Quantcast
Channel: ประชาชื่น –มติชนออนไลน์
Viewing all 6405 articles
Browse latest View live

โลกสองวัย : บรรณสัญจร 2559

$
0
0

“วันที่หนึ่ง เมษายน วันประถมปีใหม่ แสงตะวัน เรืองรอง สว่างแจ่มใส เสียงระฆัง เหง่งหง่างก้อง ร้องทักทายมา ไตรรงค์ร่า ระเริงปลิว พลิ้วพลิ้วเล่นลม” (เริ่มเนื้อเพลง “เถลิงศก” เมื่อครั้งทางราชการไทยใช้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันปีใหม่ แล้วตามด้วยสร้อย)

“ยิ้มเถิดยิ้มเถิด นะหยิ่ม ยิ้มแย้มแจ่มใส สุขสำราญบานใจ ขอให้สวัสดี” เนื้อเพลงนี้ยังมีอีก 4 ท่อน พร้อมสร้อย วันหลังจะนำมาเสนอให้อ่านกัน

เพราะปีใหม่เมื่อก่อนจะเปลี่ยนเป็นวันที่ 1 มกราคม 2484 (2483) สนุกสนานพอสมควรแก่กาล เวลา ผู้ที่อายุอานาม ย่างขึ้นสะพานพระราม 8 น่าจะยังจดจำได้ดี ส่วนข้าพเจ้า (ผู้เขียน) ที่ยังพอจำได้บ้าง

วันที่ 1 เมษายน แม้ไม่เป็นวันขึ้นปีใหม่ แต่เป็นวันสำคัญของประเทศไทยตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงสถาปนาระบบราชการขึ้นใหม่ เป็นวันสถาปนากระทรวงทบวงกรมหลายแห่ง รวมทั้งทางรัฐบาลกำหนดให้เป็น “วันราชการ”

วันนี้ยังอยู่ระหว่างสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เป็นวันที่ 4 ตรงกับวันศุกร์ เชื่อว่าเย็นนี้น้องหนูจะไปเดินชมหาซื้อหนังสือที่เล็งเอาไว้หลายเล่ม เมื่อวานเงินเดือนของคุณพ่อคุณแม่คุณผู้ปกครองออก น้องหนูคงได้รับผลจากเงินเดือนไปด้วย หากไม่ได้รับเพิ่ม น้องหนูพึงเจียดเงินส่วนตัวของน้องหนูที่เก็บหอมรอมริบไว้ซื้อหนังสือออกมาใช้จ่าย เพื่อเสริมสร้างปัญญาให้กับตัวเอง

พรุ่งนี้ วันที่ 2 เมษายน เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขึ้นปีที่ 61 พวกเราจงพร้อมใจกันถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน

วันเดียวกัน มีบรรณสัญจร ประจำปี 2559 มีวัตถุประสงค์เพื่อเทิดพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กำหนดให้วันที่ 2 เมษายน เป็นวันรักการอ่าน มีภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่าน ให้น้องหนูได้เข้าถึงข่าวสารข้อมูลโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

โครงการบรรณสัญจร รณรงค์เชิญชวนให้ร่วมกันบริจาคหนังสือและสื่อส่งเสริมการอ่านให้แก่ห้องสมุดประชาชน และบ้านหนังสือในชุมชน ระดมสรรพกำลังร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมการอ่านทั่วประเทศ จัดหาหนังสือและสื่อสนับสนุนบ้านหนังสือในชุมชน 18,500 หลัง เพื่อการรับบริจาคหนังสือไม่น้อยกว่า 10 ล้านเล่ม มีจำนวนเครือข่ายร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่า 100 เครือข่าย

การเพิ่มหนังสือกับสื่อให้แก่ห้องสมุดประชาชนและบ้านหนังสือชุมชนจากภาคีเครือข่ายเพื่อทดแทนการจัดซื้อหนังสือพิมพ์รายวัน และวารสารที่ไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ

เพื่อให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน มีนิสัยรักการอ่าน ได้รับบริการส่งเสริมการอ่านอย่างเสมอภาค เท่าเทียม และเข้าถึงบริการส่งเสริมการอ่านที่สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สนับสนุน และได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน อาทิ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์มติชน เป็นต้น

