Quantcast
Channel: ประชาชื่น –มติชนออนไลน์
Viewing all 6405 articles
Browse latest View live

จุฬาฯสู่ปีที่100

$
0
0

คนเราหากอายุเกินร้อยถือเป็นเรื่องมงคล

บริษัทที่อายุครบ 100 ปี แสดงถึงความยั่งยืนมั่นคง…น่าชื่นชม

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้จัดงาน 99 ปี คืนเหย้า…ก้าวสู่ 100 ปี จุฬาฯ

ฟังแล้วรู้สึกอิ่มเอิบใจ…จุฬาฯมีอายุเกือบร้อยปีแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2460 ที่ผ่านโน้น ถือเป็นวันสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้ง ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 6 ทรงสานต่อ กลายเป็นสถาบันที่ผลิตบัณฑิตออกไปรับใช้สังคมมาจวบจนปัจจุบัน

ตลอด 99 ปีที่ผ่านมา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยสั่งสมประสบการณ์เอาไว้มาก

ในโอกาสที่จะก้าวสู่ปีที่ 100 ที่จะมาถึงในวันที่ 26 มีนาคม 2560 ทั้งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสมาคมนิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระราชูปถัมภ์ จึงจัดกิจกรรมตลอด 12 เดือนเพื่อเฉลิมฉลอง

กำหนดการคิกออฟไปเมื่อวันครบ 99 ปี วันเสาร์ที่ 26 มีนาคมที่่ผ่านมา

กิจกรรมที่แลเห็นมาแล้ว คือการสร้างสรรค์โปรแกรมกราฟิก จัดทำเป็นแอพพลิเคชั่น “CenIVP” ใน “มุมมองจุฬาฯ 360 องศา” เพื่อนำนิสิตเก่ากลับบ้าน

กลับบ้านผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ตที่อยู่ในมือ

ต่อไปนี้ นิสิตเก่าและปัจจุบัน เพียงคลิกเข้าไปในเว็บไซต์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสมาคมนิสิตเก่าฯ

คลิกเข้าไปแล้วจะเห็นจุฬาฯในหลากมุม ทั้งมุมสูง แนวราบ หรือจะเจาะจงแวะเวียนไปยังคณะต่างๆ ก็ได้

วันที่พบกับ นายเทวินทร์ วงศ์วานิช นายกสมาคมนิสิตเก่าจุฬาฯ มีโอกาสได้เห็นตัวอย่าง เห็นภาพที่ปรากฏคมชัด และยังมีประวัติให้อ่านคร่าวๆ

ชวนให้ระลึกถึง…พระคุณของแหล่งเรียนมา…

และนับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมปีนี้เป็นต้นไป กิจกรรมมากมายจะทยอยออกสู่สายตาสาธารณะผ่านคณะต่างๆ ทั้ง 22 คณะของจุฬาฯ

ทั้งนี้ นายเทวินทร์ และกรรมการสมาคมได้เตรียมงานมาก่อนหน้าแรมปี

มีการประชุมหารือ และประสานงานกันอย่างกว้างขวาง กระทั่งได้ไอเดียประกอบกิจกรรมตลอดระยะเวลา 12 เดือน

แต่ละกิจกรรมน่าสนใจ แต่ที่เป็นโปรเจ็กต์ยักษ์ใหญ่เพื่อสังคม น่าจะเป็นการสร้าง “ปอดกลางเมือง”

สร้างอุทยานจุฬาฯ 100 ปี !

สร้างขึ้นในพื้นที่ของจุฬาฯตั้งแต่ถนนบรรทัดทองถึงจุฬา ซอย 9 โดยเนรมิตพื้นที่ดังกล่าวให้กลายเป็นพื้นที่สีเขียว

ปลูกต้นไม้ ปลูกจิตสำนึก ปลูกความรู้-รักษ์ในธรรมชาติ

โปรเจ็กต์นี้ทำสำเร็จเมื่อไหร่ชุมชนบริเวณรอบข้างรวมทั้งคนเมืองกรุงคงได้อานิสงส์ไปเยอะ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสดงผลงานความสำเร็จของจุฬาฯตลอด 99 ปี เป็นผลงานทั้งที่รวบรวมเป็นหนังสือ และที่เป็นถ่ายทอดออกมาในรูปแบบรายการโทรทัศน์

ทั้งนำเสนอผลิตผลนวัตกรรมที่เคยทำมาแล้ว และวางแนวการปฏิรูปต่อไปอีก 100 ปี

กิจกรรมที่นายเทวินทร์เปิดเผยมี อาทิ โครงการจัดทำหนังสือ เริ่มตั้งแต่หนังสือ “พระบรมวงศานุวงศ์กับจุฬาฯ”

หนังสือชุดพัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน

หนังสือ 100 เรื่อง 100 ปีจุฬาฯ หนังสือจุฬาฯสู่อนาคต

หนังสือ ปฐมศตวรรษ สถาปัตยกรรม เล่ม 1 2 และ 3

โดยจะมีนิทรรศการงานสถาปัตย์ และตั้งโต๊ะเสวนาศิลปินแห่งชาติ

นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมดนตรี CU Band ที่จะจัดคอนเสิร์ตรวมพลังศิลปินนักร้องนักดนตรีจุฬาฯ บริเวณพื้นที่กลางแจ้ง

มีการแสดง CU Orchestra CU-Chorus กับกิจกรรมแสง สี เสียง บอกเล่าประวัติจุฬาฯ ณ เทวาลัย

พร้อมบอกกล่าวเรื่องราวเกร็ดต่างๆ ที่เป็นตำนานของจุฬาฯผ่านทางมิวสิคัล

ส่วนรายการต่อเนื่องตลอด 1 ปี เห็นจะเป็นรายการ “100 ปีเกียรติภูมิจุฬา” ซึ่งบันทึกคุณความดีของนิสิตเก่า แล้วนำไปออกอากาศทางทีวีดิจิตอลและโซเชียล มีเดีย

เท่านั้นยังไม่พอยังมีโครงการบ่มเพาะที่เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า Chula Start Up Fund

เป็นการนำเอางานวิจัยเจ๋งๆ นวัตกรรมใหม่สดมาปฏิบัติ ก่อให้เกิดเป็นรูปธรรม

ส่วนจะเป็นรูปธรรมแบบไหน อย่างไร คงต้องติดตามชมกันต่อไป

ชมไปพร้อมๆ กับกิจกรรมอื่นๆ ที่มีอีกมาก

ทั้งหมดนี้ เฉลี่ยแล้ว 1 เดือน จะจัดขึ้น 2 กิจกรรม ส่วนกิจกรรมใดจะจัดวันวอเวลาไหน คงต้องรอรายละเอียด

นายเทวินทร์บอกว่า กิจกรรมทั้งหลายมีมาก ทุกกิจกรรมจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ จึงขอถือโอกาสที่จุฬาฯกำลังย่างก้าวสู่ปีที่ 100

ขอให้ชาวจุฬาฯร่วมใจ เอื้อมมือมาช่วยกัน ทำกิจกรรมในโอกาสมงคล เพื่อความเป็นมงคลของตัวเอง ผู้อื่น และประเทศชาติ

ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ผลักดันกิจกรรมอันเป็นประโยชน์ที่จะดำเนินการอย่างต่อเนื่องไปตลอด 12 เดือนให้ประสบผล

เฉลิมฉลองการครบรอบศตวรรษ…

ฉลอง 100 ปีแห่งการสถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยร่วมกัน

The post จุฬาฯสู่ปีที่100 appeared first on มติชนออนไลน์.


วันเกิดเศรษฐีกับตะเกียงชาวนา

$
0
0

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แชมป์เศรษฐีหุ้นเมืองไทย “หมอเสริฐ” นายแพทย์ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ เจ้าของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ จัดงานทำบุญวันคล้ายวันเกิด มีพิธีถวายภัตตาหารเช้า พระสงฆ์ 100 รูป ที่ จ.สุโขทัย

ก่อนหน้าวันคล้ายวันเกิดหนึ่งวัน “หมอเสริฐ” จัดพิธีเปิดโพธิธาตุเจดีย์ ที่สร้างในบริเวณอาณาจักรปราสาททองโอสถที่ สนามบินสุโขทัย

พิธีเปิดมีขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา และพระอรหันตธาตุขึ้นสู่เจดีย์ พิธีดังกล่าวมีพระผู้ใหญ่ที่ประชาชนนับถือ พระมงคลธรรมญาณ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร) และพระมหาเถระผู้ใหญ่จากเมียนมา เข้าร่วมพิธี

ใครมีโอกาสได้ไปแวะเวียนที่สนามบินสุโขทัย บ้างอาจเคยได้แวะเที่ยวสวนสัตว์ ในบริเวณสนามบิน และหลายคนอาจเคยเห็นว่ามีสิ่งปลูกสร้างในเชิงดึงดูดสายตา บ้างรู้ บ้างไม่รู้

“หมอเสริฐ” นั้น สร้างพิพิธภัณฑ์เชิงประวัติศาสตร์ ที่ให้ความรู้ผ่านข้าวของเครื่องใช้ และศิลปะ ของประดับตกแต่งทั้งของประวัติศาสตร์ไทย และจีน รวมทั้งยังมีธรรมสถาน ไทยและจีน อยู่ในบริเวณสนามบินสุโขทัย

ล่าสุดสร้างพิพิธภัณฑ์ฟอสซิลไดโนเสาร์และสัตว์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งภายในให้ความรู้เกี่ยวกับสัตว์โลกดึกดำบรรพ์ โดยมีการโชว์ฟอสซิลบางส่วนไว้

หลายคนทราบข่าว และสนใจเข้าชม แต่คุณหมอไม่ได้เปิดชมในทางสาธารณะ หน่วยงานหรือคณะใดสนใจต้องทำหนังสือขอเข้าชม โดยพิจารณาเป็นรายๆ ไป

คุณหมอบอกสาเหตุที่ไม่เปิดให้ชมทั่วไปว่า มักเจอคำถามประเภท ได้มาอย่างไร ขนมาอย่างไร ราคาเท่าไหร่ ที่จริงอยากเน้นให้พูดคุยสอบถามกันที่เรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากกว่า

พูดจบ กระจอกข่าวถามห้วงวัย “หมอเสริฐ” บอกอารมณ์ดี ครบ 82 เข้าสู่วัย 83 ปี

สำหรับบรรยากาศการจัดงานวันคล้ายวันเกิดสบายๆ มีเครือญาติ เพื่อนฝูง คนใกล้ชิด พนักงานในเครือพร้อมเพรียง

งานเลี้ยงมีวงมโหรรีเต็มวงบรรเลงคลอ ขณะที่วงสตริงด้านนอกจัดเป็นเวทีย่อมๆ

งานนี้ “หมอเสริฐ” ควงลูกชาย กัปตันเต๋ พุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการบินบางกอกแอร์เวย์สครวญเพลง “พรานล่าเนื้อ” โชว์ลูกคอ รวมทั้งแขกอื่นๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนขึ้นไปร้องเพลง

บรรยากาศครึกครื้น ขับร้องเพลงกันพอหอมปากหอมคอ ก่อนจะมีการเบิร์ธเดย์ด้วยเค้กชิ้นใหญ่ ที่หน้าเค้กเป็นรูป “โพธิธาตุเจดีย์”

ช่วงท้ายงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดเข้าสู่ปีที่ 83 “หมอเสริฐ” มอบของที่ระลึกให้แขกในงานเป็นไฟฉายในแบบ “ตะเกียงชาวนา” ที่ประยุกต์ให้ทันสมัยขึ้น

หมอเสริฐเล่าสรรพคุณชนิดเห็นภาพว่า ถือตะเกียงไฟนี้เหมือนชาวนาออกไปถ่ายหนัก ถ่ายเบากลางทุ่งมืดๆ ช่วงเดินไปเปิดไฟตะเกียงจ้า พอช่วงปลดทุกข์หรี่ไฟลงสักนิด พอเดินกลับเร่งไฟตะเกียงให้สว่างขึ้น

พูดพลางถือตะเกียงไฟฉาย สาธิตกดปุ่มหรี่ไฟสว่างมาก สว่างน้อยประกอบการเล่า

เจ้าตัวอธิบายตบท้าย “มันไม่แพงหรอก…แต่มีประโยชน์นะ”

The post วันเกิดเศรษฐีกับตะเกียงชาวนา appeared first on มติชนออนไลน์.

พูดตรงกับไม่พูด อะไรจะดีต่อคู่รักใหม่มากกว่ากัน

$
0
0

คุณสุภาพสตรีวัยสาวท่านหนึ่งแวะมารักษาหลายปีแล้วค่ะ แรกเริ่มที่รักษาคือหลังจากแต่งงานกับสามีใหม่ๆ เธอเครียดเนื่องจากญาติฝั่งสามีไม่ชอบเธอนักเพราะคิดว่าเธออาศัยจังหวะที่ภรรยาเก่าของสามีเสียชีวิตเข้ามาตีสนิทด้วยและคงหวังเงินทอง ที่ญาติๆ คิดแบบนี้เพราะอายุของเธอห่างจากสามีเกือบสามสิบปีและตอนนั้นเธอไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ เธอเครียดจนนอนไม่หลับและไประเบิดอารมณ์ใส่ญาติสามีหลายครั้ง ต่อมาเริ่มรู้สึกซึมเศร้าท้อแท้ หลังได้ยารักษาก็ดีขึ้นมากค่ะ ผ่านไปหลายปีบุคลิกเธอก็ยังไม่เปลี่ยน เจอหน้าญาติสามีทีไรเป็นต้องเหวี่ยงวีนใส่จนช่วงหลังสามีก็เริ่มไม่พอใจพฤติกรรมก้าวร้าวของเธอด้วย

“เมื่อก่อนหนูพูดอะไรแฟนหนูเขาก็ไม่เคยว่า แล้วทำไมตอนนี้เพิ่งมาว่า หนูก็เป็นของหนูเหมือนเดิม หรือว่าถ้าหนูไม่พอใจก็ควรเก็บๆ ไว้ไม่ต้องพูดใช่ไหมคะ แต่ถ้าไม่พูดแล้วหนูหงิดหงิด พอเจอหน้าแฟนมันก็อึดอัดพาลให้โมโหทุกทีเพราะเขาก็ว่าแต่หนูไม่เห็นไปว่าญาติเขาบ้าง”

คำถามของเธอมีเหตุผลเลยทีเดียวค่ะ เวลามีเรื่องไม่พอใจเกิดขึ้นกับคู่ครอง เราควรพูดตรงๆ หรือเก็บไว้บ้างเพื่อให้ความสัมพันธ์ยังดีอยู่ และที่จริงเราควรคาดหวังกับคู่ครองมากน้อยแค่ไหนอย่างเช่นที่คาดหวังให้ไปเคลียร์กับญาติตัวเองบ้าง งานวิจัยเก่าๆ ยังมีข้อถกเถียงอยู่เหมือนกันค่ะ ทางหนึ่งบอกว่าถ้าเราตั้งมาตรฐานชีวิตคู่สูงแต่อีกฝ่ายทำไม่ได้อาจนำมาซึ่งความผิดหวังและทำให้ความสัมพันธ์แย่ลงกว่าคู่ที่ตั้งมาตรฐานไม่สูงมาก แต่งานวิจัยอีกทางหนึ่งกลับบอกว่าการตั้งมาตรฐานชีวิตคู่ไว้สูงมีข้อดีคือช่วยให้อีกฝ่ายรู้และอยากปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์แนบแน่นยิ่งขึ้น ผลออกมาต่างกันแบบนี้แสดงว่ามีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงานมากกว่าการตั้งมาตรฐานแน่ๆ ค่ะ เราได้ยินบ่อยๆ ในโทรทัศน์คือคนในครอบครัวต้อง “สื่อสาร” กัน แต่สื่อสารที่ว่าคืออะไรกันแน่

“Love Rerun” การ์ตูนสะท้อนชีวิตคู่แต่งงานใหม่ของอามาซาวะ อากินำเสนอชีวิตคู่รักได้อย่างน่าสนใจเชียวค่ะ ตอนที่ 5 ซึ่งเพิ่งออกมาว่าด้วยการสื่อสารพอดี “ซายากะ” สาวออฟฟิสวัย 30 ปี ที่ไม่เคยเสียพรหมจรรย์ให้ใครฟื้นขึ้นมาในห้องเพื่อร่วมงาน “มาจิดะ” และพบว่าความทรงจำของเธอหายไปช่วงหนึ่ง เธอจำไม่ได้ว่าตกลงเป็นแฟนและมาอาศัยอยู่กับมาจิดะตั้งแต่เมื่อไร จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเคยรักกับมาจิดะ วิบากกรรมล่าสุดคือซายากะเห็นภาพผู้ชายเปลือยท่อนบนผุดขึ้นมา เธอไม่เห็นหน้าผู้ชายคนนั้นและไม่กล้าถามมาจิดะว่าทั้งสองเคยมีความสัมพันธ์กันหรือเปล่า สมมุติฐานเดียวคือเธออาจจะนอกใจมาจิดะแล้วมีความสัมพันธ์กับผู้ชายอื่น เวลานั้นเองเด็กหนุ่มท่าทางเพลย์บอกก็เข้ามาทักและบอกว่าเขากับซายากะเคยมีความสัมพันธ์กัน หลังสติแตกอยู่หลายวันมาจิดะจึงเพิ่งทราบเรื่องค่ะ มาจิดะ “สื่อสาร” ให้ซายากะเข้าใจว่าเธอไม่ใช่คนที่จะนอกใจใครง่ายๆ เขาเชื่อใจเธอและขอให้เธอเชื่อใจตัวเองด้วย ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นคงเป็นพวกหลอกเอาเงินจากผู้หญิงมากกว่า

การ “สื่อสาร” ที่มาจิดะทำคือ “การสื่อสารโดยตรง” (direct) ค่ะ หมายถึงการพูดถึงปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ข้อดีคือคุยรู้เรื่องแต่ข้อเสียคือบางครั้งก็ตรงจนทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย ส่วนสิ่งที่ซายากะทำคือ “การสื่อสารโดยอ้อม” (indirect) ด้วยการแสดงท่าทีอึดอัดและไม่ถามออกไปตรงๆ ถ้าการสื่อสารนี้มีเนื้อหาเป็นการคุกคามอีกฝ่ายหรือไม่เป็นมิตรด้วยก็ยิ่งต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมค่ะ ไม่ใช่จะไม่ดีเสมอไปนะคะ ที่มาจิดะต่อว่าซายากะตรงๆ เพราะเชื่อคนง่ายเกินไปก็ถือเป็นการสื่อสารโดยตรงแบบไม่เป็นมิตรเหมือนกัน แต่เราจะพบว่าผลออกมาดีกว่าแบบอ้อมด้วยการไม่พูดซึ่งทำให้ปัญหาไม่ได้รับการคลี่คลายเสียที

ดร.เจมส์ แมคนัลตี้ แห่งมหาวิทยาลัยรัฐฟลอริดา ตีพิมพ์ผลการวิจัยเรื่องการสื่อสารของคู่สมรสใหม่ว่าบางอย่างมีผลต่อความสัมพันธ์ในระยะยาว เขาเก็บข้อมูลคู่แต่งงานใหม่ 135 คู่ ในรัฐเทนเนสซี่แล้วเชิญมาสัมภาษณ์และทำแบบสอบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจในชีวิตสมรสรวมถึงความคาดหวังที่มีต่อชีวิตคู่ทุก 6 เดือนเป็นเวลา 4 ปี ผลการศึกษาพบว่าต่อให้เป็นการสื่อสารที่ไม่เป็นมิตร (hostility) ถ้าใช้ถูกวิธีก็มีประโยชน์ค่ะ เช่นเดียวกับการตั้งมาตรฐานให้คู่สมรสเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ ต่อให้ตั้งไว้สูงแต่ถ้าใช้ถูกวิธีก็มีประโยชน์เช่นกัน

การศึกษาพบว่าถ้าคู่รักใหม่ตั้งมาตรฐานกับอีกฝ่ายไว้สูง หากชีวิตสมรสมีปัญหาความสัมพันธ์น้อยหรือไม่ค่อยมีการสื่อสารที่ไม่เป็นมิตรโดยอ้อม (indirect hostility) คนเหล่านี้จะรู้สึกพึงพอใจในชีวิตสมรสมากกว่าเมื่อเวลาผ่านไป การสื่อสารที่ไม่เป็นมิตรโดยอ้อม ได้แก่ ความดื้อดึง การผัดวันประกันพรุ่ง และพฤติกรรมบึ้งตึงในระหว่างที่การสื่อสารที่ไม่เป็นมิตรโดยตรง ได้แก่ การพูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา ส่วนคู่รักใหม่ที่ตั้งมาตรฐานกับอีกฝ่ายไม่สูงมาก ถ้าความสัมพันธ์ย่ำแย่อยู่แล้วหรือมีการสื่อสารที่ไม่เป็นมิตรโดยอ้อมเยอะ ความพึงพอใจในชีวิตสมรสจะน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปค่ะ ผลวิจัยนี้ยืนยันว่าถ้ารักกันใหม่ๆ การพูดตรงๆ จะได้ผลดีกว่าการดื้อเงียบหรือบึ้งตึงใส่กันเพราะการใช้ชีวิตร่วมกันใหม่ๆ ยังมีหลายสิ่งที่ต้องปรับตัวเข้าหากันอยู่นั่นเอง

สำหรับคู่แต่งงานใหม่อาจจะเริ่มต้นมองว่าความสัมพันธ์ขณะนี้ยังดีอยู่หรือไม่ค่ะ ถ้ายังดีอยู่ก็ควรสื่อสารโดยอ้อมให้น้อยที่สุดและสามารถตั้งมาตรฐานคาดหวังอีกฝ่ายให้ดีขึ้นกว่านี้ได้เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น แต่ถ้าความสัมพันธ์ตอนนี้ก็ไม่ดีอยู่แล้ว การไม่คาดหวังอีกฝ่ายหรือสื่อสารโดยอ้อมด้วยการดื้อดึงบึ้งตึงกลับจะยิ่งทำให้ชีวิตคู่ไม่มีความสุขขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปค่ะ

 

The post พูดตรงกับไม่พูด อะไรจะดีต่อคู่รักใหม่มากกว่ากัน appeared first on มติชนออนไลน์.

