียนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ เขาและเพื่อนร่วมทีมอีก 2 คนที่อยู่ปี 2 เหมือนกันจึงต้องช่วยกันติว และได้รับความช่วยเหลือพี่นักศึกษาปริญญาโทซึ่งเป็นเพื่อนร่วมทีมอีกคนหนึ่ง

จากการไม่ทิ้งกิจกรรม พ.ศ.2557 เขาได้รับยกย่องเป็นนิสิตผู้สร้างชื่อเสียงด้านศิลปะและวัฒนธรรม, นิสิตผู้สร้างชื่อเสียง, นิสิตผู้ทำคุณประโยชน์แก่มหาวิทยาลัยด้านการบริหาร, นิสิตดีเด่น ของคณะนิติศาสตร์ รวมทั้งได้รับยกย่องเป็นนิสิตดีเด่นระดับปริญญาตรี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจำปี 2557

พ.ศ.2558 ได้รับทุนการศึกษา Spring School Scholarship ของศูนย์ความเป็นเลิศด้านนโยบายสาธารณะและธรรมาภิบาล เยอรมัน-อุษาคเนย์ (German-Southeast Asian Center of Excellence for Public Policy and Good Governance : CPG) เพื่อศึกษากฎหมายเยอรมันเบื้องต้นเป็นระยะเวลาสองสัปดาห์ที่ Westf?lische Wilhelms-Universit?t M?nster ประเทศเยอรมนี

รางวัลและกิจกรรมที่สาธยายข้างต้นนั้นแค่ “น้ำจิ้ม” เพราะยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรและงานจิตอาสาอีกนับแทบไม่หวาดไม่ไหว

สำหรับนักเรียนกฎหมาย ที่มุ่งมั่นทำประโยชน์เพื่อสังคม การได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประเภทนักศึกษากฎหมายดีเด่นประจำปี 2559 จึงถือเป็น “รางวัลชีวิต”

“ที่เราทำมาตลอด 4 ปี เราไม่ได้หวังผลตรงนี้หรอก ถ้าไม่ได้ก็ไม่เสียหายอะไร”

ภูมิ บอกว่า ชอบกฎหมายสิทธิมนุษยชน โดยมีแรงบันดาลใจจากศาสตราจารย์วิทิต มันตาภรณ์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศโดยเฉพาะเรื่องสิทธิมนุษยชน และคณาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การได้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ จึงเป็นเครื่องเตือนใจในอนาคต ว่าทำไมจึงสนใจและอยากทำงานด้านนี้

ทั้งนี้ สิทธิกร ตั้งศิริ จะเข้ารับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ในงานวันสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2559 ในวันที่ 5 เมษายน นี้ที่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต

 สนใจเรียนกฎหมายได้อย่างไร?

ถ้าอยากเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เราควรจะมีพื้นฐานด้านกฎหมาย เพื่อเข้าใจสถาบัน องค์กรต่างๆ ว่าทำงานอย่างไร

กฎหมายเหมือนเครื่องมือ เช่น เราอยากให้คนได้รับความคุ้มครองในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งภาครัฐต้องเคารพสิทธินี้ หากรัฐไม่เคารพก็มีกลไกกฎหมายเข้ามาบังคับใช้ กรณีนี้ กฎหมายจึงเป็นเครื่องมือเพื่อให้เราได้รับความคุ้มครอง ส่วนตัวจึงมองว่ากฎหมายเป็นพลังสนับสนุนในการสร้างความเปลี่ยนแปลง

แรงบันดาลใจอีกส่วนคือพี่สาว ที่บ้านไม่มีใครเรียนนิติศาสตร์เลย แต่พี่สาวเรียนนิติ ม.ธรรมศาสตร์ จึงคิดว่าพี่สาวเรียน มธ. แล้ว เราเรียนจุฬาฯก็แล้วกัน จะได้มีหลายค่าย (ยิ้ม)

เมื่อเข้ามาเรียนแล้ว ก็หาจุดที่ชอบในทุกวิชา แม้จะเป็นวิชาที่เรียนยากอย่างกฎหมายแรงงานซึ่งมีรายละเอียดยิบย่อยเยอะมาก ก็พยายามหาจุดที่ชอบ คิดว่ารู้เพื่อเป็นประโยชน์กับการทำงานในอนาคต

เลือกเรียนกฎหมายธุรกิจ แต่ไม่ทิ้งกฎหมายระหว่างประเทศ?