ในส่วนของข้อตกลงกับบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) นอกจากจะมีการประชาสัมพันธ์ให้แล้ว ยังตกลงกันว่าผลที่เกิดจากการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างสำนักงาน กศน. และ “มติชน” ซึ่งต่างมีสิทธิประโยชน์ในการเผยแพร่เพื่อการเรียนรู้ของประชาชน และการดำเนินงานตามวัตถุประสงค์กรณีที่การผลิตหรืออนุญาตให้ใช้สิทธิเพื่อผลิตสื่อส่งเสริมการอ่านและการเรียนรู้อันมีลิขสิทธิ์ร่วมกัน

สำหรับห้องสมุดประชาชนทั่วประเทศ มี 747 แห่ง ห้องสมุดเฉลิมราชกุมารี 94 แห่ง และรอเปิดอีก 15 แห่ง กศน.ตำบลมี 7,424 แห่ง และบ้านหนังสืออีก 18,500 แห่ง

โครงการบรรณสัญจรจะดำเนินการจากนี้ 2 ปี เปิดโครงการพรุ่งนี้ 2 เมษายน “วันนักอ่านแห่งชาติ”

ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ขอเชิญบริจาคเงินซื้อหนังสือใหม่เพื่อโครงการนี้ และร่วมกันบริจาคหนังสือที่น้องหนูอ่านแล้ว เข้าร่วมโครงการบรรณสัญจร 2559 ให้น้องหนูที่อยู่ห่างไกลมีหนังสืออ่านเพิ่มมากขึ้น

 

The post โลกสองวัย : บรรณสัญจร 2559 appeared first on มติชนออนไลน์.


ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ ขอใช้สิทธิของมนุษยชาติ ‘ทวงคืน’โพธิสัตว์ประโคนชัย

$
0
0

“ไม่มีประติมากรรมสัมฤทธิ์ประโคนชัย ไม่มีราชวงศ์มหิธรปุระ”

นี่คือถ้อยคำที่ออกจากปาก ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ นักวิชาการอิสระผู้มีบทบาทในการให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ “พระโพธิสัตว์” สัมฤทธิ์ อายุกว่า 1,300 ปี ซึ่งถูกระบุว่าเคยประดิษฐานอยู่ ณ ปราสาทปลายบัด 2 บนเขาปลายบัด อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดบุรีรัมย์ ประติมากรรมล้ำค่าอันจุดชนวนการ “ทวงคืน” จากพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ให้กลับมายังแผ่นดินอันเป็นต้นกำเนิด

จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ เพียงข้อความในเฟซบุ๊กของคนเพียงไม่กี่คน ขยายผลมาสู่กระแสถาโถมในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กของกลุ่มคนที่สนใจในมรดกทางวัฒนธรรม รวมถึงเพจดังของบุรีรัมย์ ล้วนช่วยกันขยันแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับโบราณวัตถุดังกล่าว ซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากการศึกษาอย่างลุ่มลึกของนักวิชาการผู้นี้ที่ย้ำชัดว่า สนใจเรื่องราวของเขาปลายบัดมานานหลายปี ก่อนที่จะเกิดกระแสการทวงคืนโพธิสัตว์ เนื่องจากเล็งเห็นความสำคัญของพื้นที่ดังกล่าวซึ่งเชื่อว่าอาจเกี่ยวข้องกับอาณาจักรศรีจนาศะอันลึกลับ มีการลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านถึงการลักลอบขุดเมื่อกว่า 50 ปีก่อน

กระทั่งนำข้อมูลทั้งหมดไปมอบให้รองอธิบดีกรมศิลปากร และได้เป็นหนึ่งใน 2 วิทยากรหลักในงานเสวนาให้ความรู้เรื่อง “ประติมากรรมสัมฤทธิ์แบบประโคนชัย” ซึ่งสภาวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์ร่วมกับสำนักศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา และมหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย์ จับมือกันจัดขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา เพื่อเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับโบราณวัตถุกลุ่มหนึ่งในที่ราบสูงโคราช เดิมเชื่อว่ามีเฉพาะอำเภอประโคนชัย จึงเรียกว่าประติมากรรมแบบประโคนชัย

ล่าสุด มีชาวบ้านร่วมสวมเสื้อรูปโพธิสัตว์เพื่อแสดงเจตนารมณ์การทวงคืน และติดป้ายตามร้านรวงมีข้อความ “สำนึก สิทธิ หน้าที่ คนบุรีรัมย์ทวงคืนพระโพธิสัตว์สัมฤทธิ์ ปลายบัด 2 ประโคนชัย” รวมถึงเตรียมติดตั้งป้ายเรียกร้องให้บูรณะปราสาทปลายบัด 2 ซึ่งลงแรงวาดเองกับมือ