อินทรีคืนฟ้า

$
0
0

“นกอินทรีทุ่งหญ้าสเต็ป” (Steppe Eagle) เป็นนกอินทรีแท้ขนาดใหญ่ในสกุล Aquila ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ระดับโลก ในบ้านเรา พบว่าอพยพเข้ามาอาศัยในฤดูหนาว นกอินทรีจะอาศัยอยู่ในทุ่งนา ล่าหนูนา หนูพุกหรือหนูแผงกินเป็นอาหารหลัก

แต่ละปีจากการสำรวจของกลุ่มศึกษาเหยี่ยวและนกอินทรี พบนกอินทรีทุ่งหญ้าสเต็ปจำนวนน้อย ประมาณไม่เกิน 20 ตัว จึงเป็นนกอินทรีแท้ขนาดใหญ่ที่พบเห็นยากที่สุดใน 3 ชนิด เมื่อเทียบกับนกอินทรีหัวไหล่ขาว และนกอินทรีปีกลาย ซึ่งปีกยาวกว่า 2 เมตร

ในบ้านเรา นอกจากภัยคุกคามต่อนกอินทรีในถิ่นผสมพันธุ์จากการถูกไฟฟ้าชอร์ต ต้นไม้สำหรับทำรังวางไข่ลดลงแล้ว ยังถูกดักจับไปขายในตลาดค้าสัตว์ป่าอย่างผิดกฎหมายจากคนบางคนที่รักนกนักล่าอย่างเห็นแก่ตัวอีกด้วย ยังคงมีภาพเผยแพร่สื่อเฟซบุ๊ก คนจับนกอินทรีมาประกาศขายในอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายสัตว์ป่าคุ้มครอง และยังทรมานสัตว์ป่า แทนที่จะปล่อยให้นกอินทรีทำหน้าที่นักล่าในระบบนิเวศอย่างอิสระเสรีตามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์มา

วันที่ 17 ธันวาคม 2558 มีนกอินทรีทุ่งหญ้าสเต็ป วัยเด็ก 1 ตัว หมดแรงบินชนตึกที่ตำบลบางปู จังหวัดสมุทรปราการ โชคดีของนกนักล่าขนาดใหญ่ตัวนี้ที่พบกับคนใจบุญ รักนกอย่างแท้จริง แจ้งข่าวไปที่เทศบาลตำบลบางปู รับตัวนกอินทรีมาส่งรักษาฟื้นฟูที่หน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อเพื่อปล่อยคืนธรรมชาติ โรงพยาบาลสัตว์ คณะสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ นกอินทรีได้รหัสประจำตัว “KU299” และตั้งชื่อว่า “”บางปู”” ตามสถานที่พบ สวมห่วงขาขวาติดตามตัวของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช หมายเลข 17A00020

อินทรี02

เมื่อสัตวแพทย์ของหน่วยฟื้นฟูนกล่าเหยื่อฯ ตรวจร่างกายของเจ้าบางปูแล้ว พบว่าขาดอาหาร และโลหิตจาง ซึ่งเป็นโรคที่พบบ่อยในนกวัยเด็ก จึงต้องฟื้นฟูสุขภาพกันด้วยอาหารอันโอชะของนกอินทรี เป็นหนูสวนปาล์ม ซึ่งหน่วยฟื้นฟูฯ ได้รับอนุเคราะห์มาจากบริษัทปาล์มน้ำมันในภาคใต้ ซึ่งเป็นอาหารเลียนแบบธรรมชาติของนกอินทรี

ดูแลฟื้นฟูกันเดือนกว่าๆ เมื่อตรวจเลือดของบางปูอีกครั้ง พบว่าอาการโลหิตจางหายไป ปริมาณเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นมาอยู่ในเกณฑ์ปกติแล้ว อีกทั้งบินคล่องแคล่วในกรงฝึกบินสูง 6 เมตร จึงถึงเวลาที่บางปูจะต้องกลับไปสู้ชีวิตด้วยตนเองอีกครั้ง หลังจากได้รับโอกาสที่สองจากมนุษย์ที่รักสัตว์ป่าอย่างแท้จริง

บางปูกลับคืนสู่ธรรมชาติที่ทุ่งนาบ้านใหม่ อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งเป็นถิ่นอาศัยในฤดูหนาวที่สำคัญที่สุดของนกอินทรีแท้ในประเทศไทย พบนกอินทรี 3 ชนิด มากกว่า 40 ตัว เนื่องจากความชุกชุมของหนูนา และวิถีการทำนาแบบดั้งเดิมของชาวนาเมืองเพชร ที่มีระยะการตากฟางข้าว เกี่ยวและไถทำนาใหม่สลับกันไป เอื้อต่อการล่าหนูนาของนกอินทรี

วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559 อันเป็นวันแห่งความรักตามคติฝรั่ง บางปูโผออกจากกล่องเคลื่อนย้าย บินขึ้นสู่ฟ้าอย่างสง่างาม สมฐานะพญาอินทรีแท้ขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย สมใจนักดูนกและชาวบ้านที่เดินทางไปร่วมเป็นพยานในการปล่อยและเชียร์ first flight การบินสู่อิสรภาพครั้งแรกอีกครั้งของบางปูหลังจากบาดเจ็บเมื่อเดือนธันวาคม

นับเป็นตัวอย่างของความรักที่แท้ของมนุษย์ต่อสัตว์ป่า คือ รักอย่างไม่ครอบครอง ปล่อยให้สิ่งที่เรารักดำรงชีวิตอย่างอิสระเสรี ไม่ใช่ในกรงหรือถูกจองจำเพียงเพราะอยากเลี้ยง..รักษ์สัตว์ป่าอย่าซื้อมาเลี้ยงครับ.

ข้อมูลเพิ่มเติม : www.BirdsofThailand.org/node/163

The post อินทรีคืนฟ้า appeared first on มติชนออนไลน์.

ชีวิต”ทำให้ยาก”เอง

$
0
0

ภารกิจของคนเราแท้จริงแล้วไม่มีอะไรยุ่งยาก แค่ “ทำในเรื่องที่ควรทำ ไม่ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ” เท่านั้น

ที่บอกว่าไม่มีอะไรยุ่งยาก เพราะเอาเข้าจริงแล้วการวินิจฉัยตัดสินว่า “อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ” เป็นเรื่องง่ายมาก

เมื่อมีเรื่องราวให้ต้องตัดสินใจ คนส่วนใหญ่จะรู้ใน “วูบแรกของความคิด” ว่า จะทำอย่างไรกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น

น้อยคนนักที่จะไม่รู้

ทว่าในความเป็นจริงกลับกลายเป็นว่า “คนส่วนใหญ่มักทำเรื่องที่ไม่ควรทำ และไม่ทำเรื่องที่ควรทำ”

เพราะความเป็นจริงแบบนี้เองที่ทำให้ชีวิตของคนเรานั้น มีส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จ คนส่วนมากมักไปไม่ถึงฝัน เพราะ “ทำเรื่องที่ไม่ควรทำ ไม่ทำเรื่องที่ควรทำ” นี่แหละ

ไม่ใช่ไม่รู้ รู้ทั้งรู้แต่ไม่ทำ

แต่ว่าไปแล้วก็ไม่แปลก เพราะเอาเข้าจริงมีสักกี่คนกันที่สามารถบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ควรทำได้ ส่วนใหญ่ทำไปตามแรงกระตุ้นที่บางครั้งไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำว่าทำไปได้อย่างไร แรงกระตุ้นนั้นมาจากไหน

ยกตัวอย่างเรื่องง่ายที่สุด มีพ่อหรือแม่ของคนรู้จักเสียชีวิต

ความคิดแวบแรกคือ “ควรไปงานสวดหรือเผา” มีเหตุผลมากมายที่จะทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีจากการไม่ละเลยความเศร้าโศกของคนที่รู้จักกัน

แต่ที่สุดแล้ว “ไม่ไป”

การตัดสินใจไม่ไปนี้ อาจจะเริ่มจากเกิดความรู้สึกว่า มันยุ่งยากที่จะไป วัดที่สวดไกล เดินทางลำบาก หาที่จอดรถยาก หรืออะไรสักอย่างที่ทำให้เกิด “ท้อแท้”

เมื่อเกิดความคิดเช่นนั้นแล้ว ความคิดอื่นๆ ก็ตามมา อย่างไม่ได้สนิทกันมาก ไม่มีเราเขาก็สวดได้ เผาได้ มีคนอื่นอีกมากมายที่ไม่ไป

หรืออาจจะหาข้ออ้างว่า เขาคงเข้าใจว่าเราลำบากที่จะไป หรืออะไรทำนองนั้น

ที่สุดแล้วลืมเหตุผลแรกไปเลยว่า แท้ที่จริงแล้วเกิดจากความ “ขี้เกียจที่จะฟันฝ่าอุปสรรคของเราเอง”

เมื่อมีเหตุหนึ่งที่มาเป็นข้ออ้างให้ “ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ” เหตุผลอื่นๆ ที่นำไปสู่การตัดสินใจในทางเดียวกันจะตามมาเป็นแถว

“ความขี้เกียจ ความท้อถอยต่ออุปสรรค” ที่เป็นต้นทางของการตัดสินใจ ถูกพิทักษ์รักษาไว้ในใจของเราด้วยเหตุผลที่ตามมาทั้งหลายแหล่เหล่านี้

และ “ความขี้เกียจและความท้อแท้ ท้อถอย” จะพัฒนาตัวเองเป็นนิสัย

ทุกครั้งที่จะต้องตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง “นิสัย” จะมีบทบาทสูงที่จะมากำหนดความคิด

ด้วยเหตุนี้เอง คนเราแม้จะรู้ได้ในทันทีว่า “อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ” แต่มัก “ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ”

เพราะคนส่วนใหญ่นั้น มักไม่ได้ทำอะไรด้วยความคิด แต่ทำเพราะ “นิสัย” กำหนดให้เป็นไป

อย่างไรก็ตาม คนเราใช่ว่าจะมี “นิสัยไม่ดี” ไปเสียหมด ไม่น้อยที่มี “นิสัยดี”

ความแตกต่างของคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ไปไม่ถึงไหน หรือล้มเหลวอยู่ตรงนี้

ตรง “นิสัย” ที่เป็นปัจจัยส่งเสริม หรือ “นิสัย” ที่เป็นอุปสรรคของการไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง

อย่างไรก็ตาม ชีวิตคนเราบางทีอาจจะไม่ต้องยุ่งยากกับการต้องสร้างนิสัยอะไรกันมากมาย เพราะเอาเข้าจริงแล้วไม่ว่าจะนิสัยดีหรือไม่ดี ย่อมรู้อยู่แก่ใจในแวบแรกของความคิดแล้วว่า “อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ”

ถ้าใช้ชีวิตเรียบง่าย “ทำในสิ่งที่ควรทำ” เสีย

อย่าไปเที่ยวเอาอะไรต่ออะไรมากำหนดความคิดให้ยุ่งยาก จนเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจไปไกลเกินกว่าจะเป็นไปอย่างเรียบง่าย

ชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรนัก

The post ชีวิต”ทำให้ยาก”เอง appeared first on มติชนออนไลน์.

หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (6)

$
0
0

ได้กล่าวมาในตอนต้นแล้วว่า จีนไปได้เรื่องหนุมานมาจากอินเดียเมื่อครั้งพระถังซำจั๋งไปสืบพระศาสนา ได้เชิญพระไตรปิฎกไปจากอินเดีย นอกจากแปลพระไตรปิฎกแล้วก็คงได้อ่านเรื่องรามายณะด้วย และคนจีนสมัยดึกดำบรรพ์ก็มีความเชื่อว่าลิงสามารถป้องกันภูตผีปีศาจได้ ผู้ที่เจ็บป่วยหรือประสงค์จะให้สำเร็จการศึกษาหรือการค้าก็จะบูชาลิง เรื่องลิงของจีนคุณจรัสศรี จิรภาส ได้เขียนเป็นวิทยานิพนธ์ไว้ในเรื่อง “เห้งเจีย” เป็นการรวบรวมเรื่องลิงจีนที่สมบูรณ์ที่สุดในปัจจุบัน ส่วนญี่ปุ่นนั้นก็ว่าได้รับความเชื่อไปจากจีนอีกต่อหนึ่ง

ส่วนคนไทยจะรู้จักลิงมาแต่ครั้งใดไม่พบหลักฐาน มาปรากฏเรื่องขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อมีผู้ขุดพบโลหะรูปวานร (หนุมาน) สมัยทวารวดีที่นครปฐม ต่อมามีการขุดค้นทางโบราณคดีที่บริเวณเขาหลวง บ้านวังหาด ตำบลตลิ่งชัน อำเภอด่านลานหอย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งเข้าใจกันว่าจะเคยเป็นชุมชนถลุงเหล็กเมื่อประมาณ 2500 ปี มาแล้ว (อ่านรายละเอียดได้จากหนังสือ “ศิลปวัฒนธรรม” ปีที่ 24 ฉบับที่ 9 เดือนกรกฎาคม 2546) สิ่งสำคัญที่ขุดพบก็คือ แผ่นโลหะรูปหน้าลิง มีที่สำหรับร้อยสายใช้คล้องคอ จึงเข้าใจว่าในครั้งกระโน้นจะนับถือรูปลิงเป็นเครื่องรางกันมาแล้ว

เมื่อครั้งสงครามโลก ไทยมีนาฏศิลป์เพิ่มขึ้นอย่างหนึ่งเรียกว่า “โขนสด” คือไม่มีคนพากย์ คนแสดงร้องเอกและร้องแบบหนังตะลุงคือ ขึ้นต้นว่า “อ่อ ออ เอิง เงย” เช่น หนุมานออกตัวก็จะร้องว่า “อ่อ ออ เอิง เงย หนุมานชาญสมร กระบี่วานรพักผ่อนกายา”

“กระบี่” นั้นมาจากบาลีว่า “กปิ” แปลว่าลิง แต่วานรนั้น G.E.Gerini (พระสารสาสน์พลขันธ์) อธิบายว่า

“คำว่า ชาติวานร” ก็ไม่ควรเข้าใจว่าเป็นชาติวานรคือลิง สัตว์เดรัจฉานแท้ๆ คือเป็นแต่คำพวกชาวอินเดียเรียกชาวป่าอย่างหนึ่งว่าชาติวานร…นักปราชญ์ผู้ รู้ภาษาสันสกฤตก็อธิบายว่า “วานร” คำนั้นแปลได้สองอย่าง คือชาว “วน” หรือชาวป่าอย่างหนึ่ง “วา” แปลว่าเหมือนกับ “นะระ” แปลว่า คน รวมความแปลว่า เหมือนคนหรือชาติคล้ายคน คืออธิบายว่าเป็นมนุษย์ชาติชาวป่า ที่สมมุติเรียกเปรียบกันมาแต่ก่อนว่า พวกชาติวานรดังนั้นแท้ๆ”

ข้อความข้างต้น ย.อ.ย. (G.E.G) ได้เขียนไว้ในเรื่อง “พงศาวดารการศึกษาสงครามของพระรามาวตาร” ตีพิมพ์ในเหนังสือ “ยุทธโกษ” ร.ศ.115 และความเห็นนี้ก็คล้ายกับผู้สนใจเรื่องหนุมานคนอื่นๆ แต่การอธิบายความหมายจะผิดกันบ้างเล็กน้อย คือบางท่านเข้าใจว่า “”วานร”” มาจาก “วน” (vana) คือป่า หมายเอาเป็นคนป่าเลยทีเดียว ยกมากล่าวเพื่อให้ทราบความคิดของนักปราชญ์แต่ก่อนเท่านั้น

The post หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (6) appeared first on มติชนออนไลน์.

หลากมุมมองถึง ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ชีวิตและผลงาน ปัญญาชนแห่ง’ยุคสมัย’

$
0
0

วันที่ 5 พฤษภาคมนี้ เป็นวันครบรอบการจากไปครบ 50 ปีของ จิตร ภูมิศักดิ์ นักคิด นักเขียน ปัญญาชน และนักปฏิวัติชาวไทย

ผลงานที่เขาทิ้งไว้เป็นมรดกให้เราได้ศึกษา มีทั้งความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ, โฉมหน้าศักดินาไทย, อดีต ปัจจุบันและอนาคตสตรีไทย หรือกระทั่งตำนานนครวัด ฯลฯ ที่ยังคงทันสมัยและให้แง่คิดกับสังคมแม้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นมากว่าครึ่งศตวรรษ

ในโอกาสนี้ ศ.พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ ประธานมูลนิธิจิตร ภูมิศักดิ์ ในฐานะผู้ดูแลวิชา มธ.111 ประเทศไทยในมิติทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรม โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) จึงร่วมกับมูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานเสวนา เรื่อง “จิตร ภูมิศักดิ์: ไทยสยาม ขอมเขมร กัมพูชา และอังกอร์” ที่ห้องริมน้ำ มธ.ท่าพระจันทร์ เมื่อวันศุกร์ที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา

‘จิตร ภูมิศักดิ์’

2 ประเด็นกัดไม่ปล่อย

สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ
สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ

เพื่อฉายให้เห็นภาพของชายชื่อ “จิตร ภูมิศักดิ์” เริ่มต้นด้วยการบรรยายของ สุธาชัย ยิ้มประเสริฐ อาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำถามที่น่าคิดว่า ถ้าผมสนใจจิตร จะสนใจแง่ไหน?

สุทธาชัยมองว่าจิตรเป็นชาวลัทธิมาร์กซ์ งานของจิตรมีร่องรอยของมาร์กซ์ คือ หารากเหง้าของประชาชนชนชั้นล่าง เขาไม่สนชนชั้นนำเลย

“จิตรเป็นลัทธิมาร์กซ์เมื่อไหร่ ตอนเด็กๆ เขาใช้ชีวิตที่พระตะบอง สมัยนั้นไม่ใช่กัมพูชา แต่เป็นส่วนหนึ่งของไทย ตอนนั้นเป็นจังหวัดพิบูลสงคราม ซึ่งพ่อของจิตรเป็นเจ้าหน้าที่สรรพสามิต ถูกส่งไปประจำที่พระตะบอง เขาเลยโตที่นั่น เข้าใจว่าจิตรอาจจะถูกโจมตีว่าเป็นเขมร พอหลังสงครามไทยต้องคืนดินแดน จิตรต้องย้ายกลับมา แม่ย้ายมาทำงานที่ลพบุรี

“มองว่าจิตรวัยเด็ก จิตรเป็นนักชาตินิยม เคียดแค้น โกรธ หวังว่าวันหนึ่งเขาจะตีเอาดินแดนคืน เข้าอักษรจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2493 เริ่มฉายแววว่าเป็นกวีที่มีความสามารถ แต่ช่วงนั้นหลังการปฏิวัติจีน เป็นยุคเฟื่องฟูของสังคมนิยมในเอเชีย สุภา ศิริมานนท์ ออกหนังสือชื่อ อักษรสาส์น เป็นความรู้ทั่วไป คณะอักษรศาสตร์เองก็เป็นสังคมนิยมมากขึ้น มีคนเขียนบทความประมาณว่าโลกต้องเป็นสังคมนิยม แล้วจิตรก็อ่าน คิดว่าจิตรตื่นตัวและสนใจลัทธิมาร์กซ์ช่วงนี้” สุธาชัยกล่าว

ย้อนให้ฟังอีกว่า ในช่วงปี พ.ศ.2493 มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง นักศึกษาก้าวหน้ามาก มีหนังสือเชิงสังคมนิยมมากมายมหาศาล แต่น่าแปลกว่าจุฬาฯ เงียบเป็นเป่าสาก ไม่มีใครเคลื่อนไหว คิดว่าจิตรคงอึดอัดมาก ในที่สุดปี 2496 จิตรได้ทำหนังสือ “๒๓ ตุลา” ของจุฬาฯ เขียนบทความหลายเรื่อง มีชิ้นหนึ่งวิจารณ์ศาสนา วิจารณ์พระ ที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมวินัย นี่กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่จุฬาฯรับไม่ได้ นำมาสู่การที่จิตรถูกโยนบก หนังสือถูกยึดก่อนเผยแพร่ และถูกพักการเรียน

pra01280359p1

มีสองอันที่น่าสนใจ คิดว่าจิตรมีประเด็นที่สนใจและกัดไม่ปล่อยอย่างน้อย 2 ประเด็น คือ ศาสนาและปัญหาสตรี

สุทธาชัยบอกว่า หนังสือที่ออกมา “โฉมหน้าศักดินาไทย” คิดว่าในสมัยนั้น พ.ศ.2500 เป็นเรื่องตื่นเต้นมากๆ ก้าวหน้า เล่มนี้การค้นคว้า การอ้างอิง ใช้หลักฐานน่าจะล้ำยุคไป 15-20 ปี ความน่าตื่นเต้นคือการใช้ข้อมูลละเอียดมาก จุดเด่นของเรื่องนี้คือ จิตรให้ความสำคัญมากกับลักษณะทางวัฒนธรรมของศักดินา การศึกษา และสตรี จิตรถูกจับทันทีที่รัฐประหาร เพราะถูกมองว่าเป็นตัวอันตราย นักคิดนักวิชาการไทยอันตรายเสมอ เพราะว่าเผด็จการคับแคบ ประเด็นที่จิตรกัดไม่ปล่อยคือ สตรี

“หรืออย่าง ‘อดีต ปัจจุบัน อนาคตสตรีไทย’ มองว่าเป็นงานที่เด่นที่สุดในเรื่องสตรีไทย เพราะไปไกลกว่างานค้นคว้าสตรีก่อนหน้านี้มหาศาล ก่อนหน้านี้มีงานประเภทนี้ แต่ไม่หนักแน่นและเป็นระบบนัก ประเด็นหลักคือ อธิบายสถานะสตรีในระบบศักดินา ที่เป็น sex object วัตถุทางเพศอย่างเดียว”