ตอนปี 3 ต้องเลือกสาขา ซึ่งมีกฎหมายธุรกิจ กฎหมายแพ่งอาญา กฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายมหาชน ซึ่งวิชาที่เลือกเรียนต่อไปในปี 3-4 ส่วนใหญ่อยู่ในสาขาธุรกิจกับระหว่างประเทศ เช่นกฎหมายสิทธิมนุษยชน เป็นกฎหมายที่ใช้ในภาวะปกติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ เป็นกฎหมายที่ใช้ในยามสงคราม อีกแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ชอบกฎหมายระหว่างประเทศคือ ศ.วิทิต มันตาภรณ์

ยกตัวอย่างสถานการณ์ความไม่สงบในซีเรีย กฎหมายมนุษยธรรมจะตอบว่าทุกฝ่ายในความขัดแย้งสามารถทำอะไรได้บ้าง เช่น ห้ามฆ่าพลเมือง ห้ามทำลายสถานศึกษาหรือโรงพยาบาล แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทุกฝ่ายในความขัดแย้งผิดทั้งหมด ซึ่งเราต้องเอากฎหมายพวกนี้ไปพูดในที่ประชุมระหว่างประเทศเพื่อผลักดันให้เกิดการแก้ปัญหา

ร่วมแข่งขันว่าความในศาลจำลองกฎหมายระหว่างประเทศ ที่สหรัฐอเมริกา?

ตอน ม.6 พอรู้ตัวว่าอยากเรียนกฎหมายก็เปิดเว็บไซต์ของคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ เห็นภาพรุ่นพี่ถ่ายรูปในการแข่งขันว่าความในศาลจำลองกฎหมายระหว่างประเทศ ตั้งใจว่าต้องลงแข่งรายการนี้ให้ได้ เข้าปี 1 จึงหาข้อมูลว่ารุ่นพี่คนไหนลงแข่งบ้างเพื่อขอคำปรึกษา และมีโอกาสได้ดูการว่าความในศาลจำลอง ได้นั่งเรียนกับเขาว่าเรียนอะไรกัน ซึ่งตอนนั้นไม่ค่อยรู้เรื่อง รู้แต่ว่าชอบ

ขึ้นปี 2 จึงมีเปิดรับสมัคร จึงลองยื่นใบสมัคร ซึ่งวิชากฎหมายระหว่างประเทศเขาเรียนกันปี 3 ผมยังไม่ได้เรียนจึงต้องไปค้นคว้า หาอ่านในห้องสมุด หลังจากนั้นก็เขียนคำฟ้องส่ง แล้วได้รับเลือกให้ไปคัดตัว โดยการพูดให้กรรมการฟัง สุดท้ายได้เป็น 1 ใน 4 คนซึ่งประกอบด้วยรุ่นพี่ ป.โท 1 คน และเพื่อนปี 2 อีก 2 คน แต่ละคนเก่งแบบสุดๆ ยกเว้นผมที่อาจจะน้อยที่สุด (ยิ้ม) ตอนนั้นทุกคนช่วยกันเพราะยังไม่ได้เรียนเหมือนกัน

หลังจากชนะรอบในประเทศแล้ว จึงมีสิทธิเป็นตัวแทนประเทศไปอเมริกาเพื่อร่วมแข่งขันรายการ Philip C. Jessup International Law Moot Court Competition ครั้งที่ 54 ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. การแข่งมีประมาณ 4 รอบ มีโอกาสได้เจอกับมหาวิทยาลัยจากอังกฤษ จากรัสเซีย รวมถึงเบลเยียม

ในรอบแรก ต้องแข่งทั้งหมด 4 ครั้ง คือในทีมจะแบ่งเป็นฝ่ายโจทก์และจำเลย พูดต่อหน้ากรรมการ 3 คน ซึ่งผมเป็นฝ่ายจำเลย 2 รอบ โดยกรรมการจะทำหน้าที่ขัดตลอดเวลาด้วยคำถามที่เราไม่คาดคิดมาก่อน เช่น เรื่องสถานะความเป็นรัฐของเกาะที่ถูกน้ำทะเลท่วมซึ่งเป็นผลกระทบจากภาวะโลกร้อน เราก็บอกไปว่าเกาะนั้นไม่มีที่ดินอยู่แล้ว จึงสิ้นความเป็นรัฐเพราะไม่ครบองค์ประกอบความเป็นรัฐ กรรมการจะถามว่า องค์ประกอบนี้เกิดขึ้นมาเพื่อพิจารณาความเป็นรัฐว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ไม่ใช่เอามาพิจารณาว่ารัฐสิ้นสุดอย่างไร มันคนละหลักกัน ซึ่งตอนนั้นคิดไม่ออกว่าทำอย่างไร แต่ก็ต้องเอาตัวรอดให้ได้

แม้ไม่ได้รับรางวัลชนะเลิศ แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นก็ได้นำมาถ่ายทอดสู่น้องๆ ซึ่งปัจจุบัน แต่ละทีมมีพัฒนาการขึ้นมาก

ทำไมตัดสินใจสมัครคัดเลือกเพื่อรับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์?