นับเป็นปรากฏการณ์ที่ทนงศักดิ์บอกว่า ชวนให้นึกถึงคราวทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ แม้จะไม่ครึกโครมเทียบเท่า แต่ก็สะท้อนถึงความรับรู้ในสิทธิทางวัฒนธรรม รวมถึงความตระหนักในคุณค่าของโบราณวัตถุโบราณสถานในบ้านเกิดของตน

จุดเริ่มต้นกระแสทวงคืน

มีน้องที่รู้จักกันคนหนึ่ง ไปค้นในอินเตอร์เน็ตพบว่าบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในต่างประเทศ นำประติมากรรมสัมฤทธิ์ออกมาประมูลขายในราคาหลักล้านโดยระบุว่ามาจากประโคนชัย บุรีรัมย์ เขาเลยเอามาโพสต์ในเฟซบุ๊ก ผมเห็นแล้วชัดเจนว่าเป็นประติมากรรมแบบประโคนชัยจริง ก็มีการพูดคุยกันผ่านเฟซบุ๊กเรื่องข้อมูลเชิงวิชาการ และความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ ส่วนกระแสเรื่องอยากได้คืนเกิดขึ้นทีหลัง เพราะโพสต์ของน้องคนนี้ถูกแชร์ออกไปเรื่อยๆ ต่อมามีคนอื่นๆ ไปค้นเพิ่มเติมอีกว่า มีประติมากรรมแบบนี้อีกหลายองค์ ที่ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อังกฤษ เยอรมนี ก็เอารูปมาเผยแพร่กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง องค์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโพลิแทน ซึ่ง ดร.รังสิมา กุลพัฒน์ นักวิจัยในสหรัฐ กรุณาถ่ายภาพส่งมาให้ดู ถือเป็นองค์ที่งามและสมบูรณ์ที่สุด มีขนาดใหญ่เท่าๆ คนจริง ทำให้เป็นที่ฮือฮามาก ทำให้หลายคนเกิดความคิดว่าอยากขอคืนมาไว้ในเมืองไทย นอกจากนี้ ยังมีคนอื่นๆ ที่สนใจด้านนี้ เช่น โชติวัฒน์ รุญเจริญ ซึ่งจบจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร เผยแพร่ข้อมูลต่างๆ สม่ำเสมอผ่านเฟซบุ๊ก คนก็เริ่มสนใจมากขึ้นจนมีกระแสอย่างที่เป็นอยู่

ทำไมบอกว่าปราสาทปลายบัด 2 สำคัญกว่าพนมรุ้งและเมืองต่ำ

เพราะปราสาทหลังนี้ และพื้นที่บริเวณนี้พบประติมากรรมแบบประโคนชัยเป็นจำนวนมาก มีบันทึกว่ามากกว่า 300 องค์ ประติมากรรมกลุ่มนี้ แสดงให้เห็นถึงเทคโนโลยีการหล่อสัมฤทธิ์ขั้นสูง โดยหล่อเป็นรูปพระโพธิสัตว์ในลัทธิมหายาน สะท้อนถึงการเป็นดินแดนที่นับถือพุทธศาสนาเป็นหลัก และต่อเนื่องมาโดยตลอด กระทั่งเกิดราชวงศ์มหิธรปุระ ซึ่งเป็นราชวงศ์สำคัญที่จะปกครองอาณาจักรเขมรต่อไปในภายหน้า ถ้าไม่มีสัมฤทธิ์กลุ่มนี้ ก็ไม่มีราชวงศ์มหิธรปุระ

นอกจากนี้ ถ้ามองในเชิงศิลปะ นักประวัติศาสตร์ศิลปะคนสำคัญของโลกชาวฝรั่งเศสอย่าง ศาสตราจารย์ฌอง บวซซิลิเยร์ บอกว่า ประติมากรรมชุดนี้จะเรียกว่าศิลปะเขมรก็ไม่ได้ มอญก็ไม่ได้ เพราะเป็นลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น มันไม่เหมือนที่ไหนเลย ซึ่งจุดนี้แหละที่สำคัญในการศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนแถบนี้