เขียนหนังสือในคุก

งานที่ลบล้างความ’คลั่งชาติ’

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เริ่มต้นเสวนาด้วยการโชว์หนังสือเล่มหนึ่งของจิตรที่มีอิทธิพลต่อผู้สนใจเรื่องเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาเป็นอย่างมาก นั่นคือเล่มที่มีชื่อปกว่า ‘ความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ’ ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 ของสำนักพิมพ์สยาม

“ผมมีหนังสือของจิตรจำนวนมาก ห่อปกพลาสติกอย่างดี เก็บไว้อย่างเรียบร้อย เล่มนี้เมื่อหยิบขึ้นมา คำถามแรกคือ หนึ่งสัปดาห์จะอ่านไหวไหม เมื่อเริ่มอ่านคำนำครั้งที่ 1 ซึ่งเขียนโดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ เมื่อ 20 มิถุนายน 2519 ก็เห็นว่าเป็นหนังสือทรงคุณค่า แต่ก็ยากที่จะกล้ำกลืน คำนำบอกว่าหนังสือเล่มนี้เขียนในคุก หลังการยึดอำนาจของสฤษดิ์ ธนรัชต์ เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2501 จิตรถูกจับเข้าคุก หลังจากนั้นก็อยู่ในคุกจนถึงธันวาคม 2507 ซึ่ง 6 ปีที่อยู่ในคุก จิตรนั่งเขียนงานจำนวนมาก เมื่อออกมาก็เอาต้นฉบับไปให้สุภา ศิริมานนท์ สุภาเอาต้นฉบับของจิตรใส่กล่องขนมปัง ฝังดินไว้ในสวนที่บ้าน ผ่านไป 10 ปีก็ขุดขึ้นมา มามอบให้มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ นั่นคือการเริ่มต้นของการดูต้นฉบับและเป็นที่มา”

ธำรงศักดิ์กล่าวว่า จิตรพัฒนางานตั้งแต่ พ.ศ.2493 ทศวรรษนั้นสิ่งที่เป็นประเด็นสำคัญคือเรื่องอยุธยา สุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกสุโขทัย แม้แต่นักกฎหมายอย่าง ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ก็ยังลงมาเล่นเรื่องจารึกพ่อขุนรามคำแหง ส่วนหลวงวิจิตรวาทการก็เป็นคนสร้างแนวคิดเรื่องการสร้างมหาอาณาจักรไทย ที่มีงานออกมาในรูปนิยาย ละคร และเพลง ทำให้เกิดอุดมการณ์เกรียงไกรมาก หลวงวิจิตรวาทการกลับมาอีกครั้งและฟื้นสุโขทัยให้ยิ่งใหญ่

“งานเขียนชิ้นนี้ของจิตรที่เริ่ม คือ ต่อต้านความคิดความรู้ในมหาอาณาจักรไทย อุปทานของความคลั่งชาติ หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็น 3 ภาค ภาคแรกบอกว่าสยามคือใคร, ภาคที่ 2 ใครคือขอม 2 ภาคแรก จิตรพยายามบอกว่า สยามคือใคร ถ้าอ่านแบบดูหนัง จะรู้ว่าจิตรต้องการคุยอะไรกับเรา เมื่อจิตรเริ่มต้นว่า ดร.บรรจบ ไปเจอคนอัสสัม มีนามสกุลว่าสยาม จิตรบอกว่า อย่าเชื่อ อาจเป็นแค่คำพ้องเสียง จิตรตามหาคำว่า ‘ชาม/สยาม’ ในสายตาอัสสัม ทุกคนมองท่านอย่างไร ท่านมองตัวเองอย่างไร คนอื่นมองท่านอย่างไร”

ธำรงศักดิ์บอกว่า จิตรทำให้เราตามไปเรื่อยๆ ว่าใครมองอะไร ในแต่ละบท ซึ่งบทที่ 16-17 จิตรจะบอกว่า สยามเป็นชื่อที่ถูกเรียกมาจากตรงไหนในโลกโบราณ สยามเพิ่งถูกเรียกให้กลายเป็นชื่อรัฐโดยรัชกาลที่ 4 สมัยยังทรงผนวชเป็นภิกษุ เวลาส่งทูตไปไหนท่านจะใช้ว่ามาจากสยามรัฐ ส่วนก่อนหน้านั้นจิตรบอกว่า ใช้คำว่า ชาม ซาม สาม เสียม

“ขณะที่ในภาคที่ 2 จิตรบอกว่า ในดินแดนเหล่านี้มีคนที่ถูกเรียกว่าอะไรบ้าง จิตรบอกว่าลักษณะ 2 ด้านของชื่อชนชาติ คือ ถูกดูถูก เช่น เจ๊ก อีกด้านคือ ‘ข้าคือคน’ จิตรยกตัวอย่างเรื่อง ข่า เยอะมาก ข่าเป็นกลุ่มหนึ่งที่ถูกจับไปเป็นขี้ข้า กดต่ำในสังคม ข่าพยายามหาทางออกของตัวเองกระทั่งเป็น ลาวเทิง ที่จิตรบอกว่าเป็นการบอกว่า ข้าคือคน ต่อให้แกจะเรียกยังไง ข้าคือส่วนหนึ่งที่สร้างประเทศลาว โปรดเรียกข้าว่า ลาวเทิง

“พออ่านหนังสือของจิตร อ่านไปอ่านมา อารมณ์ความเป็นคนที่เท่าเทียมกับคนอื่นเริ่มเข้ามา อ่านเสร็จแล้วจึงรู้ว่า ประชาธิปไตยเป็นทางออกของประเทศไทย” ธำรงศักดิ์กล่าวปิดท้ายอย่างน่าคิด

และหนังสือความเป็นมาของคำสยาม, ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของชื่อชนชาติ นี่เองที่เขาบอกว่า ช่วยลบล้างความคลั่งชาติแบบผิดๆ

ผู้’เปิดทาง’

เขมรศึกษาที่ล้ำยุค

ศานติ ภักดีคำ
ศานติ ภักดีคำ

ขณะที่ ศานติ ภักดีคำ จากสาขาวิชาภาษาเขมร ภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ พูดถึงจิตร ภูมิศักดิ์ ไว้อย่างน่าสนใจว่าเป็นผู้ที่ “เปิดทาง”

โดยอธิบายให้เข้าใจด้วยว่า ยุคนั้นถ้ามองกระแสการศึกษาประวัติศาสตร์ของไทย จิตรเขียนเรื่องความเป็นมาของคำสยามฯ, ตำนานนครวัด ฯลฯ ซึ่งในช่วงนั้นการศึกษาเรื่องเขมรศึกษาสำหรับประเทศไทยยังเป็นเรื่องที่ลี้ลับมาก ไม่มีใครให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แม้จะมี อ.ฉ่ำ ทองคำวรรณ ซึ่งเกิดที่พระตะบอง แล้วมาบวชที่กรุงเทพฯ แล้วได้ทำงานที่สำนักหอสมุดและกลายเป็นนักอ่านจารึก ที่สุดก็โอนสัญชาติมาเป็นคนไทยอาจเรียกว่าเป็นคนแรกของไทยที่เปิดมิติเรื่องการอ่านจารึก แต่การศึกษาเรื่องที่จะลงไปในเชิงนิรุกติศาสตร์ของเขมรโบราณ เราอาจจะเรียกได้ว่าจิตรเป็นคนแรกที่นำเสนอประเด็นนี้อย่างเป็นระบบที่สุดเท่าที่เคยมีการศึกษามา

การนำเสนอของจิตรเป็นการเปิดมิติใหม่ในสังคมไทย ซึ่งไม่ได้มีการศึกษาภาษาเขมรโบราณอย่างเป็นระบบมาก่อน แม้จะมีการพูดถึงจารึกอยู่บ้าง แต่ว่ายังไม่มีการจัดระบบหรืออธิบายเชิงนิรุกติศาสตร์ชัดเจนนัก แต่จิตรก้าวหน้าและมีความรู้หลายแขนง ที่จะนำมาสังเคราะห์ให้เกิดความรู้ใหม่ๆ

ศานติบอกว่า ถ้าอ่านตำรานิรุกติศาสตร์ ที่มีบทความหรือผลงานของจิตรสอดแทรกอยู่ จะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาภาษาเขมรโบราณ เช่น คำว่ากลาโหม จิตรแทบจะเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นว่าคำว่ากลาโหมไม่ได้มาจากสันสกฤต แต่เรารับมาจากเขมรโบราณ โดยอ้างอิงจารึกเขมรโบราณทั้งที่พบในประเทศไทย และบันทึกของ ยอร์ช เซเดส์ นี่ทำให้เกิดความรู้ใหม่ๆ ที่อาจเรียกว่าล้ำยุคเกินสมัยสำหรับคนในยุคนั้น

นักวิชาการหนุ่มยกตัวอย่างที่จิตรอธิบายคำเดียวนี้ไว้ว่า

“กลาโหม” ถ้ามองเชิงสันสกฤต คำว่า “โห-มะ” เป็นสันสกฤต แน่นอน แต่ ‘กลา’ จิตรเทียบกับทั้งเขมรโบราณ ใช้เมื่อ 700 ปีที่แล้ว งานของจิตรได้ค้านกระแสสังคม และนักวิชาการสมัยนั้น อย่าง เถา ศรีชลาลัย, หลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งต่างบอกว่าขอมไม่ใช่เขมร แต่เป็นชาติพันธุ์ที่สาบสูญไปแล้ว

“กลาโหม” มาจาก “กรลา” ตรงกับคำไทยว่า “กะลา” แต่เขมรปัจจุบันใช้ “กฬา” ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่นอกเหนือจากว่ามาจากไหน แต่จิตรยังเป็นคนที่เปิดประเด็นว่า ทำไมคนเอาคำนี้มาใช้ในความหมายที่เกี่ยวข้องกับทหาร

เพราะด้วย “กรลา” แปลว่าสถานที่ ส่วน “โห-มะ” คือ “พิธีบูชาไฟ” จิตรยังเชื่อมโยงไปยังภาพที่ปราสาทหิน แถบเดียวกับเสียมกุกมีภาพการแห่ และบอกว่า เวลากองทัพจะยกไปรบ จะมีบูชาไฟศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งคนที่ดูแลสถานที่บูชาไฟ คือ สมุหพระกลาโหม ดังนั้น เมื่ออยุธยารับคตินี้มา ทำให้เราเอาคำนี้มาใช้กับทหาร แล้วเป็นตำแหน่งที่คู่กับ สมุหนายก (สมัยพระบรมไตรโลกนาถ)

“น่าสนใจมาก ว่าจิตรไปถึงขั้นตรงนั้นแล้ว ขณะที่นักวิชาการอื่นของไทยยังไปไม่ถึง งานของจิตรคือ ก้าวหน้า ล้ำยุค ในช่วงเวลานั้นๆ แม้กระทั่งตอนนี้ ยังมีการศึกษาเรื่องนี้ไม่มากนัก แม้บทความเรื่องพิมาย จิตรก็อ้างการศึกษาเรื่องจารึก เขาเป็นคนแรกที่เขียนว่า พิมายสร้างก่อนนครวัด แต่ปัจจุบันที่เราพูดถึงนครวัด เรามักจะบอกว่า พิมายเป็นศิลปะแบบนครวัด ทั้งที่พิมายเป็นต้นแบบนครวัด ซึ่งมีหลักฐานปรากฏในบันทึกชัดเจน” ศานติกล่าว

ถ้ามองในแง่นิรุกติศาสตร์ จิตร เป็นคนแรกที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผยลงสื่อ ให้คนทั่วไปได้อ่านทำความเข้าใจในเรื่องนี้

งานของจิตร นอกจากเห็นมิติอิทธิพลของคำเขมรโบราณ ศานติมองว่า ยังมีมิติในทางกลับกัน

“จิตรเป็นคนแรกที่มองว่า เขมรก็ได้รับอิทธิพลอยุธยาไปเหมือนกันเช่น ตำแหน่งยศ โดยจิตรเปิดประเด็นให้เห็นว่า ไทยไม่ใช่ผู้รับเขมรโบราณเท่านั้น แต่ไทยยุคต้นรัตน โกสินทร์ ก็ส่งอิทธิพลไปถึงกัมพูชาด้วย ทำให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ของผู้รับและผู้ให้พร้อมกันในเวลาเดียวกัน ถ้าเขายังอยู่ เราคงได้อ่านวิทยานิพนธ์ที่เขาร่างไว้ แต่ไม่ได้เขียน ถ้าเขียน จะมีงานมาสเตอร์พีซ อีกชิ้นทันที” ศานติกล่าว

อัจฉริยะแห่ง’ยุคสมัย’

แม้ยุคที่ไม่มีอินเตอร์เน็ต

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

นักวิชาการรุ่นใหม่อีกคนรับช่วงต่อพูดถึงผลงานของ จิตร ภูมิศักดิ์

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ นักวิชาการอิสระ เริ่มต้นด้วยการเชิญชวนไปดูพระปรางค์ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ และที่ลพบุรี ซึ่งมีหน้าตาคล้ายกัน และจิตรเป็นคนแรกที่เปิดประเด็นในเรื่องเหล่านี้

นักวิชาการหนุ่มบอกว่า จิตรเปิดประเด็นเรื่องความสัมพันธ์ 2 ชาติ สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ลงมา เช่น พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา จิตรบอกว่าต้องเป็นโองการแช่งน้ำพระพัทธะสัตยา หมายถึง ข้อผูกมัดสัตย์สาบาน ซึ่งตรงกับการแช่งน้ำ

“สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผม คือ งานของจิตรที่เป็นงานวิชาการ ทั้งหมดทำในคุกช่วงอายุ 28-33 ปี อย่างหนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ, โองการแช่งน้ำและข้อคิดใหม่ในประวัติศาสตร์ไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา, สังคมไทยลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา ทั้ง 3 เล่มนี้ประหลาดมาก เพราะพูดถึงรอยต่อที่บางคนเรียกว่า ยุคมืดของประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งตอนแรกผมยังไม่เข้าใจในอัจฉริยภาพของจิตร แต่มาคิดถึงตัวเองว่า ผมคงทำไม่ได้หากไม่มีอินเตอร์เน็ต แต่เขาทำได้ ทำในคุกด้วย

“สิ่งที่จิตรทำออกมา สะท้อนให้เห็นว่าจิตรอ่านข้อมูลที่เป็นภาษาฝรั่งเศสเยอะมากๆ ตัวชิ้นงานที่จิตรใช้ สิ่งที่จิตรใช้ ที่ไม่ใช่แค่จารึก แต่มีโบราณสถานและหลักฐานเชิงประจักษ์อื่นๆ นอกจากนี้เขายังใช้ตำนานและนิรุกติศาสตร์ ด้วย” ศิริพจน์กล่าวทิ้งท้าย

นี่คือหลากหลายนักวิชาการที่ได้มาให้มุมมองเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตและผลงานของปัญญาชนที่มีอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของยุคสมัย

เนื่องในวาระใกล้ครบรอบ 50 ปี การจากไปของเขา

“จิตร ภูมิศักดิ์”

The post หลากมุมมองถึง ‘จิตร ภูมิศักดิ์’ ชีวิตและผลงาน ปัญญาชนแห่ง’ยุคสมัย’ appeared first on มติชนออนไลน์.

โลกสองวัย : ตำนาน’ไทยเจริญ’

$
0
0

พรุ่งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ ครบรอบ 40 ปี” เชิญพี่เพื่อนน้อง และนักหวดลูกกลมๆ บนกรีน ร่วมแข่งขันกอล์ฟการกุศลชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ณ สนามกอล์ฟอมตะ สปริง คันทรีคลับ ชลบุรี (Shotgun Start เวลา 12.00 น.)

รายการแข่งขันเริ่มเวลา 10.00 น. รับประทานอาหารก่อนออกรอบ

เขาว่าหลุมสวยที่สุดคือหลุม 17 เพราะอยู่กลางน้ำ ต้องลงเรือข้ามไปตี

สำหรับรางวัล “บู้บี้” ให้กับผู้ที่มีอันดับรอง “โหล่” รับรองว่าสวยงามถูกใจผู้ได้รับแน่นอน

วันนี้ ขอใช้พื้นที่ตรงนี้ว่าถึงเรื่องตัวเองเล็กน้อย พอเป็นพิธีสงฆ์

หลังจากที่ข้าพเจ้า (ผู้เขียน) จบการอบรมในหลักสูตร “มหานคร 4” มาตั้งแต่ปลายปี 2558 จากนั้นเพื่อนร่วมรุ่นยังพบปะสังสรรค์เป็นระยะ ล่าสุดจัดงานเนื่องในโอกาสไปมอบทุนการศึกษาของรุ่นให้กับนักศึกษาหลักสูตรปฏิบัติการฉุกเฉินการแพทย์ ของมหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช ที่มี ดร.พิจิตต รัตตกุล เป็นอธิการบดี นายแพทย์ประยุทธ ศิริวงษ์ เป็นคณบดีแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล เป็นผู้รับมอบ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม

เรามีนัดกันอีกครั้งที่บริษัท ลอกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) คลองเตย ที่มี ณัฐวุฒิ จิตะสมบัติ กรรมการบริหาร เป็นเจ้าของสถานที่ ในรายการ “ก่อนปีใหม่ไทย สุดแสนชื่นบาน ! มหานคร 4 หรรษา… เฮฮา (ก่อน) สงกรานต์!!!” เย็นวันนี้ 28 มีนาคม 18.00 น.

เจ้าภาพครั้งนี้มี 10 สาวหนุ่มที่ฮอตที่สุดแห่งปี ประกอบด้วย

พลเอก วิชิต ยาทิพย์ นำขบวน ณัฐวุฒิ จิตะสมบัติ ทัฬห์ สิริโภคี ปรีชา เอื้ออนันตธนกุล วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี พฤทธิยา รุมาคม กฤษฎา ล่ำซำ นริศ เชยกลิ่น สุชาติ เตชจักรเสมา ปิดท้ายสาวงามแห่งรุ่นอีกคนหนึ่ง นพวรรณ สุวรรณประทีป “สาวนก”

ส่วนที่นำมาเสนอ ณ ที่นี้ คือรายการอาหารและภัตตาคาร

ไม่ทราบว่าน้องหนูพอจะรู้จัก “ภัตตาคารไทยเจริญ” ก่อนเลิกราไปไหม ตั้งร้านอยู่ตรงหัวมุมสี่แยก พล 1 ถนนนครราชสีมาตัดกับถนนศรีอยุธยา ตรงข้ามหอประชุมกองทัพบก ร้านนี้เริ่มมาเมื่อ 65 ปี เป็นที่รู้จักทั้งนายทหารระดับนายพล นักการเมืองระดับผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี ข้าราชการ รวมถึงทนายความ นักหนังสือพิมพ์ มักจะนัดไปพบรับประทานอาหารกลางวันเป็นประจำ

เมนูเรียกน้ำย่อยก่อนอาหาร คือ สาคูไส้หมู ข้าวเกรียบปากหม้อ ถั่วลิสงทอดโรยเกลือ และแฮ่กึ๊น ดีกรีราชวงศ์

เมนูที่ต้องสั่งทุกโต๊ะ คือ ปลาดุกทอดกรอบผัดเครื่องแกง ซึ่งเป็นเมนู Signature ของ “ไทยเจริญ” ลูกชิ้นกุ้งผักโสภณ ไก่ตุ้นมะนาวดอง แฮ่กึ๊น ป๋วยเล้งผัดกระเทียม ขาหมูยัดไส้ เนื้อผัดกะเพรา ขนมจีนแกงเขียวหวานไก่ ไข่พะโล้รสกลมกล่อม กุ้งกระเทียมกับพริกขี้หนูสด ปลาช่อนราชบุรีผัดกับมะเขือยาว ตามด้วยต้มแซ่บกระดูกหมูอ่อน ซดน้ำแกงร้อนๆ และเป็ดย่างที่ขึ้นชื่ออีกด้วย

เขาว่าเมื่อก่อนรับประทานอาหารไปพร้อมกับดื่มเบียร์เย็นเจี๊ยบ ยิ่งอร่อยชูรสอย่าบอกใคร

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุผลกลใด เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ภัตตาคารไทยเจริญต้องปิดตำนานลง อาจเป็นเพราะทายาทรุ่นลูกไม่สนใจสานต่อ ยอมทิ้งศาสตร์และศิลป์แห่งการทำอาหารของไทยเจริญไปอย่างน่าเสียดาย

วันนี้ “ล็อกซ์เล่ย์” ที่ผู้บริหารรู้จักอาหารร้านนี้ จึงเจรจากับเชฟช้าง-ชุม ทิพาเสถียร มาเป็นผู้ดูแลแผนกจัดเลี้ยงของบริษัทถึงวันนี้

เย็นนี้ ชาว “มหานคร 4” โชคดีมีโอกาสลิ้มรสอาหารไทยระดับตำนานจากเมนูที่จัดไว้หลากหลาย ล้วนแล้วน่ารับประทานทั้งสิ้น อยากลงตีพิมพ์เมนูทั้งหมด ก็เกรงใจตัวเองและน้องหนูที่ชมชื่นกับอาหาร ไว้โอกาสหน้าจะแจ้งให้ทราบ แม้ไม่มีโอกาสรับประทานฝีมือของเชฟไทยเจริญ แต่ยังมีโอกาสได้รู้จักตำนานอาหารไทย อย่างไทยเจริญกับเขาบ้าง หรืออาจสอบถามที่คุณพ่อคุณแม่น้องหนูที่เคยเยี่ยมกรายเข้าร้านนี้มาแล้ว

The post โลกสองวัย : ตำนาน’ไทยเจริญ’ appeared first on มติชนออนไลน์.