เมื่อปี 2557 รุ่นพี่ที่คณะคือ “พี่นภ” นภกมล หะวานนท์ ได้รับรางวัลประเภทนักศึกษากฎหมายดีเด่น ตอนนั้นผมอยู่ปี 3 ก็ไม่ได้คิดอะไร ไม่คิดว่าตัวเองจะถึงขั้นพี่นภซึ่งเขาเรียนเก่งมาก ไบรท์ ให้คำปรึกษาดี มีวิธีการมองสิ่งต่างๆ

ทราบข่าวประกาศรับสมัครจากเจ้าหน้าที่คณะนิติศาสตร์ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงลองยื่นดู นั่นเป็นโอกาสที่ทำให้ได้อ่านประวัติของ ศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อย่างจริงจัง มีโอกาสทบทวนตัวเองว่าจริงๆ แล้วเราอยากทำอะไรจากที่ได้ร่ำเรียนมา เพราะรางวัลนี้ให้คนที่มีผลการเรียนดีแน่นอน ด้านวิชาการเป็นที่ยอมรับ นอกจากนี้ต้องมีคุณธรรม มีจิตสาธารณะ ที่อยากทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ตอนนั้นทำอยู่ในองค์กรเอกชนจึงได้ทบทวนตัวเอง พบว่าอยากฝึกงานด้านสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นกฎหมายที่ชอบ

สัมภาษณ์เสร็จ เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะโทรแจ้งผลกับคนที่ได้รางวัลช่วงเย็น ซึ่งวันนั้นผมต้องไปเยี่ยมเพื่อนที่บวชและจำวัดอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่พอดี นั่งรอที่สนามบินจนถึงประมาณ 1 ทุ่ม เครื่องจะขึ้นแล้วยังไม่มีโทรศัพท์เข้ามา ก็คิดว่ากรรมการคงประชุมเสร็จตั้งแต่ 6 โมงแล้ว คงไม่ได้เลยไม่มีใครโทรมา พอเครื่องถึงเชียงใหม่แล้วจึงเปิดโทรศัพท์ เพื่อนก็โทรมาถามว่าได้หรือเปล่า เพราะเขาได้ยินมาว่าเด็กจุฬาฯได้ พอวางสายแล้วจึงดูมือถือว่าใครโทรมาหรือเปล่า พบว่ามีสายไม่ได้รับ จึงโทรกลับไป ปรากฏว่าได้รางวัล ดีใจมากๆ ส่วนครอบครัวไม่เห็นว่าแม่ดีใจขนาดไหน ท่านถามว่า “ได้ด้วยหรอ” แล้วก็เงียบไปสักพัก คงตื่นเต้นที่สุดแล้วครับ (ยิ้ม)

 

 

…ในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 มีการคุ้มครองสิทธิในระดับที่ดี แต่การคุ้มครองมันไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่กับเจ้าหน้าที่ว่าปฏิบัติอย่างไรกับประชาชน มันเป็นการแก้ปัญหาที่ข้างล่างด้วย…

 

อ่านประวัติ อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ แล้วประทับใจ และได้เรียนรู้อะไร?

(นิ่งคิด) ผมว่าท่านยึดในหลักศาสนาพุทธ เช่น ความซื่อสัตย์ ความเมตตากับเพื่อนร่วมงาน ท่านนำไปใช้กับวิชาชีพของท่านซึ่งเป็นนักกฎหมาย เป็นสิ่งจำเป็นมากที่นักกฎหมายต้องมีคุณธรรม อ.สัญญา ธรรมศักดิ์ได้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษา แล้วท่านก็เป็นคนที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี

ระหว่างทางที่จะเติบโตในสายอาชีพ เราต้องเรียนรู้จากสิ่งเล็กๆ ที่เราทำก่อน ทำให้มันดี แล้วผลดีต่างๆ จะตามมาและดีไปเรื่อยๆ อย่าง อ.สัญญา ท่านทำโดยไม่หวังผลว่าที่ทำเพื่อเป็นใหญ่เป็นโตในอนาคต ซึ่งมองว่าจุดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เหมือนตอนนี้ ทุกคนอยากเป็นคนนั้นคนนี้ แต่จริงๆ เราน่าจะปรับจุดโฟกัสใหม่ ว่าเราทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี ผมก็พยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด สิ่งที่ตามมาก็เป็นเรื่องของผล

ประทับใจก็ตรงนี้แหละครับ ที่ อ.สัญญา ทำสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ให้ดีที่สุด รวมถึงเรื่องคุณธรรม และการรักษาคุณธรรมในวิชาชีพด้วย

ถ้าพูดถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนในกฎหมายไทย ที่ผ่านมาดีพอหรือยัง?