ด้วยเหตุผลข้างต้นเลยคิดว่าไทยควรเสนอให้ปราสาทปลายบัด 2 เป็นมรดกโลกร่วมกับปราสาทหินอื่นๆ ในเส้นทางเดียวกัน

แน่นอน ผมศึกษามานาน ทั้งค้นคว้าเรื่องจารึก ลงพื้นที่คุยกับชาวบ้านตั้งแต่ปี 2554 เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้เสนอให้กรมศิลปากรผนวกปราสาทปลายบัดเป็นมรดกโลกร่วมกับปราสาทหินพิมาย พนมรุ้ง เมืองต่ำ และเส้นทางพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

การที่คนบุรีรัมย์กลุ่มหนึ่งเริ่มเขียนป้ายเรียกร้องให้บูรณะปราสาทปลายบัด 2 เป็นเค้าลางความสำเร็จด้านการเผยแพร่ความรู้

นั่นแสดงว่าเขาเห็นความสำคัญแล้ว และทำอย่างไรให้กรมศิลป์กับชาวบ้านไปในทางเดียวกัน รักและหวงแหนสิ่งที่เป็นสมบัติของชุมชน ผมมองว่าเรื่องนี้เรามีหน้าที่หลักคือให้ความรู้กับชุมชน ให้เขาคิดต่อไปว่า ประติมากรรมสัมฤทธิ์มีความสำคัญ

เทียบกับกรณีทับหลังนารายณ์ ทำไมกระแสยังน้อยกว่ามาก

อาจเพราะความขัดแย้งระหว่างข้อมูลจากกรมศิลป์ กับข้อมูลจากนักวิชาการนอกกรมศิลป์ คือเราเห็นว่าโพธิสัตว์ชุดนี้เจอที่เขาปลายบัด แต่กรมศิลป์บอกไม่มีหลักฐานรูปถ่าย ผมก็งงว่า ยังต้องพิสูจน์อะไรอีก ในเมื่อเอกสารประกอบการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ ก็บอกว่ามาจากเขาปลายบัด งานสัมมนาระดับโลก มีเอกสารประกอบเป็นปึ๊ง ว่าเป็นประติมากรรมแบบประโคนชัย มาจากปราสาทปลายบัด 2 ฝรั่งให้ความสำคัญมาก ชาวบ้านก็เล่าเหตุการณ์ตรงกันว่ามีการลักลอบขุด ทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ต่างจากทับหลังนารายณ์ ซึ่งตอนนั้นทุกคนมีข้อมูลชุดเดียวกันหมด อยากได้คืน อยากเอากลับมาติดปราสาทหินพนมรุ้ง

 

ท้องถิ่นต้องกระตุ้นราชการ ให้รัฐบาลดำเนินเรื่องนี้อย่างจริงจังถึงจะเป็นไปได้ ลำพังกรมศิลป์ ไม่มีทาง อย่างกรณีทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ขนาดคนรู้จักปราสาทหินพนมรุ้งกันเยอะ ราชการทวงมา 10 ปี ไม่สำเร็จ สุดท้ายคนไทยทั้งในและต่างประเทศผนึกกำลังกัน ถึงจะได้คืนมา แต่ก็เสียเงินไปเยอะ ไม่ใช่ได้ฟรีๆ

 

ข้อแนะนำถึงกรมศิลปากรต่อกรณีนี้

กรมศิลป์ควรคิดเรื่องดำเนินการขอคืนเลย ไม่ต้องหาหลักฐานแหล่งที่มาแล้ว เพราะมันชัดเจนมาก สิ่งจำเป็นสุดลำดับแรกคือ ต้องสร้างความเข้าใจกับชุมชนให้ตระหนักถึงความสำคัญของโบราณสถานโบราณวัตถุในพื้นที่ ผมคิดว่ากรมศิลป์ควรคืนพระพุทธรูปนาคปรกองค์ที่อยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครให้ชุมชน เพราะพระพุทธรูปองค์นั้น เคยขุดเจอที่ปราสาทปลายบัด 2 ยังอยู่ในความทรงจำของชาวบ้านที่เล่าตรงกันหมด เป็นความรู้สึกร่วมของเขา หรืออย่างน้อยที่สุดจำลองมาให้บูชาก็ยังดี ชาวบ้านเขาเรียกร้องอยากเห็นของจริง นั่นจะมีค่าสำหรับการเรียนรู้เรื่องการอนุรักษ์