กระเป๋ารั่ว แก้ไม่ยาก ม.เอเชียปิ๊งเปิดหลักสูตร บัญชีภาคธุรกิจ’จดแล้วไม่จน’

$
0
0

จากพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า

“การใช้จ่ายอย่างประหยัดนั้น จะเป็นหลักประกันความสมบูรณ์พูนสุขของผู้ประหยัดเอง และครอบครัว ช่วยป้องกันความขาดแคลนในวันข้างหน้า การประหยัดดังกล่าวนี้จะมีผลดีไม่เฉพาะแก่ผู้ที่ประหยัดเท่านั้น ยังเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติด้วย”

สำหรับครู เอมอร ไมตรีจิตร์
วัย 52 ปี ครูบัญชีอาสาแห่งกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันทำงานในตำแหน่งหัวหน้าสาขาวิชาการบัญชีและรองคณบดีฝ่ายกิจการพิเศษ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ เป็นครูอีกท่านหนึ่งที่เข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคม โดยสมัครเป็น “ครูบัญชีอาสา” ของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ตั้งแต่ปี 2552

เอมอร ไมตรีจิตร์
เอมอร ไมตรีจิตร์

ครูเอมอรเล่าว่า เนื่องจากตนเองมีความเชี่ยวชาญในด้านการทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพอยู่แล้ว จึงนำความรู้ที่มีไปถ่ายทอดให้กับประชาชนในชุมชน โดยสอนให้มีการจดบันทึกบัญชีแล้ววิเคราะห์รายรับ-รายจ่ายให้เกิดการสมดุล หากมีรายจ่ายมากเกินไปควรทำอย่างไร

ทั้งนี้ ในส่วนของวิธีปฏิบัตินั้นมีอยู่ 3 วิธีก็จริงคือ 1.เพิ่มรายรับ 2.ลดรายจ่าย 3.เพิ่มรายรับและลดรายจ่าย แต่ในด้านวินัยทางการเงินของแต่ละครอบครัวนั้นไม่เหมือนกัน จึงมีการสอนเพิ่มให้รู้จักการบันทึกบัญชี วิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้น รวมทั้งชี้แนะวิธีการแก้ไขจนไม่มีหนี้สิน ซึ่งจากการติดตามคนในชุมชนที่ผ่านการอบรมแล้วพบว่า ครอบครัวที่ตระหนักถึงวินัยทางการเงิน สามารถลด ละ เลิก ค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น มีเงินออมจนสามารถซื้ออุปกรณ์อำนวยความสะดวกให้ตนเองได้ เช่น หม้อหุงข้าว เครื่องซักผ้า พัดลม ฯลฯ

“การที่เราเรียนรู้การจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพ โดยนำข้อมูลจากการจดบันทึกบัญชีครัวเรือนไปวิเคราะห์ถึงรายรับ-รายจ่ายของตนเอง ทำให้สามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างระมัดระวังรอบคอบ และสามารถลด ละ เลิกรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงได้ และเกิดเงินออมตามมาอย่างต่อเนื่อง” ครูเอมอรบอก และว่า

ด้วยเล็งเห็นถึงประโยชน์ของการจัดทำบัญชีครัวเรือน บัญชีต้นทุนอาชีพ จึงเกิดแนวคิดที่ว่าหากได้นำความรู้นี้เผยแพร่ไปสู่เยาวชนของชาติจะสามารถทำคุณประโยชน์ต่อประเทศอย่างไม่รู้จบ จึงได้นำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพมาเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรบัญชีภาคธุรกิจของมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์

กำหนดให้นักศึกษาทุกคนที่เข้าศึกษาบัญชีภาคธุรกิจจะต้องเรียนรู้และจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพ เป็นผลให้นักศึกษาหลายคนนำข้อมูลไปวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายของตนเอง คิดทุกครั้งก่อนที่จะใช้จ่าย

pra02280359p3

ซึ่งผลจากการได้เรียนรู้และนำไปปรับพฤติกรรมของตนเอง ทำให้นักศึกษามีเงินออมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น นักศึกษาจากจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเคยเดินทางจากบ้านพักที่เมืองกาญจน์มาเรียนทุกวัน หลังจากจดบันทึกค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทาง เมื่อเทียบกับการเช่าหอพักข้างมหาวิทยาลัย พบว่าการพักหอพักนอกจากมีเงินเหลือออมมากกว่าแล้วยังไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง มีเวลาพักผ่อน ทบทวนบทเรียนมากขึ้น ทำให้ผลการเรียนดีขึ้นด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ครูเอมอรยังขยายผลต่อโดยนำนักศึกษามาช่วยในการเผยแพร่การจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพสู่ชุมชนใกล้เคียงด้วย จนชุมชนสามารถจัดทำบัญชีครัวเรือนและบัญชีต้นทุนอาชีพได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถรู้รายได้ รู้ต้นทุน รู้กำไรของอาชีพที่ทำอยู่

รวมทั้งขยายการอบรมให้กับภิกษุสามเณรที่เข้าบรรพชาภาคฤดูร้อนให้รู้จักการบริหารรายรับ-รายจ่าย ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นความคิดที่ดีของเยาวชนไทย และบุคคลใดที่คิดว่าควรให้ความรู้ก็จะไปให้ความรู้ เช่น สอนแม่บ้าน นักการภารโรง ในมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ให้คิดเป็น สามารถบริหารเงินให้มีรายจ่ายเพียงพอกับรายรับ จะได้ไม่มีหนี้สิน

ความสำเร็จของครูเอมอรได้รับการชื่นชมจากหลายๆ หน่วยงาน ทั้งจากผู้ใหญ่บ้านและนายกองค์การบริหารส่วนตำบลงิ้วราย อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม รวมทั้งเจ้าอาวาสวัดบางขันแตก อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม ยังได้ทำหนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ได้จริง

pra02280359p33

The post กระเป๋ารั่ว แก้ไม่ยาก ม.เอเชียปิ๊งเปิดหลักสูตร บัญชีภาคธุรกิจ’จดแล้วไม่จน’ appeared first on มติชนออนไลน์.

บันทึกประวัติศาสตร์ ‘มหากาพย์เขาพระวิหาร’จากมุม ‘นพดล ปัทมะ’

$
0
0

pra01290359p1

ข้อพิพาทเก่าแก่ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2505 และศาลโลกได้มีคำพิพากษาให้ตกเป็นของประเทศกัมพูชา ไม่น่าเชื่อว่าจะส่งผลอันเป็น “ปัญหา” ตกค้างมาจนกระทั่งทุกวันนี้

กำลังพูดถึงกรณี “ปราสาทพระวิหาร”

บางคนเรียกว่านี่คือ “ระเบิดเวลา” ที่หลงเหลือมาจากยุคอาณานิคม เห็นว่าเป็น “ประวัติศาสตร์” บาดหมางที่ต้องร่วมกันชำระและทำความเข้าใจกันสักยกใหญ่ และมองข้ามความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของนั้นไป

ไทย-กัมพูชา ควรมีท่าทีในการจัดการปราสาทพระวิหารที่ดีกว่าที่เป็นอยู่

ข้อพิพาทที่สิ้นสุดไปแล้วกว่า 40 ปี กลายมาเป็นเรื่องเป็นราวเข้มข้น ในห้วงยามที่ประเทศไทยเผชิญวิกฤตปัญหาทางการเมือง

ปราสาทหินบนเทือกเขาพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ถูกหยิบยกมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองของคนกลุ่มหนึ่ง เพื่อจัดการคนอีกกลุ่มหนึ่ง ทว่าเมื่อถึงเวลาสูญเสีย กลับกลายเป็นประชาชนตัวเล็กตัวน้อยที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชายแดน

หนึ่งในห้วงยามที่เข้มข้นที่สุดคงหนีไม่พ้นช่วงการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในช่วงปี พ.ศ. 2551 ขณะที่ สมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

หลังจากที่ นพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้ทำแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีกัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก

กลายเป็นคดีความที่ นพดลต้องต่อสู้ โดยเฉพาะกับข้อครหา “ขายชาติ” มายาวนานกว่า 7 ปี กว่าที่ฝุ่นควันต่างๆจะคลี่คลาย

ทั้งหมดเขาได้เล่าไว้ใน “บันทึกประวัติศาสตร์ มหากาพย์เขาพระวิหาร” หนังสือเล่มใหม่ที่เพิ่งจะออกจากแท่นพิมพ์สดๆ ร้อนๆ

มหากาพย์’คดีความ’
ลำดับแห่งเรื่องราว

“คำแถลงการณ์ร่วมระหว่างไทยกับกับพูชา แม้ไม่มีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทย แต่อาจมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตประเทศ นอกจากนั้นยังถือเป็นหนังสือสัญญาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ หรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง ดังนั้น จึงเป็นหนังสือสัญญาตามมาตรา 190 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนไปลงนาม”

คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเดือนกรกฎาคม 2551 ส่งผลให้กำลังใจของนพดลแทบจะหล่นหายไปในความรู้สึก

“คำแถลงการณ์ร่วม” ที่เขาและเจ้าหน้าที่ผลักดันให้เกิดขึ้นเพื่อปกป้องเขตแดน กลับถูกบิดเบือนให้กลายเป็นเรื่องของการทำให้เสียดินแดน รัฐมนตรีต่างประเทศผู้รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงอย่างเขาถูกข้อครหาว่า “ขายชาติ”

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงความแปลกแปร่งของคำวินิจฉัยที่ออกมา กรณี “อาจมี” หรือเห็นว่าคำแถลงการณ์ร่วมนี้เป็น “หนังสือสัญญา”

pra01290359p2
“ผมทราบเรื่องคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนี้จากเอสเอ็มเอสของเจ้าหน้าที่กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ขณะที่เครื่องบินกำลังเคลื่อนตัวเข้าหารันเวย์เพื่อบินจากสนามบินโตรอนโตไปลอนดอน เพื่อเดินทางกลับกรุงเทพฯ ภายหลังเสร็จการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกที่ควิเบก แคนาดา ในระหว่างนั่งเครื่องบินเหนือมหาสมุทรแอตแลนติก ผมก็ตัดสินใจแล้วว่าจะลาออกและเริ่มเขียนคำกล่าวที่ใช้ในการแถลงข่าวลาออก แม้สิ่งที่ผมและกระทรวงกระทำไปเพื่อปกป้องดินแดนก็ตาม ผมใช้เวลาไม่นานในการตัดสินใจ เพราะผมต้องการให้รัฐบาลซึ่งมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนำสามารถฝ่ามรสุมการเมืองแก้ปัญหาประชาชนต่อไป”

คือ ความรู้สึกตอนหนึ่งของนพดล บันทึกไว้ในช่วงนี้

ในหนังสือ “บันทึกประวัติศาสตร์ มหากาพย์เขาพระวิหาร” หากใครได้อ่านตั้งแต่ต้นจนจบจะรู้สึกได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้เขียน ที่แฝงฝังอยู่ในการอธิบายข้อโต้แย้งต่างๆ

ดังนั้น แม้จะมีคำเฉพาะซึ่งเกี่ยวกับ “คดีความ” อยู่เยอะ แต่ทว่าก็อ่านเข้าใจได้ง่าย ยิ่งในส่วนที่เหมือนการถาม-ตอบ คล้ายผู้เขียนได้กำลังชักชวนเราคุย และระบายความในใจที่เขาอัดอั้นนั้นให้เราได้ฟัง

กล่าวสำหรับลำดับของเรื่องคดีความ นพดลได้บันทึกไว้อย่างละเอียด โดยสรุปคือ

ในปี พ.ศ.2549 กัมพูชายื่นขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกฝ่ายเดียว ในคำขอนั้นแนบแผนที่รุกล้ำที่อ้างสิทธิทับซ้อนไปด้วย (ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร ไทย และกัมพูชาต่างอ้างสิทธิในพื้นที่นี้) ไทยคัดค้านคำขอ จนคณะกรรมการมรดกโลกมีมติเลื่อนออกไปในการประชุมสมัยหน้า ปี พ.ศ.2551 ที่ประเทศแคนาดา

กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 นพดล ปัทมะ ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เหลือเวลา 5 เดือนก่อนที่การประชุมจะเริ่มขึ้น

เขาและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศเร่งทำงานอย่างหนัก เพราะคำขอของกัมพูชายังคงค้างอยู่ในวาระพิจารณารอบนี้ ซึ่งหากได้รับการอนุมัติ คือ ปราสาทพระวิหารได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตามคำขอนั้น พื้นที่ทับซ้อนดังกล่าวจะมีความสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะเสียไป

มีการพยายามเจรจาตกลงเรื่องการบริหารจัดการพื้นที่ทับซ้อนร่วมกัน แต่ก็ไม่เป็นผล

จนที่สุด นพดลและเจ้าหน้าที่ตัดสินใจเดินทางไปหารือ 3 ฝ่ายที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ให้กัมพูชาตัดพื้นที่ทับซ้อนออก ไม่ให้นำขึ้นทะเบียนมรดกโลก ให้ขึ้นทะเบียนได้เฉพาะตัวปราสาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของกัมพูชาอยู่แล้วเท่านั้น

กลายเป็น “คำแถลงการณ์ร่วม” ที่กัมพูชายอมรับเป็นครั้งแรกว่ามีเรื่องพื้นที่ทับซ้อน

“การขึ้นทะเบียนมรดกโดยเฉพาะตัวปราสาทตามแนวทางของคำแถลงการณ์ร่วม จึงช่วยไม่ให้มีการขึ้นทะเบียนพื้นที่ที่เป็นพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อนเป็นมรดกโลก และทำให้ไทยสามารถรักษาสิทธิทางเขตแดนไว้อย่างสมบูรณ์…กัมพูชาได้ขึ้นทะเบียนเฉพาะตัวปราสาทเท่านั้น ไม่รวมพื้นที่ทับซ้อน” นพดลกล่าวไว้ในบทคัดย่อของหนังสือ

และคำแถลงการณ์ร่วมนี่เองที่ถูกนำมาบิดเบือน ใช้เป็นเครื่องมืออย่าง “จงใจ” และ “ไม่รู้ข้อมูล” หรือ “พวกมากลากไป” ในห้วงยามการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “ม็อบเสื้อเหลือง” ในช่วงเดียวกันนั้น

เกิดคดีความต่างๆ ตามมาถึงตัวนพดล ดังที่เป็นข่าวทราบกันดี

แต่เหนืออื่นใดคือ สิ่งที่เจ้าตัวบอกว่าน่าเจ็บใจที่สุดก็คือการโดนข้อครหาว่า “ขายชาติ” ทั้งๆ ที่กำลังทำหน้าที่ปกป้องผืนแผนดินไทย

pra01290359p3
บันทึก’ความในใจ’
และคำอโหสิของ’นพดล’

“คำแถลงการณ์ร่วมถูกทำให้เป็นประเด็นการเมือง และการบิดเบือนทำให้เกิดความขัดแย้งทั้งในประเทศและต่างประเทศ จนในที่สุดกัมพูชาไปยื่นขอตีความคำพิพากษาศาลโลกในปี พ.ศ.2554 ผมเห็นความมุ่งมั่นและสม่ำเสมอในการโจมตีผมเรื่องคำแถลงการณ์ร่วม ถ้านักการเมืองใช้ความพยายามดังกล่าวไปในการสร้างนโยบายและทำงานให้ประชาชน ผมเชื่อว่าจะมีโอกาสได้รับคึวามนิยมทางการเมืองขึ้นมาก”

นพดลเขียนคำนำไว้ตอนนี้อย่างน่าคิด เหน็บแนมอีกพวกฝ่ายได้อย่างเจ็บจี๊ดที่ใจ

ตั้งแต่บทแรกของหนังสือ “บันทึกประวัติศาสตร์ มหากาพย์เขาพระวิหาร” ไปจนกระทั่งบทสุดท้าย หากค่อยๆ ทำความเข้าใจกับเรื่องราวอย่างละเอียด เสมือนเรากำลังได้อ่านนิยายชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งต้องต่อสู้มาอย่างยากลำบาก เพราะมีทั้งจุดเริ่มต้น ความขัดแย้ง จุดสูงสุดของความขัดแย้ง และการคลี่คลาย บทสรุปที่ได้รับ

จึงกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้อ่านได้ทั้ง เอาเรื่อง เอารส และรับความรู้ไปในคราวเดียวกัน

นพดลบันทึกไว้ว่า นับตั้งแต่มีการเจรจาและจัดทำคำแถลงการณ์ร่วม ก็ถูกโจมตีใส่ร้ายด้วยความเท็จอย่างรุนแรง ทั้งจากนักการเมือง กลุ่มการเมืองและผู้สนับสนุนของพวกเขา พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ วันแรกที่มีการอภิปราย ก็ระดมคนอภิปรายแต่เช้ายันค่ำ นำโดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้าน ตามด้วย ส.ส.อีกหลายคน กว่าจะได้ตอบข้อซักถามก็ตอนสี่ทุ่มกว่าที่คนดูทางบ้านคงจะเข้านอนเป็นส่วนใหญ่

“แต่ในที่สุด สภาผู้แทนราษฎรก็มีมติไว้วางใจผม ท่านที่ไม่ได้ฟังผมในวันนั้น ถ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ก็จะเข้าใจแจ่มแจ้งทุกประเด็นว่าผมทำสิ่งที่ถูกต้อง และผมคือผู้ปกป้องดินแดน”

ไม่จบแค่ในสภา พรรคประชาธิปัตย์เดินหน้ายื่นเรื่องถอดถอนนพดล ต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และชี้มูลความผิด ต่อด้วยส่งเรื่องให้วุฒิสภาถอดถอน แต่วุฒิสภาลงมติไม่ถอดถอน

ป.ป.ช.เป็นโจทก์ฟ้องต่อศาลฎีกาแผนคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานความผิดตามมาตรา 157 ประมวลกฎหมายอาญา ก่อนที่สุดท้ายทุกอย่างจะคลี่จาง และท้องฟ้าของนพดลกระจ่างใส เมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2558

“..ผมไม่ได้ ‘ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด’ และไม่ได้ ‘ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต’

“7 ปี ที่ผ่านมาผมต้องทนต่อการใส่ร้ายป้ายสี การกล่าวหาเท็จว่าขายชาติ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามต่างๆ นานา ญาติและผู้ใช้นามสกุลปัทมะได้รับผลกระทบ ขนาดหลานไปโรงเรียนยังถูกเพื่อนล้อว่าขายชาติ แต่ก็ยืนหยัดใช้นามสกุลนี้ ผมถูกกระทำอย่างต่อเนื่อง ไมว่าการปิดกระทรวงการต่างประเทศประท้วงด่าทอด้วยคำหยาบคาย ไปประชุมที่แคนาดาก็ส่งคนไปถือป้ายประท้วง กลับไทยก็มีการจัดคนแห่ไปต้อนรับแบบถือป้ายประท้วงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จนต้องมีเจ้าหน้าที่ไปช่วยนำออกจากสนามบิน พี่สาวซึ่งอยู่บ้านแฝก โคราช ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ทำนาอยู่ดีๆ ยังมีคนจัดม็อบไปล้อมบ้านและปราศรัยโจมตีผมด้วยถ้อยคำหยาบคาย และการใส่ร้ายด้วยความเท็จในโซเซียลมีเดียอย่างไร้ความปรานีก็กระทำกันต่อเนื่องตลอด 7 ปีที่ผ่านมา

“พวกเขาไม่รู้หรอกว่าผมเจ็บปวดขนาดไหน ญาติพี่น้องผมถูกระทำย่ำยีขนาดไหน การกระทำอย่างเป็นกระบวนการ ทั้งนักการเมือง กลุ่มการเมือง และผู้สนับสนุน ผมต้องยืนหยัดต่อสู้ชี้แจงโดยลำพังด้วยความอดทนมาตลอด 7 ปี”

คือความในใจของนพดลที่ได้บันทึกไว้ หลังจากที่ทุกอย่างคลี่คลาย

เขาได้อโหสิกรรมให้กับทุกคนที่เคยสร้างกรรมไว้กับตนเอง ทั้งคนที่เจตนา คนที่รู้ว่าเท็จแต่เลือกที่จะเชื่อ และคนที่หลงเชื่อเพราะฟังเขาเล่ามาแต่ไม่ไตร่ตรอง

หนังสือ “บันทึกประวัติศาสตร์ มหากาพย์เขาพระวิหาร” นอกจากจะมีคำอธิบายเกี่ยว “มายาคติ” ต่างๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นแล้ว ในภาคผนวก ยังมีเอกสารที่เกี่ยวข้องมากมายมาเป็นประจักษ์หลักฐาน

เพื่อจะได้ไม่ต้องเชื่ออย่าง “ไม่ลืมหูลืมตา”

เพื่อจะได้เข้าใจ เท่าทัน และไม่หลง “คลั่งชาติ” จนกลายเป็นผู้จุดไฟแห่งสงครามนั้นเสียเอง

The post บันทึกประวัติศาสตร์ ‘มหากาพย์เขาพระวิหาร’ จากมุม ‘นพดล ปัทมะ’ appeared first on มติชนออนไลน์.