เรามีรัฐธรรมนูญหลายฉบับแล้ว มีทั้งดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 มีการคุ้มครองสิทธิในระดับที่ดี แต่การคุ้มครองมันไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่กับเจ้าหน้าที่ว่าปฏิบัติอย่างไรกับประชาชน มันเป็นการแก้ปัญหาที่ข้างล่างด้วย

สิ่งที่ดีที่ประเทศอื่นชื่นชม เช่น สิทธิของ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายที่รัฐปกป้องสิทธิ์ในการเข้าถึงการแพทย์ ทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เรื่องของเด็กก็มีกฎหมายระบุว่า ไม่ว่าเด็กจะเป็นสัญชาติใด มีสิทธิเรียนระดับประถมศึกษา นอกจากนี้ยังมีการให้ความช่วยเหลือ ให้สัญชาติกับคนในพื้นที่ชายขอบของประเทศ แต่ก็มีด้านไม่ดีเหมือนกัน เช่น การคุ้มครองสิทธิในการแสดงความคิดเห็น

ถามว่าประเทศไทยทำเรื่องสิทธิมนุษยชนได้ดีไหม ดีนะ แต่ว่ายังดีได้อีก

ล่าสุดคือ พ.ร.บ.ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ.2558 เป็นอีกอันที่ก้าวหน้าในการห้ามเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นเพศหญิง เพศชาย หรือคนที่มีเพศวิถีแตกต่าง นี่เป็นพัฒนาการอย่างหนึ่ง แต่ก่อนเราไม่มีคำนิยามของ “การเลือกประติบัติ” ในกฎหมาย นี่นับเป็นครั้งแรกที่กฎหมายไทยรับรองว่า ‘การเลือกประติบัติ’ คืออะไร ซึ่งต่อไปเราอาจได้เห็น พ.ร.บ.การจดทะเบียนคู่ชีวิตของบุคคลที่เป็นเพศเดียวกัน ก็ได้

ใครๆก็มองว่านักกฎหมาย”หัวหมอ”?

ผมว่าน่าจะไม่ใช่ “หัวหมอ” เนื่องจากเราเรียนมา เราต้องระวังให้มากที่สุด อย่างผม เดี๋ยวนี้จะเซ็นอะไรก็ต้องอ่านให้ดี เพื่อไม่ให้ถูกเอาเปรียบมองว่านักกฎหมายก็มีทั้งคนที่เอาความรู้มาใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเองซึ่งมันทำได้ กับนักกฎหมายที่เอาความรู้ไปช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งสำหรับผม จรรยาบรรณวิชาชีพกฎหมายคือ ต้องให้บริการที่ดีที่สุดกับลูกความ ถ้าเรารับที่จะช่วยเหลือเขาแล้วก็ต้องทำให้ดีที่สุด แต่ถ้าต้องทำในสิ่งที่ขัดกับสิ่งที่เชื่อ หรือยึดถือ คงไม่ทำยังมีคนดีๆ อีกหลายคนที่ทำงานด้านนี้แล้วไม่ได้หวังผลเรื่องเงินขนาดนั้น เราสามารถทำได้ ทำวิชาชีพของเราให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ผมเลยอยากทำตรงนี้มากกว่า เพราะอยู่กับมันได้ การช่วยเหลือนั้นทำได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก

การรู้กฎหมายในสังคมไทย?

เหมือนได้เรียนกฎหมายแล้วไปออกค่าย บางครั้งก็สงสาร สมมุติเขาไปทำอะไรแล้วไม่รู้กฎหมายก็อาจจะโดนเอาเปรียบ เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็น คือ รัฐบาลต้องให้การศึกษาอะไรกับเขา

เราไม่ได้ว่าเขาไม่ดีที่ไม่รู้ เพราะเขาไม่มีโอกาส อย่างผมอยู่กรุงเทพฯก็มีโอกาสเข้าถึงการเรียน เข้าถึงรัฐบาลมากกว่าชาวบ้านต่างจังหวัด ฉะนั้น น่าจะให้ความสำคัญกับการศึกษา การศึกษาคือการพัฒนาคุณภาพคนซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องลงทุน

 

DSC_0167

The post กฎหมายเพื่อการเปลี่ยนแปลง สิทธิกร ตั้งศิริ เจ้าของรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ appeared first on มติชนออนไลน์.

Viewing all 6405 articles
Browse latest View live