ลำดับต่อมา ควรดำเนินการขั้นต่อไปให้เป็นรูปธรรม คือ คุยกับกระทรวงวัฒนธรรมและรัฐบาล อาจเจรจากันรัฐต่อรัฐ มันถึงจะสำเร็จ ประสานงานกับต่างประเทศ โดยต้องชี้แจงกับชุมชนให้เห็นความตั้งใจในการทวงคืน

ทนงศักดิ์ หาญวงษ์

ทำไมไทยไม่ลงนามในอนุสัญญา The Unesco convention 1970 ที่ว่าด้วยการคืนโบราณวัตถุระหว่างประเทศ

อาจกลัวผลกระทบที่จะตามมา หลายประเทศก็ไม่เซ็น เช่น ญี่ปุ่นกับอเมริกา เพราะว่ามีโบราณวัตถุต่างๆ ที่เขาสะสมไว้ คงไม่อยากวุ่นวายเรื่องการคืนสมบัติของประเทศอื่นๆ ที่ตัวเองได้รับมา ประเทศไทยก็เป็นลักษณะเดียวกัน อาจเกรงว่าเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาจะทวงคืนเยอะ แต่จริงๆ แล้วโบราณวัตถุจากประเทศกัมพูชาแทบไม่มีเลยในพิพิธภัณฑ์ไทย ที่เห็นๆ อยู่คือโบราณวัตถุในวัฒนธรรมขอมที่พบในดินแดนไทยอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับกรณีพระโพธิสัตว์ ก็ใช้อนุสัญญานี้ไม่ได้ เพราะเหตุการณ์ลักลอบออกนอกประเทศ เกิดขึ้นก่อนอนุสัญญา ที่ทำได้คือใช้หลักศีลธรรม และการเจรจาระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล แม้อเมริกาจะไม่มีหน่วยงานแบบกรมศิลป์ แต่เชื่อว่าสามารถคุยกับพิพิธภัณฑ์ซึ่งเป็นเอกชนที่ดูแลโดยมูลนิธิต่างๆ ได้ โดยอาจตกลงกันว่าเราจะทำของจำลองส่งให้ แล้วคุณคืนของจริงมาได้ไหม เพราะมีการลักลอบนำออกไปโดยมิชอบ หรือให้เราคืนมาแล้วยืมจัดแสดงก็ยังได้

เมื่อไม่นานมานี้ พิพิธภัณฑ์ที่ครอบครองโพธิสัตว์ประโคนชัย เพิ่งคืนรูปสลัก 4 ชิ้น ให้กัมพูชา เขาใช้วิธีไหน

เรื่องมีอยู่ว่า ประติมากรรมจากเมืองเกาะแกร์หายไปจากโบราณสถาน แล้วถูกนำไปประมูล มีนักข่าวอเมริกันขุดคุ้ย เจอขบวนการค้าโบราณวัตถุ มีการนำสืบพบคนที่มีเส้นสายในการค้าและขบวนการส่งออกโดยผ่านทางประเทศไทย นำไปสู่การที่ศาลสั่งให้บริษัทประมูลเปิดเผยข้อมูลการได้มาของโบราณวัตถุ การได้คืนก็เกิดจากการเจรจาระหว่างรัฐบาล

โพธิสัตว์ประโคนชัยก็คาดว่าออกไปอย่างผิดกฎหมายเช่นกัน แสดงว่ามีความเป็นไปได้ในการทวงคืน

สำคัญสุด คือท้องถิ่นต้องกระตุ้นราชการ ให้รัฐบาลดำเนินเรื่องนี้อย่างจริงจังถึงจะเป็นไปได้ ลำพังกรมศิลป์ ไม่มีทาง อย่างกรณีทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ ขนาดคนรู้จักปราสาทหินพนมรุ้งกันเยอะ ราชการทวงมา 10 ปี ไม่สำเร็จ สุดท้ายคนไทยทั้งในและต่างประเทศผนึกกำลังกัน ถึงจะได้คืนมา แต่ก็เสียเงินไปเยอะ ไม่ใช่ได้ฟรีๆ

เรื่องค่าใช้จ่ายจะมีผลทำให้ภาครัฐไม่อยากดำเนินการไหม

ของอย่างนี้ขอความร่วมมือกับเอกชนได้ คนมีตังค์ในประเทศนี้ และคนไทยที่อยู่ต่างประเทศก็มี ที่ผ่านมาก็มีกรณีที่เอกชนช่วยซื้อคืนให้กรมศิลป์ เพราะฉะนั้นเรื่องเงินไม่ควรเป็นอุปสรรค