คืนกำไรสู่ชุมชน หนึ่งในวิธีตอบแทนภาคประชาชน

$
0
0

pra02290359p2

เป็นที่รู้กันดีว่า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. นั้น เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่อยู่คู่กับการจ่ายไฟฟ้าให้คนไทยมาช้านาน

มากไปกว่าภารกิจของการแจกจ่ายความสว่างและความสะดวกให้ประชาชน สิ่งหนึ่งที่การไฟฟ้าฯทำอยู่เสมอมาคือตอบแทนสังคมในทุกด้านเท่าที่จะสามารถ

ปีนี้ก็เช่นกัน เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 12 สิงหาคม 2559 การไฟฟ้าฯมาพร้อมโครงการดีๆ ทั้ง 4 โครงการ ได้แก่

1.โครงการ PEA ใส่ใจทุกชีวิต บริจาคโลหิต 8.4 ล้านซีซี เพื่อสนับสนุนโลหิตให้กับศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลต่างๆ ประจำจังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการเชิญชวนให้พนักงาน ลูกจ้าง และครอบครัวพนักงานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วมกันบริจาคโลหิต

นพ.พินิจ กุลละวณิชย์ ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า ตั้งใจจะรณรงค์ให้ผู้บริหาร พนักงาน ลูกจ้างของการไฟฟ้าฯ รวมถึงประชาชนทั่วไปได้บริจาคโลหิตด้วยกัน

“ที่ผ่านมา ประชาชนมักจะบริจาคโลหิตกันในวันสำคัญ จนบางครั้งโรงพยาบาลรับไม่ไหว ทั้งนี้ก็อยากสนับสนุนให้ประชาชนบริจาคกันอย่างสม่ำเสมอครับ เพื่อที่โลหิตที่บริจาคกันจะได้กระจายไปอย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ด้วย” ผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทยกล่าว

2.โครงการ PEA รักษ์น้ำ สร้างฝายถวายแม่ของแผ่นดิน จำนวน 84 ฝาย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วมกับชุมชนในพื้นที่สร้างฝายชะลอน้ำด้วยการนำวัสดุคอนกรีต เช่น เสาไฟฟ้า เสาตอม่อ คอนกรีต นำมาเป็นวัสดุในการสร้างฝายเป็นโครงการที่ก่อให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนร่วมกับท้องถิ่น ชุมชน และสังคม

ไพบูลย์ ศิริภาณุเสถียร ประธานกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดีและความรับผิดชอบต่อสังคม การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า สำหรับผลที่จะได้จากโครงการนี้ ชัดเจนที่สุดอย่างน้อยก็มากกว่า 20,000 ครัวเรือนที่จะรับประโยชน์จากฝาย ไม่ว่าจะในการทำไร่นาหรือใช้บริโภค ที่สุดแล้วย่อมทำให้ครอบครัวเหล่านี้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น

3.โครงการ 84 ชุมชน ปลอดภัยใช้ไฟ PEA มีเป้าหมายหลักคือเพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการใช้ไฟฟ้าของประชาชน โดยเข้าไปตรวจสอบปรับปรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าในชุมชนให้มีความปลอดภัยครอบคลุมพื้นที่ 74 จังหวัดทั่วประเทศ รวมถึงการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้องและประหยัด

“ส่วนตัวแล้ว เรามุ่งให้คนได้ใช้บริการไฟฟ้าอย่างปลอดภัย” เสริมสกุล คล้ายแก้ว ผู้ว่าการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เล่าถึงจุดประสงค์ของโครงการซึ่งเขาและองค์กรดูแล

เพราะไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาจะไม่เคยมีอุบัติเหตุจากการใช้ไฟฟ้า มากน้อย ข่าวคราวคนถูกไฟดูดก็มีให้เห็นอยู่เป็นระยะ ไม่ห่างหายไปจากหน้าสื่อ

“ที่ผ่านมา เวลาเกิดอุทกภัยซึ่งมีน้ำท่วมบริเวณที่มีการใช้ไฟฟ้า ก็จะมีประชาชนได้รับอุบัติเหตุจากไฟดูดบ้าง โครงการนี้ก็จะเข้าไปดูแลในส่วนนั้นเพื่อให้ประชาชนได้รับความปลอดภัยจากการใช้ไฟฟ้ามากที่สุด” เสริมสกุลกล่าวอย่างจริงจัง

pra02290359p1

4.โครงการคืนช้างสู่ป่าเฉลิมพระเกียรติ โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และประธานมูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ พร้อมจะปล่อยช้างจำนวน 8 เชือกในวันที่ 12 สิงหาคมนี้ ณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ดอยผาเมือง จ.ลำปาง
“โครงการนี้เป็นโครงการที่นำช้างบ้านมาปรับสภาพเป็นช้างป่า ก่อนหน้านี้เราเคยทำเช่นนี้มาแล้วด้วยการปล่อยช้างบ้านคืนสู่ป่าจำนวน 90 กว่าเชือก” เขาเล่าอย่างภูมิใจ ก่อนจะเปลี่ยนสรรพนามที่เรียกช้างเสียใหม่เป็นตัว “ต้องเรียกว่าตัว เพราะเชือกซึ่งพันธนาการเขาไว้ในบ้านนั้นหลุดออกไปแล้ว” เขายิ้มปิดท้ายประโยค

โครงการทั้ง 4 นี้ ถวิล เปลี่ยนศรี ประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคซึ่งเป็นผู้ให้การสนับสนุนนั้นกล่าวว่า เหล่านี้คือหนึ่งในแนวทางการคืนกำไรสู่สังคมของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ที่ต้องการกระจายไปให้ถึงทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างฝายในพื้นที่ต่างจังหวัด หรือการตรวจตราคุณภาพการใช้ไฟของประชาชน มากไปกว่านั้น ยังมุ่งนำไฟฟ้าเข้าสู่พื้นที่ห่างไกลอีกหลายแห่ง

“สำหรับในพื้นที่ที่ไฟฟ้าเข้าถึงได้ยาก เราก็จะพยายามนำไฟฟ้าเข้าไปให้ทั่วถึง แม้บางพื้นที่อาจไม่ทำกำไรให้ แต่โดยเฉลี่ยแล้วกำไรที่ได้จากพื้นที่ในเมืองใหญ่ๆ ก็ทำให้ไม่ขาดทุนนัก” เขากล่าวอย่างอารมณ์ดี “เพราะเรามุ่งมั่นจะให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเป็นรัฐวิสาหกิจที่ให้บริการประชาชนได้อย่างทั่วถึง และพัฒนาคุณภาพให้มากขึ้น”

“ต้องแข่งกับตัวเองเพื่อให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ” เป็นคำปิดท้ายที่แสดงถึงเจตนารมณ์และความตั้งใจอันแน่วแน่นั้น

 

“ไฟฟ้าโปร่งใส” หนึ่งในแนวทางเสริมสร้างความสุจริตในองค์กร
12837331_10208905828753084_299746574_o

หลายคนอาจเคยได้ยินพฤติกรรมติดสินบนหรือรับเงินใต้โต๊ะภายในองค์กรหลายๆ แห่งมาบ้างแล้ว การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคเองก็หนีไม่พ้นคำครหาเช่นนั้น นี่คือสิ่งหนึ่งที่ประธานคณะกรรมการการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคอย่างถวิลให้ความสำคัญอย่างมากต่อการลบล้างภาพลักษณ์เหล่านั้น

“สำหรับโครงการการไฟฟ้าฯโปร่งใสนั้น ก่อนหน้านี้การไฟฟ้าฯมีข้อครหาว่ารับสินบนและเงินใต้โต๊ะมานาน ส่วนตัวตั้งใจจะแก้ข้อครหาเหล่านี้ โดยมีมาตรฐานของการตรวจสอบความโปร่งใส สร้างจิตสำนึก มีการป้องกัน และบทลงโทษเจ้าหน้าที่ที่ทำผิดด้วย” เป็นความตั้งใจของเขา

ถวิลขยายความว่า การทุจริตนับเป็นปัญหาบ้านเมืองที่สำคัญ นอกจากความแตกแยกขัดแย้งแล้ว ประเทศไทยยังมีการทุจริตคอร์รัปชั่นมายาวนานนับ 10 ปี ซึ่งนับวันจะมีมากขึ้นและกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ขัดขวางการพัฒนาบ้านเมือง ดังนั้น การป้องกันและปราบปรามการทุจริตจึงเป็นวาระแห่งชาติที่ประชาชนทุกคนคงตระหนักถึงเรื่องนี้ดี

“การไฟฟ้าฯนั้นเข้าถึงประชาชนมากที่สุด แม้จะเป็นรัฐวิสาหกิจที่เน้นขายสินค้า คือพลังงานไฟฟ้าและค่อนข้างผูกขาดตลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มุ่งหวังทำกำไรจากประชาชนแต่เพียงอย่างเดียว ไม่มุ่งเน้นจะให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าอย่างฟุ่มเฟือย กลับกันคือรณรงค์ให้ประชาชนประหยัดไฟฟ้าและใช้ให้ถูกวิธีที่สุด พร้อมกันนี้ยังเน้นพัฒนาคุณภาพ กล่าวคือให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าได้อย่างสม่ำเสมอและแน่นอนว่า ไฟต้องไม่ตกด้วย” เขากล่าวปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม

 

The post คืนกำไรสู่ชุมชน หนึ่งในวิธีตอบแทนภาคประชาชน appeared first on มติชนออนไลน์.

‘All Things Must Pass’-บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ทางดนตรีจาก Tower Records

$
0
0

ในยุคก่อนหน้านี้ ไม่มีใครปฏิเสธอิทธิพลของ Tower Records ในฐานะร้านเพลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ ด้วยเอกลักษณ์คู่สีแดงเหลืองและตัวอักษรเด่นเป็นสง่า ก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1960 ที่เมืองซาคราเมนโต โดยรัสเซลล์ โซโลมอน ก่อนจะขยับขยายสาขาสู่ทั่วโลก-รวมถึงประเทศไทย

และนี่เป็นอีกครั้งที่ Documentary Club นำสารคดีชิ้นดีส่งตรงให้ถึงโรงภาพยนตร์ กับเรื่องราวตำนานที่ยังตรึงอยู่ในความทรงจำของคนฟังเพลงจำนวนมากในโลกอย่าง All Things Must Pass

 

Untitled

 

กล่าวสำหรับคนอายุ 30 ขึ้นไปหรือใกล้เคียง ชื่อ Tower Records คือหนึ่งในความทรงจำทางดนตรีที่มีร่วมกันอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ มากบ้างน้อยบ้าง หลายคนคงเคยไปแกร่วรอเพื่อนในร้านแถวสยาม รู้จักเพลงใหม่ๆ จากที่นั่นและอาจจะออกมาโดยไม่ได้ซื้ออะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ร่วมพูดคุยและถกเถียงกับพนักงานในร้านที่รู้เรื่องดนตรีดีเหมือนกางนิตยสารอ่าน

แต่สำหรับคนที่โตมากับยุค MP3 และการโหลดไฟล์เสียง (ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจการขายแผ่นเสียงของ Tower Records พังทลายลง) อาจไม่เข้าใจว่า ลำพังร้านเพลงร้านหนึ่งจะมีอิทธิพลอะไรกับคนในยุคนั้นนักหนา หรือวาดภาพบรรยากาศอันอุ่นหนาฝาคั่งด้วยคนฟังเพลงภายในร้าน จนการกลับมารวมตัวกันของพวกเขาเกือบจะเป็นงานเลี้ยงรุ่นย่อยๆ ไม่ออก

อาจทำให้คนอายุน้อยกว่า 30 หรือไม่มีประสบการณ์ร่วมกับร้านดนตรียักษ์ใหญ่ป้ายเหลืองแดงนี้หวั่นใจไปว่าจะดูหนังไม่สนุก

แต่ไม่ต้องกลัว โคลิน แฮงส์-ผู้กำกับ และชาว Tower Records ทำให้ทุกอย่างในเรื่องน่าดูมากๆ แม้เราไม่เคยไปเหยียบร้านแม้สักครั้ง

และนี่คือ 6 ข้อว่าทำไมวัยรุ่นควรไปดู All Things Must Pass

large_large_5JYu2MZaKHVHGQDo8uKo2oB0McO

 

1. นี่คือหนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ทางดนตรี

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Tower Records คือหนึ่งในหน้ากระดาษของประวัติศาสตร์ดนตรีอเมริกัน จากยุคร็อกแอนด์โรล สู่ดิสโก้ และเข้าสู่ความเป็นเพลงป๊อปเต็มตัวในระยะหลัง

ใช่หรือไม่ว่านี่เป็นบันทึกเส้นทางดนตรีที่ผูกพันกับเพลงและค่ายเพลงมากยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น เมื่อกระแสดนตรีเปลี่ยน เทรนด์ฟังเพลงเปลี่ยน แผ่นเสียงในร้านย่อมเปลี่ยน หนังชี้ให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของกระแสดนตรีและจบลงของมันอย่างเรียบง่ายเหมือนตัวร้านเอง

 

2. แสดงวิวัฒนาการบันทึกเสียงในโลกการฟังเพลง

นอกเหนือจากการบันทึกกระแสเพลงอเมริกัน All Things Must Pass ยังทำให้เห็นถึงเทคโนโลยีด้านการบันทึกเสียง เมื่อการเป็นเจ้าของบทเพลงสักเพลงยังทำไม่ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วคลิก และคนที่พูดคุยเรื่องดนตรีด้วยได้ก็ไม่ได้หาเจอง่ายๆ เหมือนในโลกออนไลน์ อะไรจะดีไปกว่าการมุ่งหน้าเข้าสู่ร้านขายแผ่นเสียง ร่วมคัดสรร พูดคุยและถกเถียงกับลูกค้า-พนักงานร้านจนให้บรรยากาศผูกพันกันเหมือนครอบครัวใหญ่

แต่แผ่นเสียงก็ถูกแทนที่อย่างช้าๆ ด้วยแผ่นซีดีที่บันทึกเสียงได้คมชัดกว่าแม้จะต้องจ่ายแพงขึ้นอีกนิด ซึ่งลำพังนั่นก็เป็นปัญหามากพออยู่แล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเท่ากับการเข้ามาของอินเตอร์เน็ตและการดาวน์โหลดไฟล์เพลงอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งจนทุกวันนี้ก็ดูจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตก และคาราคาซังกันอยู่ในโลกของคนดนตรีนั่นเอง

แต่สำหรับคนวัย 25 ลงไป การเกิดขึ้นของ MP3 และไฟล์เพลงย่อมเป็นที่น่าสนใจเสมอ และ All Things Must Pass ก็ไม่ลืมที่จะบอกเรื่องราวของมันไว้ในหนังเรื่องนี้ผ่านรอยยิ้มและคราบน้ำตาของทีมงาน

3. ฟังดนตรีหลากรส

นับเป็นหนึ่งในคุณงามความดีของหนังที่ทำให้ได้ฟังแทร็กสุดฮิตของยุค 70 ไล่เรื่อยมาจนยุค 90 ที่ก็แน่นอนว่าสำหรับหลายๆ คนแล้วอาจยังไม่เคยได้ยินชื่อเพลง นี่นับเป็นโอกาสดีที่จะได้ทำความรู้จักกับเพลงฮิตของคนรุ่นลุง รุ่นป้า น้า อา ที่เมื่อครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยใช้เวลาช่วงหนึ่งในชีวิต รัก เพ้อ และบ้าคลั่งไปกับดนตรีเหล่านี้เหมือนเราๆ นี่เอง

ewrwer

4. ไอดอลของเราที่ครั้งหนึ่งก็เคยบ้าคลั่งไปกับ Tower Records

อย่างเดฟ โกรห์ล (ฟู ไฟเตอร์ส) ที่ไม่ได้มีเหตุผลอะไรมากมายนักที่อยากเป็นพนักงานของ Tower Records นอกเหนือจากการได้ฟังเพลงดีๆ และได้ไว้ผมทรงฮิตสมัยนั้นไปพร้อมๆ กัน หรือเอลตัน จอห์น ที่ทุกวันอังคารตอน 10 โมงเช้าจะต้องนั่งลิมูซีนไปซื้อเพลงจากร้าน จนร้านต้องขยับมาเปิดตอน 8 โมงให้เขาในที่สุด

 

5. โหด มันส์ ฮาตามประสาคนดนตรี

ความที่เป็นหนังที่บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ของการตั้งร้านดนตรี ที่ก็ก่อตั้งด้วยความใจถึงและบ้าบิ่น ด้านหนึ่งมันจึงเป็นแหล่งรวมมนุษย์ที่ทำอะไรสุดขีดขั้วมาอยู่ด้วยกัน และนั่นเองที่ทำให้หลายๆ จังหวะของหนังเรียกเสียงหัวเราะลั่นโรง ทั้งพนักงานผู้ที่เมามาแล้วแต่ยังมีแรงมาเปิดร้านด้วยความรับผิดชอบ หรือความบ้าไม่คิดหน้าคิดหลังของหัวหน้าที่นำมาสู่เรื่องเพี้ยนๆ ที่เรียกเสียงฮาได้ในท้ายที่สุด

 

6. หัวเราะร่า น้ำตาริน

จะมากน้อย สำหรับหลายๆ คน Tower Records อาจเป็นสถานที่ที่มากกว่าการมาฟังเพลงฟรี, รอเพื่อน, เดตแฟน แต่ย่อมเป็นพื้นที่ของความทรงจำส่วนหนึ่งที่ได้รู้จักกับโลกของดนตรีอเมริกัน ในวันที่อินเตอร์เน็ตยังไม่ทรงพลังอย่างวันนี้ จะมีอะไรที่เป็นสื่อได้ดีกว่าแผ่นเสียงดีๆ สักแผ่นและเพื่อนร่วมฟังเพลงที่เพิ่งรู้จักกันในร้าน และการได้เห็นพื้นที่เหล่านี้ปิดตัวลงอย่างสงบ ท่ามกลางกระแสโลกที่เปลี่ยนไปวันต่อวัน จึงเป็นเรื่องที่ชวนให้ปวดหัวใจไม่น้อย

แต่การเกิดขึ้นและจากไปของ Tower Records คือสิ่งยืนยันได้ดีถึงการไม่อาจทวนกระแสเชี่ยวกรากของเทคโนโลยี รวมถึงการดิ้นรนเอาตัวรอดของคนในวงการดนตรี และเหนืออื่นใด นี่เป็นหนังที่ฉายให้เห็นเพื่อนร่วมงานที่รักและผูกพันลึกซึ้งยิ่งกว่าเพื่อนร่วมงาน ลูกค้าที่สนิทและวางใจพนักงานเสมือนเพื่อนอีกคนในชีวิต

และท้ายที่สุด-เหล่าคนบ้าพลังที่ร่วมกันก่อตั้งร้านขายเพลงที่เป็นมากกว่าร้านขายเพลง

กระทั่งกลายเป็นตำนานอยู่ในทุกวันนี้

 

The post ‘All Things Must Pass’-บันทึกหน้าประวัติศาสตร์ทางดนตรีจาก Tower Records appeared first on มติชนออนไลน์.

โลกสองวัย : ขอเชิญรับเสด็จ

$
0
0

วันนี้ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯไปทรงเปิดงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 44 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 14 เวลา 09.00 น. ณ ห้องบอลรูม ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ขอเชิญเฝ้าฯรับเสด็จโดยพร้อมเพรียงกัน งานเริ่มวันนี้ถึงวันที่ 10 เมษายน เวลา 10.00-21.00 น.

ปีนี้ สำนักพิมพ์มติชนมากับแนวความคิด “ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต”

น้องหนูรู้ไหมว่า ประวัติศาสตร์สัมพันธ์กับอนาคตอย่างไร

เบื้องต้นต้องรู้ก่อนว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ ทุกคนผ่านอดีตมาแล้วทั้งสิ้น เพราะอดีตคือปัจจุบัน

ความหมายของ อดีต ปัจจุบัน อนาคต มีนิยามอย่างง่าย ที่รับรู้กันทั่วไปว่า

อดีต คือ เมื่อวาน

ปัจจุบัน คือ วันนี้

อนาคต คือ พรุ่งนี้

ว่าอย่างนี้น้องหนูเห็นภาพชัดแจ้งไหมครับ

เรื่องของอดีต ปัจจุบัน และอนาคต นิยามที่น่าสนใจทางพุทธศาสนา บอกไว้ว่า อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ฉะนั้น ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

นั่นคือให้ทุกคนอยู่กับปัจจุบัน อย่าคิดถึงอดีตให้มากเรื่องมากความ อย่าหวังกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

แล้วทำไม สำนักพิมพ์มติชนจึงบอกว่า ประวัติศาสตร์คืออนาคต ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่า ประวัติศาสตร์คืออดีตที่ผ่านไปแล้ว

กระนั้น ทั้งที่รู้ว่าประวัติศาสตร์คืออดีต แต่ประวัติศาสตร์ไม่ใช่ความว่างเปล่า ที่เมื่อผ่านไปแล้วจะเลยไป หากแต่ยังมีร่องรอยให้เราได้รู้ได้เห็น ที่สุดคือได้ศึกษาว่าเหตุการณ์ที่ผ่านเลยไปแล้วนั้น ให้อะไรกับเราบ้าง

การเรียนประวัติศาสตร์ หรือเรียนรู้เรื่องในอดีตจึงมีความสำคัญ อย่างน้อยจะได้รู้ได้ทราบว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมจึงเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้นแล้วผลคืออะไร

ก่อนไปถึงรายการหนังสือที่เป็นทั้งประวัติศาสตร์และอนาคต ขอแจ้งรายการอภิปรายตั้งแต่วันนี้

อังคารที่ 29 มีนาคม 13.00-17.00 น. มีตติ้ง รูม 2 พบกับ เลอทัด ศุภดิลก วรมน ดำรงศิลป์สกุล เกตุวดี Marumura หัวข้อ Online Marketing การตลาดยุคใหม่สไตล์ไทย จีน ญี่ปุ่น ผู้ดำเนินรายการคือ ถนอม เกตุเอม

เวทีเอเทรียม 14.00-15.00 น. ฟัง ธงทอง จันทรางศุ กับ ธงชัย ลิขิตพรสวรรค์ ว่าด้วยเรื่อง “เจ้าฟ้า เจ้าชาย ในพระพุทธเจ้าหลวง”

เสาร์ที่ 2 เมษายน 13.00-17.00 น. มีตติ้ง รูม 4 หัวข้อ สงครามลับ ก่อการร้าย และความตื่นกลัว วิทยากร จรัญ มะลูลีม กฤติกร วงศ์สว่างพานิช พัตน์ พงศ์พานิชย์ ผู้ดำเนินรายการ ปองขวัญ สวัสดิภักดิ์

จันทร์ที่ 4 เมษายน 13.00-14.00 น. เวทีเอเทรียม ฟัง เบื้องลึก เบื้องหลัง ในพระราชบันทึกเรื่อง “ประวัติศาสตร์ต้นรัชกาลที่ 6” จาก วรชาติ มีชูบท กับ วัฒนะ บุญจับ

พุธที่ 6 เมษายน 13.00-14.00 น. หัวข้อ The Selfish Gene ยีนเห็นแก่ตัว โดย เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ กับ นำชัย ชีววิวรรธน์

พฤหัสบดีที่ 7 เมษายน 17.00-18.00 น. เรื่อง Slow Success ยิ่งใหญ่ได้ด้วยก้าวเล็กๆ วิทยากร เกตุวดี กับ วสุ Marumura ผู้ดำเนินรายการคือ สุภชัย สุชาติสุธาธรรม

ศุกร์ที่ 8 เมษายน 12.00-13.00 น. เรื่อง มฤตยูทับดวงเมือง ประเทศไทย…อะไรจะเกิดขึ้น ?