การทวงคืนในลักษณะนี้ถือเป็นการกระตุ้นแนวคิด “ชาตินิยม” หรือไม่

ไม่เลย นี่เป็นการทำหน้าที่ของมนุษยชาติ ซึ่งมีสิทธิทางวัฒนธรรมที่จะกระทำได้ โบราณวัตถุดังกล่าวเป็นของคนในท้องถิ่น และคนในภูมิภาคนี้ ไม่ใช่เรื่องของชาตินิยม

มองอย่างไรต่อความเห็นที่ว่า พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร มีประติมากรรมรูปแบบเดียวกับโพธิสัตว์อยู่แล้ว ไม่ต้องทวงคืนก็ได้

ตลกนะที่เราจะบอกว่าหน้าตาจะเหมือนกัน ทั้งๆ ที่มันไม่เหมือน อีกเหตุผลหนึ่งคือ มันมีค่าทางจิตใจมากน้อยต่างกัน การเผยแพร่ความรู้อย่างเดียว สักพักคนก็ลืม เพราะไม่มีโบราณวัตถุที่ยึดเหนี่ยวให้เรานึกถึงได้ตลอดเวลา

จะตอบอย่างไรในกรณีที่มีผู้ห่วงใยว่า หากกลับมาไทยแล้วจะดูแลได้ดีไม่เท่าต่างประเทศ อีกทั้งคนเข้าชมน้อยกว่า

เรื่องการดูแลไม่ใช่ปัญหาเลย หากมีงบประมาณเพียงพอ การสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ใช้งบประมาณน้อยกว่าการสร้างถนนอีก ส่วนเรื่องการอยู่เมืองนอกแล้วมีคนเห็นเยอะกว่า ถามว่า อะไรคือตัวชี้วัดว่านักท่องเที่ยวในฝรั่งจะเห็นเยอะกว่าบ้านเรา ซึ่งสถิตินักท่องเที่ยวก็ไม่น้อย การได้เห็นโบราณวัตถุวัฒนธรรมนั้นๆ ในดินแดนต้นกำเนิด น่าจะกระตุ้นให้อยากจะเรียนรู้ หรือจะเรียกว่า อิน มากกว่าก็ได้

คำถามสุดท้าย ทวงคืนมา ประชาชนได้อะไร

ประโยชน์สำคัญที่สุด น่าจะเป็นเรื่องการกระตุ้นให้คนกลับมาสนใจที่จะรักษาโบราณวัตถุ หรือโบราณสถานที่บอกเล่าเรื่องราวท้องถิ่น อันที่สองก็คือ ทำให้กรมศิลปากรต้องกลับมาคิดให้มากกว่านี้แล้วว่า การที่คุณจะเสนอแหล่งมรดกโลก ควรคิดถึงข้อมูลที่จะได้จากชุมชนให้มากกว่านี้ เพราะปัจจุบันไม่ศึกษาเรื่องชุมชนเลย

นอกจากนี้ ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ และปราสาทเขาปลายบัด 3 จุดนี้เป็นแหล่งที่พัฒนาให้เชื่อมโยงกันได้ โดยเป็นเส้นทางวัฒนธรรมที่จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่ง

 

ชีวิตวนเวียนของเซียนหนังสือ

ไม่ต้องบอกก็เดาได้ไม่ยากว่าทนงศักดิ์ หาญวงษ์ ผู้รอบรู้เรื่องราวในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมเขมร ย่อมเป็นหนอนหนังสืออย่างไม่ต้องสงสัย หรือหากจะกล่าวไปไกลกว่านั้น อาจเทียบชั้นเป็นเซียนก็ว่าได้ เพราะหนังสือแนวไหนที่อยู่ในความสนใจ เป็นอันรู้หมดว่าพิมพ์ที่ไหน ซื้อประเทศใดได้ราคาถูกกว่า พิมพ์มาแล้วกี่ครั้ง ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ แม้กระทั่งการออกทริปต่างประเทศ ก็ยังพาผู้ร่วมเดินทางไปทัวร์ยัง “ร้านหนังสือ” นอกจากนี้ ท่านที่ติดตาม “มติชน” ตลอดมา อาจคุ้นหน้าว่าเป็น “คนในข่าว” กรณีหอสมุดกลาง วังท่าพระ มหาวิทยาลัยศิลปากร เทกระจาดหนังสือล้ำค่าชั่งกิโลขายให้ร้านรับซื้อของเก่า นักวิชาการท่านนี้ก็เป็นอีกคนที่ห่วงใยติดตามไป “ซื้อคืน” ได้หลายสิบกิโลกรัม ก่อนมอบคืนหอสมุดดังกล่าวที่ออกมาชี้แจงในภายหลังว่าเกิดความผิดพลาดบางประการ

เรียกได้ว่า ชีวิตของทนงศักดิ์วนเวียนอยู่กับการ “ทวงคืน” !

เมื่อถามถึงหนังสือเกี่ยวกับเขมรโบราณตามที่สนใจ ได้คำตอบว่า ในวงวิชาการไทยนั้น ตนเคยไปดูทั้งชั้นในร้านหนังสือแล้วยังไม่มีถูกใจ เพราะสู้ “เมืองพระนคร” ของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ที่เขียนไว้นานนมเนไม่ได้สักเล่ม ทั้งที่ควรมีหลักฐานการศึกษาใหม่ได้แล้ว

“หลักฐานใหม่ในประวัติศาสตร์หลายเรื่อง สามารถเอามาประมวลได้แล้ว แต่กรมศิลปากรยังขาดการเชื่อมโยงข้อมูล จึงมองประวัติศาสตร์เหมือนเดิมตลอด ทำให้ชุดความรู้ที่ใช้ประกอบการให้ความสำคัญในการเสนอแหล่งมรดกโลกไม่ชัดเจน เพราะไม่สามารถอธิบายได้ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก”

The post ทนงศักดิ์ หาญวงษ์ ขอใช้สิทธิของมนุษยชาติ ‘ทวงคืน’ โพธิสัตว์ประโคนชัย appeared first on มติชนออนไลน์.

คู่มือฉลาดซื้อ”บ้านประชารัฐ”

$
0
0

เพิ่งจะรู้แฮะ ซื้อบ้านประชารัฐยุ่งยากกว่าที่คิด

ดังนั้น วันนี้จึงขออุทิศพื้นที่ข้อมูลให้กับโครงการนี้อีกสักครั้ง เพราะปรากฏว่ามีผู้บริโภคตาดำๆ หลายรายสอบถามเข้ามาแถมบ่นอีกต่างหากว่า ซื้อไม่ได้บ้าง เขาไม่ให้ซื้อบ้าง

คำว่า “เขา” น่ะหมายถึงใคร? คำตอบคือก็ทั้งทางฝั่งธนาคารกับฝั่งเจ้าของโครงการนั่นแหละ

เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า เนื่องจากโครงการบ้านประชารัฐทางรัฐบาลเข้ามาช่วยอุดหนุนทั้งผู้ซื้อกับฝั่งผู้พัฒนาโครงการ เพราะอยากให้มีตัวกระตุ้นเศรษฐกิจให้เห็นผลเร็วๆ

ประเด็นอยู่ที่ในเมื่อเป็นโครงการของรัฐบาลก็แปลว่าใช้เงินหลวงมาสนับสนุน ดังนั้น จำเป็นต้องใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสซื้อบ้านหลังแรกในชีวิต ปัญหาอยู่ที่ว่าจะตรวจสอบยังไงดีล่ะเพื่อให้เจอผู้มีรายได้น้อยตัวจริงเสียงจริง และซื้อเป็นบ้านหลังแรก

วิธีการจึงไปสร้างช่องทางไว้กับเจ้าของโครงการ อย่างน้อยที่สุดต้องมาขึ้นทะเบียนเข้าร่วมโครงการบ้านประชารัฐ หลังจากนั้น ลูกค้าที่ซื้ออสังหาริมทรัพย์กับโครงการ เงื่อนไขมีอยู่ว่าทางบริษัทเอกชนต้องออกใบรับรองแนบท้ายหนังสือสัญญาจะซื้อจะขาย สำหรับให้ผู้บริโภคนำไปประกอบเป็นหลักฐานการขอกู้อีกต่อหนึ่ง