วิทยากร ฟองสนาน จามรจันทร์ ผู้ดำเนินรายการ ธนกร วงษ์ปัญญา

ทั้งนี้ หนังสือหลายเล่มของสำนักพิมพ์มติชน ชุด “ประวัติศาสตร์คืออนาคต” ในแต่ละเรื่องที่พูดให้ฟังก่อน แล้วไปหาหนังสือจากสำนักพิมพ์มติชนมาอ่านทบทวนนะจ๊ะ น้องหนู

 

The post โลกสองวัย : ขอเชิญรับเสด็จ appeared first on มติชนออนไลน์.

ฮือฮาโรงพักสมัย ร.5 อายุ 115 ปี คาดเก่าสุดในประเทศ เล็งทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น(คลิป)

$
0
0

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ อ.สรรพยา จ.ชัยนาท มีอาคารโรงพักของตำรวจ สมัยรัชกาลที่ 5 คาดว่ามีอายุกว่า 100 ปี และถือว่าเก่าแก่สุดในประเทศ โดยทางราชการเตรียมทำเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงเรื่องราวประวัติศาสตร์ท้องถิ่น เพื่อให้คนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวได้เข้าชมและศึกษา โดยอาคารดังกล่าวเป็นอาคารทรงปั้นหยา เป็นอาคารที่ทำการสถานีตำรวจภูธรอำเภอสรรพยาหลังเก่า ปัจจุบันไม่ได้ใช้งานแล้ว ซึ่งอาคารหลังดังกล่าวตั้งอยู่บนที่ดินราชพัสดุ ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก ภายในชุมชนตลาดสรรพยา ตามประวัติการจัดสร้างของรายการพัสดุของสถานีตำรวจภูธรสรรพยา ระบุว่าอาคารหลังนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2444 หรือเมื่อ 115 ปีก่อน ในสมัยของ พ.ต.อ.พระยาสกลสรศิลป์ ผู้บังคับการมณฑลนครสวรรค์ ตรงกับสมัยของพระยาศรีสิทธิกรรม ดำรงตำแหน่งนายอำเภอสรรพยา โดยลักษณะอาคารเป็นอาคารทรงปั้นหยา ชั้นเดียวยกพื้นสูง มีมุกหน้า เสาเป็นไม้เต็ง ฝาอาคารเป็นไม้กระยาเลย พื้นทำจากไม้ตะแบก มุงด้วยกระเบื้องแบบโบราณ เมื่อนับอายุแล้วอาคารหลังนี้ถือว่าเป็นโรงพักตำรวจที่เก่าแก่ที่สุดที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน

พ.ต.อ.ณัฐพงษ์ มั่นคง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรสรรพยา เปิดเผยว่าเทศบาลตำบลสรรพยาได้มีแนวคิดที่จะร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการบูรณะและปรับปรุงอาคารดังกล่าวเพื่อใช้เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์จัดแสดงประวัติศาสตร์ท้องถิ่นสรรพยา เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับคนในชุมชนและนักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าเร็วๆ นี้จะสามารถเปิดให้เข้าชมได้ โดยผู้ที่สนใจจะมาเยี่ยมอาคารโรงพักเก่าแก่สมัยรัชกาลที่ 5 สามารถเดินทางมาได้ทุกวัน หรือสอบถามเส้นทางได้ที่สถานีตำรวจภูธรสรรพยา หมายเลขโทรศัพท์ 0-5649-9201 หรือติดต่อเทศบาลตำบลสรรยา 0-5649-9134

The post ฮือฮาโรงพักสมัย ร.5 อายุ 115 ปี คาดเก่าสุดในประเทศ เล็งทำพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น(คลิป) appeared first on มติชนออนไลน์.

ประวัติศาสตร์ คืออนาคต

$
0
0

บอกไปแล้วว่า ทำไมสำนักพิมพ์มติชนมากับแนวคิด “ประวัติศาสตร์ คืออนาคต” หัวข้อการอภิปรายในแต่ละวันที่แจ้งให้ทราบแล้วเมื่อวานนี้ เป็นคำตอบได้ดี

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปแล้วมีเรื่องอะไรบ้างที่น่าจะย้อนรอยกลับมาเป็นเหตุการณ์ปัจจุบัน แม้จะไม่เป็นไปอย่างนั้นทุกย่างก้าว แต่อาจเป็นเรื่องที่ย้อนรอยได้ ดังเช่นกล่าวกันว่า อย่าให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

หมายถึง อย่าให้เหตุการณ์ในอดีตกลับคืนมาเหมือนเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

อย่างหนังสือหลายเล่มที่สำนักพิมพ์มติชนจัดพิมพ์ในปีนี้ เช่น

เบื้องลึกเบื้องหลังในพระราชบันทึก เรื่อง “ประวัติต้นรัชกาลที่ 6” น้องหนูไม่อยากรู้หรือว่า ในสมัยรัชกาลที่ 6 เกิดอะไรขึ้นบ้าง ผู้บันทึกเรื่องไว้อย่างละเอียดคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งทรงบันทึกเหตุการณ์และความคิดด้วยพระองค์เอง

หนังสือ (ลด) ราคา 196 บาท

อีกเล่ม เกิดขึ้นในรัชกาลเดียวกัน “การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ 6” น้องหนูไม่อยากรู้หรือว่า สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่เริ่มมีคนไทยไปเล่าเรียนจากต่างประเทศ คิดอะไร และคิดอย่างไร โดยเฉพาะพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอีกพระองค์หนึ่งที่มีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศเช่นเดียวกับพระบรมวงศานุวงศ์ในสมัยนั้น ราคา 217 บาท ลดแล้วเช่นกัน

งานหนังสือ

ส่วนเล่มนี้ “ราษฎรสามัญหลังวันปฏิวัติ 2475” ผู้เขียนคือ ศราวุฒิ วิสาพรม น่าสนใจมาก เพราะน้องหนูไม่เพียงแต่รู้ว่าวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันอะไร เกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในวันนั้น หลังจากนั้นมีใครบันทึกไว้มากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะผู้บันทึกเป็นเพียงสามัญชน หรือราษฎรสามัญคนหนึ่ง ราคา 204 บาท

อีกเล่มหนึ่ง เพิ่งออกจากแท่นพิมพ์ “ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” เป็นเรื่องในวงเสวนาเมื่อ พ.ศ.2555 นี้เอง ภาณุ ตรัยเวช นำมาเขียนให้ได้อ่านกัน ราคาลดแล้วเหลือ 272 บาท

อ่านเรื่องจีนมานานนับหลายสิบปี เสถียร จันทิมาธร เรียบเรียงรวบรวมประวัติศาสตร์จีนออกมาหลายเล่ม “วิถีแห่งอำนาจ โจโฉ” เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ขูดออกมาจากวรรณกรรมจีนเลื่องชื่อ “สามก๊ก” เล่มนี้บอกไว้บนหน้าปกว่า ไม่ว่าเขาจะเป็น “ทรราช” หรือ “รัฐบุรุษ” แต่ในทางการเมือง เขาคือบุคคลผู้เกรียงไกรที่สุดใน “สามก๊ก” ผู้เขียนว่าไว้ในคำนำว่า ทำไมต้อง “โจโฉ” ทำไมต้อง “สุมาอี้” เท่านี้ก็น่าติดตามตั้งแต่หน้าแรกจนหน้าสุดท้ายชนิดวางไม่ลงแล้วละครับน้องหนู

วิถีอำนาจ โจโฉ ราคา 240 บาท

เรื่องจีนอีกสองเล่ม ไม้เท้าตีสุนัข เล่ม 1 และเล่ม 2 กัวจิ้งอวี่ เขียน เรืองชัย รักศรีอักษร แปล ปูเรื่องไว้บนหน้าปกว่า “ไม้เท้าตีสุนัข ตีสุนัขบ้า ตีสุนัขชั่ว! พรรคกานจื่อ ปกป้องบ้านเมือง พิทักษ์ชาติ พัฒนาประเทศ!” หลังปกบอกว่า “ถึงครายุคสมัยเปลี่ยนผ่าน ประชาชนผู้รักชาติมิอาจนิ่งดูดาย สองมือเปล่าจับอาวุธลุกขึ้นสู้ ขับไล่ผู้รุกราน ปกป้องมาตุภูมิ”

ถึงไม่ใช่เหตุการณ์ปัจจุบัน แต่นับเป็นเรื่องสำคัญจากบทละครในอดีตที่น่าอ่าน โดยเฉพาะจากสำนวนแปลของ เรืองชัย รักศรีอักษร วรรณกรรมแปลอิงประวัติศาสตร์ เล่มละ 330 บาท

ไม้เท้าตีสุนัข

เรื่องจีนเล่มนี้ก็น่าอ่าน “ยอดกุนซือทะลุมิติ 4” เดินทางมาถึงเล่มที่ 4 มู่อี้ เขียน กระดิ่งหยก แปล การันตีจากเว็บไซต์ www.qidian.com น้องหนูที่อ่านเล่ม 1-3 มาแล้ว ไม่ควรพลาดเล่ม 4 นับแต่ เมิ่งเทียนฉู่เข้าไปพัวพันกับคดีหญิงงามที่ศพถูกกรีดใบหน้าจนไม่เหลือเค้าเดิม และคดีทารกแฝดเพศชายถูกแขวนคอห้อยลงจากขื่อคู่กัน เพียงสองเรื่องนี้ก็น่าอ่านน่าติดตามเรื่องอื่นต่อจนจบเล่มไม่รู้ตัว ราคา 240 บาท

อ่านเรื่องจีน น้องหนูอาจอยากรู้ภาษาจีน สำนักพิมพ์ทองเกษม นำเสนอ “เก่งศัพท์กับประโยค HSK ระดับ 1-4” คำศัพท์สำหรับสอบวัดระดับภาษาจีน แปลความหมายครบถ้วน พร้อมตัวอย่างประโยค เข้าใจง่าย จดจำได้ไว ใช้สอบได้จริง ถูกต้อง ละเอียด ราคา 165 บาท

The post ประวัติศาสตร์ คืออนาคต appeared first on มติชนออนไลน์.


รัฐพุทธมหายาน เก่าสุด อยู่ลุ่มน้ำมูล ในไทย ต้นแบบนครธม ในกัมพูชา

$
0
0

พระโพธิสัตว์สำริด (และประติมากรรมสำริดอีกจำนวนหนึ่ง) พบที่ปราสาทปลายบัด บนภูปลายบัด อ. ประโคนชัย จ. บุรีรัมย์

เนื่องเพราะดินแดนแถบนั้น นับถือพุทธศาสนามหายาน ตั้งแต่ยุคแรกรับพุทธศาสนาราวหลัง พ.ศ. 1000

บริเวณตอนต้นแม่น้ำมูล เริ่มตั้งแต่ลำตะคอง (นครราชาสีมา) ถึงลำปลายมาศ (บุรีรัมย์) รวมพื้นที่แถบทิวเขาพนมดงรัก ได้แก่ ภูพนมรุ้ง, ภูอังคาร, ภูปลายบัด

ล้วนนับถือพุทธแบบผสมผสานระหว่างมหายานกับเถรวาท (หีนยาน) ในวัฒนธรรมทวารวดี แบบเดียวกับลุ่มน้ำเจ้าพระยา ภาคกลาง ตั้งแต่ราวหลัง พ.ศ. 1000

ต่อไปข้างหน้า ราวหลัง พ.ศ. 1500 บริเวณตอนต้นแม่น้ำมูลจะมีศูนย์กลางสำคัญ นับถือมหายานอยู่ที่เมืองพิมาย [เป็นต้นแบบให้พระเจ้าชัยวรรมันที่ 7 สร้างปราสาทบายน ที่นครธม เนื่องในพุทธศาสนามหายาน]

ปราสาทพิมาย จะเป็นต้นแบบให้พระปรางค์ในรัฐละโว้, รัฐอโยธยา, และรัฐอยุธยา เช่น พระปรางค์วัดมหาธาตุ อยุธยา

พุทธมหายาน เมืองพิมาย เก่าสุดในลุ่มน้ำมูล

เมืองพิมาย มีปราสาทพิมายเป็นพุทธสถานฝ่ายมหายานเก่าแก่ที่สุดในอีสาน [เก่าแก่กว่ามหายานที่ปราสาทบายน เมืองนครธมในกัมพูชา และปรางค์สามยอดเมืองละโว้ (จ. ลพบุรี)]

หลักฐานทางโบราณคดีทั้งเทวรูปโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ซึ่งพบที่บ้านโตนด (อ. โนนสูง จ. นครราชสีมา) ก็ดี รวมทั้งปราสาทพิมายที่สร้างเนื่องในพุทธศาสนาลัทธิมหายานก็ดี ล้วนแสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองในบริเวณนี้ให้ความสำคัญกับพุทธศาสนามหายาน

บริเวณ นี้คือเขตแดนที่เรียกว่ามูลเทศะ มีเมืองสำคัญเรียกว่าภีมปุระ ซึ่งต่อมาก็คือ วิมายปุระ [หรือเมืองพิมาย] ตามหลักฐานจารึกโบราณในสมัยก่อนเมืองพระนครและสมัยเมืองพระนคร

บริเวณ เมืองพิมายตามลำน้ำสาขาของแม่น้ำมูล (เช่น ลำห้วยแถลง, ลำนางรอง, และลำปลายมาศ) ไปจนถึงเขตเขาพนมรุ้ง จ. บุรีรัมย์ พบชุมชนโบราณที่มีคูน้ำล้อมรอบหลายแห่งเป็นระยะๆ ไป บางแห่งมีพัฒนาการมาตั้งแต่ราว พ.ศ. 1-500 แล้วเติบโตเป็นบ้านเมืองในสมัยทวารวดี ราวหลัง พ.ศ. 1000 เช่น บ้านเมืองฝ้าย, บ้านผไทรินทร์, บ้านกงรถ เป็นต้น

ชุมชนโบราณ เหล่านี้มักพบศาสนสถาน, พระพุทธรูป, พระโพธิสัตว์ ฯลฯ ในพุทธศาสนามหายาน ในสมัยทวารวดีมีทั้งหินและสำริด ล้วนเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของบ้านเมืองจากเขตพิมายไปถึงเขต พนมรุ้ง อันเป็นเส้นทางโบราณที่จะผ่านช่องเขาในทิวเขาพนมดงรัก ลงสู่เมืองพระนครบริเวณที่ราบต่ำในกัมพูชา

(ซ้าย) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสำริด ที่ The Metropolitan Museum of Art นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (กลาง) ป้ายจัดแสดงระบุชัดเจนว่ามาจากปราสาทเขาปลายบัด จ. บุรีรัมย์ (ถ่ายโดย ดร. รังสิมา กุลพัฒน์ นักวิจัยประจำแคโรไลนา เอเชีย เซ็นเตอร์ มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา) (ขวา) เศียรพระโพธิสัตว์ หล่อด้วยสำริด (สัญลักษณ์ที่ผมหายไป) เกล้าผมทรงชฎามงกุฎ มีพระมัสสุ (หนวด) อายุราว พ.ศ. 1200 ฝีมือช่างเขมรแบบไพรกเม็ง (จัดอยู่ในกลุ่ม "ประติมากรรมแบบประโคนชัย") พบที่บ้านโตนด อ. โนนสูง จ. นครราชสีมา (จัดแสดงในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)
(ซ้าย) พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรสำริด ที่ The Metropolitan Museum of Art นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา (กลาง) ป้ายจัดแสดงระบุชัดเจนว่ามาจากปราสาทเขาปลายบัด จ. บุรีรัมย์ (ถ่ายโดย ดร. รังสิมา กุลพัฒน์ นักวิจัยประจำแคโรไลนา เอเชีย เซ็นเตอร์ มหาวิทยาลัยนอร์ธ แคโรไลนา) (ขวา) เศียรพระโพธิสัตว์ หล่อด้วยสำริด (สัญลักษณ์ที่ผมหายไป) เกล้าผมทรงชฎามงกุฎ มีพระมัสสุ (หนวด) อายุราว พ.ศ. 1200 ฝีมือช่างเขมรแบบไพรกเม็ง (จัดอยู่ในกลุ่ม “ประติมากรรมแบบประโคนชัย”) พบที่บ้านโตนด อ. โนนสูง จ. นครราชสีมา (จัดแสดงในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)

เขตภูเขาไฟบุรีรัมย์

จ. บุรีรัมย์ ตามทิวเขาพนมดงรัก บริเวณเคยเป็นภูเขาไฟมาก่อน มีภูเขาไฟลูกเล็กๆ ที่ดับแล้วหลายแห่ง ได้แก่ ภูพนมรุ้ง, ภูปลายบัด, ภูอังคาร ฯลฯ
บนยอดภูมีร่องรอยของศาสนสถานที่เป็นปราสาทขอมแทบทุกแห่ง ยกเว้นที่ ภูอังคารเป็นศาสนสถานมีเสมาหินสลักภาพเทวรูปปักรอบ เสมาหินทำขึ้นเนื่องในระบบความเชื่อที่มีมาก่อนการสร้างปราสาทบนภูพนมรุ้ง

ส่วนบนภูปลายบัดแม้จะมีปราสาทขอม แต่มีกรุบรรจุพระพุทธรูปกับเทวรูปสำริด ในคติมหายานแบบที่พบที่บ้านเมืองฝ้ายกับที่บ้านโตนดเป็นจำนวนมาก แต่มีผู้ลักลอบขนไปขายให้ชาวต่างประเทศเกือบหมด มีรอดพ้นและตามคืนได้แล้วรักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจำนวนไม่มากนัก

บรรดาพระพุทธรูปและเทวรูปเหล่านี้ก็คือรูปเคารพของผู้คนในบ้านเมืองตั้งแต่เขตพิมายเรื่อยไปจนถึงเขตพนมรุ้ง ก่อนนับถือศาสนาฮินดูแบบเมืองพระนคร

ปราสาทปลายบัด 2 ยังมีร่องรอยหลุมขนาดใหญ่จากการลักลอบขุดเมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมา
ปราสาทปลายบัด 2 ยังมีร่องรอยหลุมขนาดใหญ่จากการลักลอบขุดเมื่อราว 50 ปีที่ผ่านมา

พิมาย ลุ่มน้ำมูล แหล่งเดิมบรรพชน “ขอม”

หลัง พ.ศ. 1500 วัฒนธรรมขอม (เขมร) จากโตนเลสาบ กัมพูชา แผ่ถึงแอ่งโคราช เข้าสู่อีสานและโขง-ชี-มูล

ขณะเดียวกัน การค้าโลกขยายกว้างขึ้น เพราะจีนค้นพบเทคโนโลยนีก้าวหน้าทางการเดินเรือทะเลสมุทร ส่งผลให้บริเวณสองฝั่งโขง-ชี-มูล ที่มีทรัพยากรมั่งคั่งต่างเติบโตมีบ้านเมืองแพร่กระจายเต็มไปหมด

รวมถึงเมืองพิมาย ซึ่งตั้งอยู่ขอบทุ่งกุลาร้องไห้ แล้วมั่งคั่งขึ้นจากการค้าเกลือและเหล็ก

ต้นวงศ์กษัตริย์กัมพูชาอยู่ลุ่มน้ำมูล เพราะบริเวณต้นน้ำมูลตั้งแต่เขตปราสาทพนมวัน, ปราสาทพิมาย, ปราสาทพนมรุ้ง เป็นถิ่นเดิมหรือถิ่นบรรพชนเกี่ยวดองเป็น “เครือญาติ” ของกษัตริย์กัมพูชาที่สถาปนาอาณาจักรกัมพูชาขึ้นบริเวณโตนเลสาบ

ทำให้กษัตริย์อาณาจักรกัมพูชาขึ้นมาก่อสร้างปราสาทสำคัญๆ ไว้ในอีสานจำนวนมาก แต่ที่รับรู้ไปทั่วโลก คือปราสาทพระวิหารในกัมพูชา หันหน้าทางอีสาน และมีบันไดทางขึ้นลงยื่นยาวเข้ามาในไทยทาง จ. ศรีสะเกษ

รัฐเอกเทศในอีสาน

อีสานยุคดั้งเดิม ไม่ได้มีการเมืองการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หรือเป็นอาณาจักรเดียวกัน

แต่มีลักษณะเป็นรัฐเอกเทศหลายรัฐที่เกี่ยวดองเป็นเครือญาติ ซึ่งวิชาการสมัยใหม่เรียก มัณฑละ ดังนี้

1. บริเวณตอนต้นแม่น้ำมูล มีมัณฑละศรีจนาศะ ตั้งแต่นครราชสีมาถึงบุรีรัมย์ นับถือพุทธมหายาน

[เกี่ยวกับมัณฑละศรีจนาศะ มีคำอธิบายอย่างละเอียดอยู่ในวารสารเมืองโบราณ (ปีที่ 42 ฉบับที่ 1) มกราคม-มีนาคม 2559]

2. บริเวณตอนปลายแม่น้ำมูล หรือจุดรวมโขง-ชี-มูล มีรัฐเจนละ ตั้งแต่อุบลราชธานีและปริมณฑล ได้แก่ สุรินทร์, ศรีสะเกษ, ยโสธร ฯลฯ

3. บริเวณลุ่มน้ำชี ตั้งแต่ชัยภูมิ, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์ ฯลฯ นับถือพุทธเถรวาท

4. บริเวณสองฝั่งโขงอีสานเหนือ มีรัฐศรีโคตรบูร มีเวียงจันเป็นศูนย์กลาง นับถือพุทธเถรวาท

The post รัฐพุทธมหายาน เก่าสุด อยู่ลุ่มน้ำมูล ในไทย ต้นแบบนครธม ในกัมพูชา appeared first on มติชนออนไลน์.

มหกรรม ‘เพชรบุรี..ดีจัง’สื่อ-สร้าง-สาน เปิดพื้นที่เยาวชนต้นแบบ

$
0
0

ถึงวันนี้เล็กไม่ได้แล้วสำหรับงาน “เพชรบุรี..ดีจัง” ที่มีจุดเริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2554 ห้วงปีแรกหวังแค่ให้ “เพชรบุรี..ดีจัง” เป็นงานปลุกชุมชนสองริมฝั่งแม่น้ำเพชรบุรีและบริเวณโดยรอบในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรีให้ตื่นรู้ในแง่มุมรักษ์ถิ่นกำเนิด การอนุรักษ์ และเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมประจำถิ่น

ปีต่อมาขยายวงออกไปเชิญชวนเยาวชนในพื้นที่สร้างสรรค์ทั้ง 8 อำเภอใน จ.เพชรบุรี รวมกว่า 20 กลุ่มให้เข้ามามีส่วนร่วมเป็นเครือข่ายและดำเนินกิจกรรมในแนวทาง “เพชรบุรี…ดีจัง” อย่างเป็นรูปธรรม

เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับเครือข่ายเยาวชนของจังหวัดต่างๆ ที่มีรูปแบบงานแนวทางเดียวกันนำกิจกรรมมาร่วมงาน “เพชรบุรี..ดีจัง” ในลักษณะเหย้า-เยือน

ผู้ใหญ่ใจดีที่ให้การสนับสนุนด้านทุนดำเนินงานคือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. และองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เพชรบุรี นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน (สสย.), สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเพชรบุรี, เทศบาลเมืองเพชรบุรี, สถาบันอาศรมศิลป์, วัดใหญ่สุวรรณาราม และสถานีตำรวจภูธรเมืองเพชรบุรี ด้วยดีเสมอมา

งาน “เพชรบุรี..ดีจัง” ในแต่ละปีมีชื่องานต่อท้ายเปลี่ยนกันไป เพื่อให้มีความหมายและสอดคล้องกับรูปแบบงาน

เพชรบุรี02

งานปีนี้ชื่อ “เพชรบุรี..ดีจัง ฯลฯ” ที่ต้องมีเครื่องหมาย “ไปยาลใหญ่” ต่อท้าย เนื่องจากกิจกรรมขยายตัวมากขึ้น หลากหลายขึ้น การเรียนรู้ศิลปวัฒนธรรมชุมชนแตกแขนงไปจากเดิมมากมาย

งานแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ “เพชรบุรี..ดีจัง! Forum” วันที่ 18 มีนาคม ทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็นที่วัดใหญ่สุวรรณาราม เป็นการชุมนุมพบปะของศิลปิน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ มีเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ประวัติศาสตร์และงานศิลปะ โดยนายเอนก นาวิกมูล นักค้นคว้าข้อมูลประวัติศาสตร์และคณะ

มีนิทรรศการผลงานของบุคคลและกลุ่มบุคคลที่ใช้เมืองเพชรบุรีเป็นแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบต่างๆ ถ่ายทอดออกมาเป็นหุ่นจำลอง ภาพถ่าย ภาพเขียน เวอร์นาด็อก หนังสือ และผลงานรูปแบบอื่นๆ นิทรรศการชุด “พิศเมืองเพชร” ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เปิดซุ้มกิจกรรมเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมให้เยาวชนและพ่อแม่ผู้ปกครองและผู้ร่วมงานได้มีกิจกรรมร่วมกัน ช่วงค่ำมีเวทีการแสดง อาทิ หุ่นเงาละครชุมชน ของนักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปากร วงดนตรีทีเค แบนด์ นำโดย พี่จุ้ย-ศุ บุญเลี้ยง การแสดงหนังใหญ่วัดขนอน จ.ราชบุรี

สำหรับวันที่ 19-20 มีนาคม กิจกรรมมีขึ้นที่ใจกลางเมืองเพชรบุรี โดยใช้ชุมชนสองฝั่งแม่น้ำเพชร เขตเทศบาลเมืองเพชรบุรี ในพื้นที่ ต.ท่าราบ และ ต.คลองกระแชง เป็นที่จัดงาน

ฝั่งท่าราบตลอดแนวริมน้ำย่านตรอกบ้านนารายณ์ไปจนจรดตลาดทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีกลิ่นอายชุมชนชาวจีนเก่า นำเสนอวิถีชีวิตชุมชนชาวจีน นิทรรศการภาพถ่ายเก่าเมืองเพชร สินค้า อาหาร และขนมโบราณย้อนยุค

ส่วนฝั่งคลองกระแชง ตลอดแนวถนนคลองกระแชงริมแม่น้ำและสวนสุนทรภู่ วัดพลับพลาชัย มีกิจกรรมลานศิลปะ พื้นที่อ่านยกกำลังสุข กิจกรรมเท่าทันสื่อ ฯลฯ เชื่อมงานไปถึงบริเวณถนนริมน้ำหลังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดมีกิจกรรม “เทศบาลปันยิ้ม อิ่มเอม ทั้งเมือง” โดยเทศบาลเมืองเพชรบุรี ในจวนผู้ว่าฯเปิด “เรือนกฤษณา” ที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงใช้เป็นสถานที่ประทับ เปลี่ยนพระอิริยาบถเมื่อคราวเสด็จฯเยือน จ.เพชรบุรี ในเรือนมีของเก่าทรงคุณค่ามากมาย ให้ผู้สนใจเข้าไปเที่ยวชม

เพชรบุรี03

นอกจากสองฝั่งแม่น้ำเพชรบุรีแล้ว ตลอดแนวถนนดำเนินเกษม ฝั่งคลองกระแชง ตั้งแต่ลานน้ำพุข้างศาลากลางจังหวัดเพชรบุรีไปจนถึงหน้าวัดมหาธาตุวรวิหาร มีกิจกรรมน่าดูน่าชมตลอดแนวถนน อาทิ กิจกรรมชวนลูกทำของเล่น โดยเครือข่ายศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 3 องค์กรท้องถิ่นใน จ.เพชรบุรี, กลุ่มกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์สำหรับเด็กจากรัฐปีนัง ประเทศมาเลเซีย, ศิลปหัตถกรรมจากเครือข่ายเยาวชนเพชรบุรี..ดีจัง จาก 8 อำเภอใน จ.เพชรบุรี ฯลฯ

กลางสี่แยกเพ็ชรนคร ถ.ดำเนินเกษม ตัด ถ.ชีสระอินทร์ และบนสะพานจอมเกล้า และลานสุนทรภู่ มีการแสดงของกลุ่มเยาวชนทั้งเวทีใหญ่และเวทีย่อย อาทิ หุ่นละครเล็ก โขน ของกลุ่มโรงโขนเพชรบุรี, ละครชาตรี ของกลุ่มละครชาตรีบ้านครูแอ๋ว, หนังตะลุง ของกลุ่มรากไทย, โขนรามเกียรติ์ ของกลุ่มโขนเด็กบ้านแหลม, ละครหุ่นคน ของกลุ่มละครหุ่นคนคณะแม่เพทาย, กลองยาวกะเหรี่ยง ของกลุ่มโผล่งเพชรตะนาวศรี, การแสดงวัฒนธรรมไทยทรงดำ ของกลุ่มรักษ์หนองปรงและกลุ่มรักษ์วัฒนธรรมบ้านเขากระจิว, ลิเกฮูลู ของกลุ่มจันทร์เสี้ยว ฯลฯ

นายจำลอง บัวสุวรรณ์ ผู้ประสานงานกิจกรรมเพชรบุรี..ดีจัง กล่าวว่า ตลอด 5 ปีของการจัดกิจกรรมได้เน้นย้ำให้เครือข่ายเยาวชนเป็นผู้วางแผนรูปแบบงาน ตนและคณะแค่ทำหน้าที่ให้คำปรึกษา กระทั่งวันนี้เยาวชนแต่ละกลุ่มเติบโตเป็นกำลังกล้าแข็ง สามารถขับเคลื่อนกิจกรรมได้เอง คณะทำงานสามารถแยกกิจกรรมเยาวชนออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ กลุ่มต้นแบบ กับกลุ่มขยายผล โดยกลุ่มต้นแบบเริ่มตั้งแต่ปี 2554 ส่วนกลุ่มขยายผลนับเนื่องจากปี 2555 เป็นต้นมา

“เราสามารถขยายพื้นที่การเรียนรู้จากบ้านบ้านเดียว เป็นการเรียนรู้ไปทั้งชุมชน สังเกตได้ว่าชาวบ้านตื่นตัวมาร่วมกิจกรรมกับเด็กมากขึ้น มีผู้มาเที่ยวชมงานมากขึ้น งบประมาณในการจัดงานยังคงได้รับการสนับสนุนจาก สสส. และ อบจ.เพชรบุรี เป็น 2 องค์กรหลักที่ไว้วางใจและคอยช่วยสนับสนุนกิจกรรมเราด้วยดีตลอดมา เชื่อว่าเด็กเครือข่ายนี้จะเป็นสื่อ สร้าง สาน ให้แก่เยาวชนรุ่นต่อไปและเป็นแม่แบบสำคัญให้แก่เยาวชนในพื้นที่อื่นที่สนใจด้วย” นายจำลองกล่าว

ด้านนายสนิท ขาวสอาด ผู้ว่าฯเพชรบุรี ประธานเปิดงานเมื่อตอนเย็นวันที่ 19 มีนาคม ณ เวทีบนพื้นที่กลางสะพานจอมเกล้า กล่าวถึงงานนี้ว่า งานนี้เป็นงานเรียนรู้ของนักเรียนนอกโรงเรียน 3 วันของการจัดงานถือว่าเป็นห้วงเวลาที่มีคุณค่าอย่างยิ่งของเยาวชนและผู้ปกครองเด็กที่มีโอกาสทำกิจกรรมดีๆ ร่วมกัน เครือข่ายเพชรบุรี..ดีจัง สามารถสานต่อกิจกรรมได้ต่อเนื่องกันถึง 5 ครั้ง และประสบความสำเร็จทุกปี ตนเป็นคนเพชรบุรีรู้สึกภาคภูมิใจกับกิจกรรมดีๆ ที่เกิดขึ้นในแผ่นดินเมืองเพชร

รศ.จุมพล รอดคำดี ประธานคณะกรรมการบริหารแผน คณะที่ 5 ของ สสส. กล่าวว่า ติดตามงานนี้มาตั้งแต่ปี 2554 ปีนี้ก็มาเดินชมกิจกรรมทุกเส้นทางตลอดสองฝั่งแม่น้ำเพชร เห็นว่าวิถีชีวิตชุมชนและงานศิลปกรรมของที่นี่มีความเป็นเอกลักษณ์ แม้แต่ในแม่น้ำเพชรก็มีของดีอยู่จำนวนมาก เช่น ถ้วยโถโอชาม วัสดุโบราณอันมีคุณค่า ถูกงมนำขึ้นมาให้ชม ทั้งยังพบว่าวัด ชุมชน กลุ่มช่างเมืองเพชร สถาบันการศึกษา ให้ความร่วมมือกับงานนี้เป็นอย่างดี ได้มีโอกาสพบปะพูดคุยกับทุกเครือข่ายเยาวชนของที่นี่ เขามีความภาคภูมิใจในวิถีของแผ่นดินบ้านเกิดที่พรั่งพร้อมด้วยของดีมากมาย จุดนี้เองทำให้ สสส.เกิดแรงบันดาลใจที่จะให้การสนับสนุนกิจกรรมของพวกเขาเพื่อจะได้พัฒนางานต่อไป

รูปแบบงานที่นี่สามารถเป็นโมเดลให้แก่กลุ่มเยาวชนในจังหวัดอื่นมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ด้วย

“กิจกรรมเพชรบุรี..ดีจัง ในห้วงที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่าความสุขเริ่มต้นได้จากคนในชุมชนนั่นเอง สสส.มีความยินดีอย่างยิ่งที่ได้เข้ามาสนับสนุน เยาวชนที่นี่ขยันมาก มีความสามัคคีร่วมกันผลักดันสิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้นด้วยความคิดของพวกเขาเอง ผมมาทุกปี กิจกรรมปีนี้บอกได้เลยว่าผมประทับใจมาก” รศ.จุมพลกล่าว

“เพชรบุรี…ดีจัง” จะยังคงก้าวต่อไป โดยเยาวชน ของเยาวชน และเพื่อเยาวชน ในจังหวัดเพชรบุรี และเป็น “สื่อ สร้าง สาน” ต่อเนื่องเชื่อมโยงไปยังจังหวัดอื่นอย่างไม่รู้จบ

The post มหกรรม ‘เพชรบุรี..ดีจัง’ สื่อ-สร้าง-สาน เปิดพื้นที่เยาวชนต้นแบบ appeared first on มติชนออนไลน์.

โลกสองวัย : รู้อดีต รู้อนาคต

$
0
0

วันนี้สิ้นเดือนสาม พรุ่งนี้วันที่ 1 เมษายน อดีตก่อนพุทธศักราช 2484 หรือพุทธศักราช 2483 เป็นวันขึ้นปีใหม่ ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยกเลิกวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายน เป็นวันที่ 1 มกราคม เริ่มตั้งแต่พุทธศักราช 2483 ซึ่งคือพุทธศักราช 2484

เดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม ของพุทธศักราช 2483 จึงไม่มี เป็นเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ มีนาคม พุทธศักราช 2484 แทน

อาจเป็นเรื่องยุ่งยากของผู้ที่เกิดในสามเดือนนั้น เพราะไม่มีพุทธศักราช 2483 ให้นับอายุในปีนั้น จึงต้องนับวันเกิดในเดือนเกิดนั้นให้ครบ 12 เดือนแทน

งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติย่างเข้าวันที่สาม อย่าลืม “ประวัติศาสตร์ คืออนาคต” ของสำนักพิมพ์มติชน มีหนังสือที่บ่งชี้ว่าประวัติศาสตร์คืออนาคตอีกหลายเล่ม จัดพิมพ์ล่วงหน้าก่อนจะถึงสัปดาห์หนังสือปีนี้

จากอดีตที่กลายเป็นประวัติศาสตร์สำคัญบ่งชี้เหตุการณ์ปัจจุบัน เช่นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจากวันนั้นถึงวันนี้ คือเหตุการณ์รัฐประหารอันนับเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์การเมือง

รัฐประหาร พ.ศ.2490 จุดกำเนิดอำนาจนิยมของกองทัพ

สุชิน ตันติกุล เขียน ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ คำนำเสนอ

รัฐประหาร พ.ศ.2490 นำโดย จอมพลผิน ชุณหะวัณ นายทหารนอกราชการ มีกองทัพบกเป็นกำลังหลัก ทำให้คณะราษฎรหมดบทบาทในทางการเมืองตั้งแต่นั้นมา

หนังสือเล่มนี้เป็นการวิเคราะห์ที่มาที่ไปของการปฏิวัติครั้งนั้น ราคา 190 บาท

อีกเล่ม นัยว่าเพื่อแสดงเรื่องการนำของภาคลายพราง คือ  เสนาธิปไตย รัฐประหารกับการเมืองไทย

ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข ผู้จับงานทหารมาตั้งแต่เริ่มเขียนเชิง “ยุทธบทความ” นานนับสิบปี บทความเล่มนี้บ่งบอกว่า เมื่อรั้วของชาติประกาศคืนความสุข ประเทศไทยถูกย้อมด้วยลายพรางอีกครั้ง ย่อมไม่ใช่สิ่งเลวร้าย (แต่) ไม่ใช่สิ่งดีงาม กลับเดิมพันด้วยค่าใช้จ่ายทางการเมือง และมูลค่าความชอบธรรม

ทำไมนักเขียนผู้จับตาวงการสีเขียวลายพรางมานานนับจึงว่าอย่างนั้น หยิบหนังสือสองเล่มนี้มาอ่าน จะได้รับคำตอบ (เล่มนี้ราคา 220 บาท)

หนังสือสองเล่ม เล่มหนึ่ง บันทึกประเทศไทย ปี 2558 นับแต่วันที่ 1 มกราคม 2558 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีการบันทึกไว้อย่างเป็นระบบด้วยระเบียบของการบันทึกตามแบบฉบับการปฏิบัติหน้าที่หนังสือพิมพ์ ในรอบวันมีเหตุอะไรเกิดขึ้น บันทึกตั้งแต่เกิดเหตุกระทั่งจบเหตุ ว่าไปตามลำดับ อ่านง่าย ติดตามเหตุการณ์ตั้งแต้ต้นจนจบ หรือจนกว่าจะเหตุนั้นบรรเทาเบาบางลง

บันทึกประเทศไทย ปี 2558 เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องติดตามเหตุการณ์เพื่อนำไปวิเคราะห์เจาะลึกจากเหตุที่เกิดขึ้นนำไปสู่อนาคต ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และแวดวงเทคโนโลยีก้าวหน้า ราคา 400 บาท

อีกเล่มหนึ่ง ศาสตร์แห่งโหร 2559 หนังสือบ่งบอกอนาคตผ่านสายตาและการวิเคราะห์จากดวงดาวซึ่งบอกอนาคต การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ รับประกันคุณภาพสู่ปีที่ 35 ราคา 200 บาท

โหราจารย์ที่สำนักพิมพ์มติชนนำมาให้ทำนายทายทักอนาคต ล้วนแล้วแต่ผ่านการเคี่ยวกรำเหตุการณ์จากอดีตถึงปัจจุบัน จากการตรวจดูความเคลื่อนไหวของดวงดาวทั้งบนท้องฟ้าและบนจักรราศี มีอาทิ

โสรัจจะ นวลอยู่ หมอทรัพย์ สวนพลู พัฒนา พัฒนศิริ ศ. ดุสิต บุศรินทร์ ปัทมาคม ฟองสนาน จามรจันทร์ ธณัทอร กุลานุพงศ์ หมอขวัญ แม่นเว่อร์ และ อ.แป๊ะ-สรกฤช วัชรบูลย์ พงศ์ศุภนิมิต ผู้เชี่ยวชาญศาสตร์กบฏฮวงจุ้ยแห่งประเทศไทย

อยากทราบว่าเมื่อ 365 วันที่ผ่านมาในปี 2558 เป็นอย่างไร มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น อ่าน บันทึกประเทศไทย ปี 2558 อยากรู้อนาคต 366 วันในปี 2559 อ่าน ศาสตร์แห่งโหร 2559 รู้อดีตรู้อนาคต

The post โลกสองวัย : รู้อดีต รู้อนาคต appeared first on มติชนออนไลน์.

“ใจสู่ใจ”ปฏิวัติความมั่นคงภายใน หลายชีวิตหลังกำแพงคุก ผู้ต้องขังหญิง

$
0
0

หลังกำแพงใหญ่มีลูกกรงและห้องสี่เหลี่ยมที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยมาตรการความปลอดภัยอย่างแน่นหนา ผู้คนที่อยู่รวมกัน แตกต่างทั้งที่มา มีเรื่องราวหลากหลาย แต่ด้วยเงื่อนไขแห่งกฎหมายด้วยวิธีการที่เรียกว่า “กระบวนการยุติธรรม” ทำให้ต้องมาอยู่ร่วมกัน สถานที่แห่งนี้ มันคือ “คุก” หรือเรียกกันว่า “เรือนจำ”นั่นเอง

มีโอกาสได้รับคำเชิญจาก ดร.ชเนตตี ทินนาม แห่งศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ให้เดินทางร่วมคณะเดินทางไปยัง “ทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่”

การมาครั้งนี้ เพื่อติดตามโครงการ “ใจสู่ใจ” : นวัตกรรมการสร้างการเปลี่ยนแปลงภายในเพื่อปฏิรูปภายนอก เป็นโครงการระยะที่สอง ต่อเนื่องจากโครงการระยะแรก โครงการนี้เกิดจากความคิดของคนกลุ่มหนึ่ง

ภายใต้ความร่วมมือ สสส. ศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล และทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่

ต่อไปนี้คือเรื่องราวบางส่วน ตลอดช่วงเวลา 8 เดือน ในห้องสี่เหลี่ยมบนชั้น 3 ของตึกขนาดใหญ่สูง 5 ชั้น ที่รวบรวมเอาเพื่อนสมาชิกหลังกำแพงสามสิบกว่าชีวิต นั่งล้อมวงสนทนา ทำกิจกรรมร่วมกันทุกเดือน เดือนละสี่วันต่อเนื่อง มีรูปธรรมของ “ใจสู่ใจ” ที่สังคมควรได้รับรู้ว่าที่มาที่ไป ตลอดจนความเปลี่ยนแปลงที่อาศัย “นวัตกรรม” ได้นำพวกเขาไปสู่เป้าหมายปลายทางอย่างไรบ้าง

ใจสู่ใจ

เกิดใหม่เมื่อได้เข้าคุก

อวยพร สุธนธัญญากร หัวหน้าทีมกระบวนกร โครงการ “ใจสู่ใจ” อธิบายว่า โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและมิติด้านในของสตรีต้องขัง ให้เห็นถึงคุณค่า ความสุข และพลังภายในที่แท้จริง โดยอาศัยกระบวนการเรียนรู้แนวจิตตปัญญา เพื่อให้สามารถเปลี่ยนแปลง และใคร่ครวญตัวเอง รวมทั้งเสริมพลังให้ผู้อื่นด้วย

“เราเชื่อมั่นในความเป็นมนุษย์ แต่ละคนที่เข้ามาอยู่ที่นี่มีประสบการณ์จากหลากหลายสาเหตุ การเข้ามาอยู่ในเรือนจำที่ขาดอิสรภาพ และมีกติกาที่ค่อนข้างเข้มข้น การทำงานกับผู้ต้องขังหญิง เพื่อเยียวยาจากภายใน เพื่อสร้างให้พวกเขา เข้าใจตนเองเพื่อที่จะเข้าใจผู้อื่น สร้างสภาวะรู้เนื้อรู้ตัว ใช้การฟัง ศิลปะ เพื่อให้ระบายออกมาจากจิตสำนึก เพราะหัวใจ ของสิ่งเหล่านี้ที่เราพยายามสร้างคือ เชื่อมั่นในคุณค่าของมนุษย์ เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง” อวยพรกล่าว

จากซ้าย อวยพร สุธนธัญญากร  , ดร.ชเนตตี ทินนาม, อารีรัตน์ เทียมทอง
จากซ้าย อวยพร สุธนธัญญากร , ดร.ชเนตตี ทินนาม, อารีรัตน์ เทียมทอง

ขณะที่ ดร.ชเนตตี ได้อธิบายให้เห็นปัญหาของผู้ต้องขังหญิงว่า เรื่องใหญ่ของนักโทษหญิง ภายใต้กรอบความเป็นเพศนั้น ต้องเผชิญกับความเครียดมากกว่าผู้ชาย กระบวนการสร้างความเปลี่ยนแปลงภายใน เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตด้วยความเบิกบาน ให้รู้จักความเปลี่ยนแปลง ซึ่งต้องเปลี่ยนจากภายในของเขา ให้สามารถเผชิญต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จึงเป็นกระบวนการถอดรู้จากใจสู่ใจที่ต้องลึกลงไปในแต่ละคน

“ยิ่งเมื่อสังคมภายนอกยังไม่เข้าใจพวกเขา ตีตราว่าเป็นคนที่ศีลธรรมต่ำ ยิ่งทำให้เกิดการลดทอนความเป็นคนลงไปอีก กระบวนการเหล่านี้จึงเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผู้ต้องขังด้วยตนเอง ให้มองโลกในเชิงบวก” ดร.ชเนตตีย้ำขยายความทิ้งท้าย

ศิลปะคือกระบวนการเรียนรู้หนึ่งสำหรับผู้ต้องขังเพื่อการเยียวยาจิตใจในลักษณาการของการถ่ายทอดอารมณ์ ความนึกคิดออกมาเป็นเรื่องราว “ศิลปะจากโลกหลังกำแพง” เพราะศิลปะเป็นเสมือนพื้นที่อิสระ ที่จะสามารถปลดปล่อยตัวตนออกมาให้สามารถมองเห็นตนเอง ระบายอารมณ์ ความรู้สึก ที่บางครั้งไม่สามารถอธิบายด้วยถ้อยคำ หรือเหตุผลได้

หรือกิจกรรม “หยดหมึก” เติมต่อรอยเปื้อนเพื่อสร้างสรรค์ โดยการแจกกระดาษสีขาวว่างเปล่าให้กับผู้เข้าร่วมกิจกรรม จากนั้นวิทยากรนำเอาสีดำไปป้ายลงบนกระดาษสีขาว เหมือนกับมันถูกแปดเปื้อน ซึ่งไม่อาจที่จะลบล้างให้ขาวสะอาดได้ดังเดิม แต่เราสามารถที่จะต่อเติมให้มันเป็นผลงานที่มาจากความสร้างสรรค์ เพื่อก่อกำเนิดความหมายใหม่จากตัวเรา เป็นต้น

“ไม่มีใครอยากทำผิด แต่ตอนทำก็รู้ แล้วรู้ว่าผลจะเป็นยังไง ตอนก้าวข้ามประตูเรือนจำ รับไม่ได้ หดหู่ แม้รู้ว่านี่คือผลที่ต้องรับ วันนั้นไม่เข้าใจ เคียดแค้น แต่วันนี้ เรียนรู้ ยอมรับ จะไม่ทำอีก พร้อมกับทบทวนตัวเองและได้ข้อสรุปบางอย่างว่าเหมือนได้เกิดใหม่เมื่อได้เข้าคุก” เสียงของผู้ต้องขังหญิงคนหนึ่งที่สะท้อนสิ่งที่ได้เรียนรู้จากอดีต

ขณะที่ผู้ต้องขังหญิงอีกคนเล่าในอีกมุมว่า

รู้ไหม? คุกให้อะไรอีก “คุกให้การพิสูจน์ความรัก นับแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ พ่อแม่ฉันคือคนที่รักฉันจริงแท้แน่นอนที่สุด” คนอื่นมาเยี่ยมมาหาบ้าง แต่พ่อแม่สม่ำเสมอ ไม่เคยหมดรักจากลูกที่ทุกคนเรียกว่า “คนเลว” คนนี้เลย

กว่า 8 เดือน ที่ความรู้สึกหลากหลายได้นำพาให้พวกเขาได้เรียนรู้ตัวเอง และความเข้าใจผู้อื่น สามารถที่จะตอบคำถามชีวิต ปฏิวัติความมั่นคงภายใน ผ่านการฟังด้วยหัวใจ การดูแลกันและกัน การพยายามฝึกรู้เนื้อรู้ตัว และตระหนักรู้ต่อคุณค่าแท้ของสิ่งต่างๆ รวมทั้งสิ่งที่มีความสำคัญต่อชีวิต จนในที่สุด…

“โครงการนี้ทำให้หนูรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่ากลัว ไม่มีอะไรในชีวิตน่าท้อถอย แต่มีเพียงอย่างเดียวคือ เมื่อได้ออกไปใช้ชีวิต หนูจะดูแลแม่และครอบครัวให้ดีที่สุด”

นี่คือเสียงที่ผู้ต้องขังหญิงบอกด้วยแววตาที่มุ่งมั่นระคนปนกับหยดน้ำนัยน์ตาที่ค่อยๆ ไหลออกมา

ไม่ต้องหาคำตอบอีกต่อไปว่า “ใจสู่ใจ” สำเร็จไหม

ย่างก้าวแห่งความเปลี่ยนแปลง

โครงการจบ แต่ชีวิตใหม่เริ่มต้นอีกครั้ง

ตลอด 8 เดือน ในห้องสี่เหลี่ยมบนชั้นสาม ตึกใหญ่สูง 5 ชั้น สามสิบกว่าชีวิตนั่งล้อมวงสนทนา ทำกิจกรรมทุกเดือน เดือนละสี่วันต่อเนื่องกัน และนี่คือผลผลิตรุ่นที่สอง

วันสุดท้ายของโครงการได้จัดให้ผู้ต้องขังหญิงพบกับครอบครัว โดยเปิดโอกาสให้บรรดาญาติๆ เข้ามาภายในทัณฑสถานได้

บรรยากาศวินาทีที่ญาติก้าวเข้ามาพาให้ต่อมน้ำตาทำงานอย่างอัตโนมัติ ต้องปลีกตัวออกไปยืนหลบมุมเฝ้ามองรอยยิ้ม อ้อมกอด และความห่วงใย ที่ถ่ายทอดให้แก่กันและกัน นานขนาดไหนไม่รู้ที่เขาไม่ได้พบกัน นานขนาดไหนไม่รู้ที่ไม่สัมผัสอ้อมกอดนั้น

ขณะที่อีกจำนวนหนึ่งในสามสิบกว่าชีวิต ไม่มีญาติมาพบ แต่แววตาของพวกเขาที่มองเพื่อนก็สื่อสารให้เข้าใจได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นถ่ายทอดมาสู่ “ใจและใจ” ของพวกเขาอย่างไร

แม้ไม่ได้พบในวันนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักกัน

pra01010459p2

วิทยากรท่านหนึ่งบอกกับผู้เขียนว่า “ภายใต้ตัวตนของคนเรา ไม่ว่าจะผ่านอะไรมาก็ตาม ความรักก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงหัวใจคนเราให้ยืนหยัดได้เสมอ ยิ่งจากคนใกล้ ที่ปัจจุบันขณะต้องไกลกัน ด้วยเงื่อนไขต่างๆ แต่ความรักก็ทำให้พวกเขานี้ มี “ความหวัง” ให้มองเห็นปลายทางที่สดใสได้”

อารีรัตน์ เทียมทอง ผู้อำนวยการทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ บอกว่า การที่สนับสนุนให้มีโครงการนี้ เพราะการที่จะรู้จักตัวเราต้องมาจากภายใน และต้องลึกลงไปถึงความรู้สึกภายใน ซึ่งมันออกมาโดยธรรมชาติของเขาเอง ผลของกิจกรรม ทำให้สามารถวางแผนให้กับผู้ต้องขังก่อนออกไปจากเรือนจำได้ การที่เขามาอยู่ในนี้ ความทุกข์เยอะ ความกดดันก็มีมาก ทุกคนมีความเปราะบางว่าจะอยู่ หรือจะตาย เมื่อต้องเข้ามาสู่สถานที่แห่งนี้ โครงการนี้ให้ความอิสระ ให้ความไว้วางใจ เราสบายใจกับผู้ต้องขังมากขึ้น เพราะที่นี่มีผู้ต้องขังจำนวนมาก ในขณะที่เจ้าหน้าที่มีจำนวนน้อยกว่า

แม้ว่าโครงการในระยะที่สองของผู้ต้องขังหญิง ในทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่จะจบลง แต่ก็ไม่ได้หมายถึงการเรียนรู้จะจบลงตามไป คงแต่เป็นการเริ่มต้นอีกก้าวใหม่ของชีวิต สามารถเข้าใจตนเอง เห็นคุณค่า และเข้าใจสังคมมากขึ้น

อย่างที่ผู้ต้องขังหญิงอีกคน เขียนบอกไว้ในกิจกรรมหนึ่งว่า เขาจะสร้างสะพานโดย “สะพานที่จะทอดไปในอนาคต จะใช้ความพยายามทั้งหมดที่มี จะใช้ความเข้าใจ ความอ่อนน้อมถ่อมตน ใจเย็น ตั้งใจและเริ่มปรับปรุงตัวเองใหม่ เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี เพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปสู่อนาคตของตนเอง”

สำหรับการสร้างความตระหนักในคุณค่าตัวเองให้กับสตรีผู้ต้องขังกว่าสามสิบชีวิตนั้น มองในเชิงปริมาณแล้วดูน้อยนิด เมื่อเทียบกับจำนวนผู้ต้องขังกว่าสองพันชีวิต แต่หัวใจของกระบวนการนอกจากผู้ต้องขังสามารถใคร่ครวญตัวเองแล้ว ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ เพื่อให้พวกเขาสามารถนำไปขยายผลต่อยอดเป็น “แกนนำ” โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นแรงสำคัญในการทำงานควบคู่กันไป

เชื่อว่าถ้าหากใครหลายคนได้มาสัมผัสกับกิจกรรมนี้ จะต้องบอกกับตัวเองว่ามิติการมองโลกของตัวเราช่างคับแคบเหลือเกิน

จะเป็นการดีกว่ามั้ยถ้าเราจะเรียนรู้ และทำความเข้าใจใหม่ให้กับตัวเอง ไปพร้อมๆ กับผู้ต้องขังหญิงเหล่านี้ด้วย

The post “ใจสู่ใจ”ปฏิวัติความมั่นคงภายใน หลายชีวิตหลังกำแพงคุก ผู้ต้องขังหญิง appeared first on มติชนออนไลน์.

‘พม่าระยะประชิด’ตีแผ่เรื่องราวชีวิตพม่าในไทย

$
0
0

“พม่า” ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์กับประเทศไทยมาอย่างยาวนาน

ปัจจุบันแรงงานชาวพม่าได้เข้ามาทำงานในประเทศไทยจำนวนมาก เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของไทยขับเคลื่อนไปได้

เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และสร้างความเข้าใจในสังคมไทยมากยิ่งขึ้น และก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มตัว สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ “มิวเซียมสยาม” จึงจัดนิทรรศการ “พม่าระยะประชิด” เพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ในอีกมุมมอง และเพื่อจะก้าวผ่านอคติด้านเชื้อชาติ ผ่านสิ่งที่นิทรรศการนำเสนอใน “ระยะประชิด”!!!

ภายในนิทรรศการนั้นแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ หนึ่ง โซน “เกสต์เฮาส์ (Guest (?s) House)” แกะรอยเส้นทางชีวิตของชาวพม่าในประเทศไทยผ่าน 3 ที่

ได้แก่ “ที่มา-ที่เป็นอยู่-ที่ไป” โดยที่มาคือการนำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการเดินทางเข้าสู่ประเทศไทย และค้นหาคำตอบว่า ชาวพม่ามีความหวังหรือความใฝ่ฝันอย่างไร จึงตัดสินใจเดินทางมายังประเทศไทย ที่เป็นอยู่คือการเผยกลยุทธ์การใช้ชีวิตระหว่างอยู่ในประเทศไทย ทั้งในแง่ของการสร้างเนื้อ

สร้างตัว การอยู่ร่วมกับสังคมไทย การปรับตัวและการใช้ชีวิตภายใต้อคติของคนไทยที่มีต่อพม่า

ฉัตรยอดเจดีย์ชเวดาจำลอง
ฉัตรยอดเจดีย์ชเวดากองจำลอง

โดยในส่วนนี้มีการอัญเชิญ “ฉัตรยอดเจดีย์ชเวดากองจำลอง” มาจากวัดเชิงเขา อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยได้มีประสบการณ์ร่วมและเป็นส่วนหนึ่งในประเพณีอันยิ่งใหญ่ของชาวพม่า

ส่วนที่ไปคือการจัดแสดงบทสัมภาษณ์สั้นๆ ของชาวพม่า เพื่อสะท้อนข้อคิดจากประสบการณ์การทำงานในประเทศไทย ทบทวนความฝันและการมองไปยังอนาคต

ขณะอีกโซนหนึ่งคือ โซนเกสเฮาส์ (Guess House) นำเสนอบทบาททวนมายาคติต่างๆ ของคนไทยที่มีต่อพม่าในแบบเรียนประวัติศาสตร์ของไทย รวมทั้งนำเสนอแง่มุมทางวัฒนธรรมที่ทั้งสองประเทศมีรากฐานกันอย่างน่าสนใจ ด้วยการนำเสนอผ่านลูกเล่นการเดา หรือการแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เห็นบางครั้งอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น โดยมีชาวพม่าคอยแนะนำตลอดการเข้าชม

.ราเมศ พรหมเย็น
ราเมศ พรหมเย็น

ราเมศ พรหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) หรือมิวเซียมสยาม กล่าวว่า หากมองภาพใหญ่ในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า อาจให้ความรู้สึกว่าทั้งสองชาตินี้มีความใกล้ชิดกัน แต่หากพิจารณาในแง่ของปัจเจกชนนั้นจะพบว่าความเข้าใจของคนไทยต่อชาวพม่าในไทยยังมีจำกัด

“ในขณะที่คนบางกลุ่มอาจมีกรอบอคติที่สร้างขึ้นจากความไม่เข้าใจ ซึ่งนับเป็นอุปสรรคสำคัญในการอยู่ร่วมกันภายใต้ประชาคมอาเซียน”

“ดังนั้น มิวเซียมสยามในฐานะองค์การจัดการความรู้ขนาดใหญ่ จึงได้เปิดตัวนิทรรศการ “พม่าระยะประชิด” เพื่อที่จะนำเสนอเรื่องราวชีวิตของชนชาวพม่าในประเทศไทย สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับพม่าให้เกิดขึ้นกับสังคมไทยในวงกว้าง และให้ทุกคนเปิดใจทำความรู้จักผู้คนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา”

นายราเมศกล่าวถึงรายละเอียดของนิทรรศการต่อว่า “พม่าระยะประชิด” จึงเป็นนิทรรศการที่ตีแผ่เรื่องราวชีวิตของชนชาวพม่าในประเทศไทยในแง่มุมต่างๆ อย่างลึกซึ้ง โดยมุ่งเน้นให้ผู้เข้าชมได้เรียนรู้จากการนำเสนอผ่านสื่อในรูปแบบต่างๆ ในระยะประชิด อาทิ ภาพนิ่ง ภาพเคลื่อนไหว และอินโฟกราฟิก ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Guest (?s) House” พื้นที่เล็กๆ แห่งการแลกเปลี่ยนและเรียนรู้สิ่งใหม่

“พม่าเป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มีความสัมพันธ์กับประเทศไทยในมิติต่างๆ มาอย่างยาวนาน ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ที่มีร่วมกัน ด้านเศรษฐกิจที่แรงงานชาวพม่านับล้านเข้ามามีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทย ด้านวัฒนธรรมที่มีความคล้ายคลึงกัน ไม่ว่าจะเป็นประเพณี ศาสนา หรืออาหาร รวมไปถึงด้านการเมืองและด้านการศึกษาที่ได้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-พม่า มาเป็นระยะเวลากว่า 67 ปี” นายราเมศกล่าวทิ้งท้าย

ตูซาร์ นวย
ตูซาร์ นวย

ในด้านของ ตูซาร์ นวย อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทยและภาษาตะวันออก คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกว่า 26 ปี ได้เล่าถึงอดีตที่เข้ามาประเทศไทย ว่า ตอนแรกพูดภาษาไทยยังไม่ได้ เมื่อถูกถามว่ามาจากไหน พอบอกว่ามาจากพม่า น้ำเสียงสีหน้าของคนถามเปลี่ยนทันที ถึงแม้ว่าต่อมาจะพอพูดภาษาไทยได้ แต่พอรู้ว่าเป็นคนพม่าสีหน้าของคนถามก็เปลี่ยนเช่นเคย แต่เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่ผ่านมาคนไทยเริ่มเปลี่ยนมองตนในแง่ที่ดีขึ้น

“ตอนเด็กๆ น้องสาวเคยโดนคุณครูให้ยืนบนเก้าอี้ทั้งวัน ที่สำคัญคุณครูเคยพูดประโยคหนึ่งว่า พม่าคือศัตรูของคนไทย เขาไม่อยากสอนเด็กคนนี้ ตอนนั้นเลยรู้ว่าคนไทยเกลียดพม่าขนาดไหน” ตูซาร์ นวย เล่าอดีตที่จำฝังใจ

ภาพบรรยากาศภายในนิทรรศการ
ภาพบรรยากาศภายในนิทรรศการ

ขณะที่ ธีรภาพ โลหิตกุล ศิลปินแห่งชาติ นักเขียนรางวัล “ศรีบูรพา” นักเขียนและช่างสารคดี ได้กล่าวว่า ถ้าเป็นคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนส่วนมากจะมองพม่าเป็นศัตรู เนื่องจากในอดีตหนังสือวิชาประวัติศาสตร์มักจะนำเรื่องราวสมัยสงครามมาประกอบการเรียน โดยมีรายละเอียดที่เน้นย้ำตลอดว่า เชลยจากอยุธยาที่ถูกกวาดต้อนไปถูกกดขี่อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ฝังใจคนในรุ่นก่อน

“คนรุ่นผมค่อนข้างฝังใจเรื่องนี้มาก ทั้งที่ในสมัยโบราณไทยก็ไปตีเมืองอื่นแล้วก็กระทำแบบนั้นเช่นกัน เพราะว่านั่นเป็นวิถีสงครามสมัยโบราณ แต่กลับไม่ได้ระบุไว้ในแบบเรียน

“ขณะที่เราเองก็เคยกวาดต้อนแรงงานชาวพม่า ชาวลาว ขุดคลอง โดนยุงกัดจนแสบเป็นที่มาของชื่อ คลองแสนแสบ”

ธีรภาพกล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันชาวพม่ากลับไม่ได้มองเราเป็นศัตรูขนาดนั้น เขามองว่าศัตรูของเขาคือเจ้าอาณานิคมที่มากดขี่พวกเขามากกว่า ที่สำคัญคือเขามองว่าสงครามในอดีตมันจบไปแล้ว

“การเปิดประชาคมอาเซียนเป็นเงื่อนไขให้เราได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ได้เปิดตาอีกข้างหนึ่งมองไปยังเพื่อนบ้านว่าเขาเป็นเช่นไร มีข้อดีอย่างไร และสงครามในประวัติศาสตร์ไม่ควรที่จะเอามาเกี่ยวข้องในปัจจุบันอีกต่อไป แม้ว่าอาจจะไม่สามารถลบล้างความคิดเห็นรุ่นก่อนว่าให้เลิกเกลียดชังเพราะเขาเรียนมาอย่างนั้น แต่ประชาคมอาเซียนจะทำให้คนรุ่นใหม่เริ่มต้นใหม่ในการที่จะเป็นเพื่อนกัน และแน่นอนคนรุ่นเก่าค่อยๆ สูญหายไปตามกาลเวลา

ชาวไทยเยี่ยมชมนิทรรศการ
ชาวไทยเยี่ยมชมนิทรรศการ

“90% ของแรงงานพม่ามาทำงานที่คนไทยไม่ทำ ปัจจุบันถ้าไม่มีแรงงานพม่ามาเสริมงานในส่วนต่างๆ อุตสาหกรรมของไทยอาจถึงขั้นล่มสลายได้

“เพราะฉะนั้นแรงงานพม่ามีส่วนสำคัญในการหนุนเสริมเศรษฐกิจไทย เช่นเดียวกับเศรษฐกิจไทยมีส่วนสำคัญที่ทำให้เขาหนีความยากจนมาเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน” ธีรภาพกล่าว

เริ่มทำความรู้จักกับพม่าประเทศเพื่อนบ้าน และ “ปรับทัศนคติ” ในระยะประชิด ได้ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2559 ที่มิวเซียมสยาม พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้

 

The post ‘พม่าระยะประชิด’ ตีแผ่เรื่องราวชีวิตพม่าในไทย appeared first on มติชนออนไลน์.

Viewing all 6405 articles
Browse latest View live