ใบรับรองแนบท้ายดังกล่าว จะเรียกว่าเจ้าของโครงการ เซ็นสลักหลังŽ หรือ endorse ให้ก็ว่าได้ (ปกติ การเซ็นสลักหลังจะใช้ในกรณีเซ็นกำกับเอกสาร หรือเซ็นหลังเช็กหรือตั๋วแลกเงินสำหรับนำไปใช้ขึ้นเงินสด) เหตุผลก็เพื่อให้รัฐบาลอุ่นใจว่าผู้ซื้อนั้นซื้อเป็นบ้านหลังแรก อย่างน้อยที่สุดทางผู้ประกอบการก็ช่วยสกรีนหรือช่วยตรวจสอบให้เบื้องต้น

อย่าลืมว่าไฮไลต์ของโครงการบ้านประชารัฐก็คือวงเงินสินเชื่อสุดพิเศษนั่นเอง (ดูกราฟิกประกอบ)

กราฟฟิกประชารัฐ

ตัวอย่างข้อเท็จจริงที่กำลังเกิดขึ้นก็คือ มีกลุ่มลูกค้าอยู่กลุ่มหนึ่งที่จะเรียกว่าเป็นกลุ่มสุญญากาศก็ว่าได้ เพราะมีการไปจองซื้อบ้านในโครงการจัดสรร แต่ดันไปติดต่อจองซื้อไว้เมื่อ 1-2 เดือนที่แล้ว ตอนนั้นโครงการบ้านประชารัฐก็มัวแต่รอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เป็นมติอนุมัติออกมา แต่ล่าช้าไป 5 สัปดาห์เต็ม เพิ่งจะคลอดเป็นมติ ครม.เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2559 ที่ผ่านมา

พอเป็นมติ ครม.อนุมัติปุ๊บ ผู้บริหาร ธอส. กับ ธ.ออมสินก็ใจดีรีบแถลงข่าวว่าสินเชื่อบ้านประชารัฐมีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคมเป็นต้นไป

เรื่องน่าจะจบแต่มันไม่จบ เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารยืนกรานว่า เจ้าของโครงการจะต้องเซ็นสลักหลัง หรือมีหนังสือแนบท้ายว่าที่อยู่อาศัยนั้นอยู่ในโครงการบ้านประชารัฐ ตามเงื่อนไข ครม.เป๊ะ (ทั้งๆ ที่ราคาอสังหาฯ ถ้าไม่เกิน 1.5 ล้านก็น่าจะพิจารณาปล่อยกู้ได้เลย)

เรื่องยุ่งมากขึ้นไปอีกเมื่อทางเจ้าหน้าที่ของบริษัทไปตีความว่า ออกหนังสือแนบท้ายให้

ไม่ได้เพราะ 1.การจองซื้อก่อนมติ ครม. 22 มีนาคม ถือว่าไม่มีผลย้อนหลัง แปลอีกทีทางบริษัทมองว่าจองซื้อไปแล้วถือว่าเลยตามเลย ถ้าอยากได้สิทธิประโยชน์บ้านประชารัฐจะต้องยกเลิกยอดจองเดิมแล้วมาเลือกซื้อแปลงใหม่ 2.หนักข้อขึ้นไปอีก เมื่อตัวแทนบริษัทไปตีความว่าบ้านประชารัฐจะเป็นยูนิตที่บริษัทกำหนดเท่านั้น ไม่ใช่ทุกยูนิตที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

เรื่องนี้ถ้าพยายามทำความเข้าใจให้ดี บริษัทคงมองว่าการเข้าร่วมโครงการประชารัฐทำให้ตัวเองเข้าไปพัวพันกับเงื่อนไขที่ไปรับปากรัฐบาลไว้ว่าต้องแจกโปรโมชั่นผู้บริโภค 5% ของราคาซื้อขาย (มาจากฟรีค่าส่วนกลาง 1 ปีแรก 1%, ฟรีค่าโอน 1%, ฟรีค่าจดจำนอง 1%, ส่วนลด 2%) เลยตีความว่าบริษัทต้องเป็นคนชี้ว่ายูนิตไหนที่จะ endorse ให้ผู้ซื้อบ้าง

ถ้ามีโครงการไหนงอแงหรือว่าเรื่องเยอะ ให้เดาไว้ก่อนเลยว่าเป็นความเขี้ยวลากดินของทีมเซลหรือฝ่ายขายโครงการ คงจะถือโอกาสผลักดันยอดขายอสังหาฯ แปลงที่ขายยากๆ ก็อีตอนนี้แหละ

เห็นไหมว่าเรื่องไม่น่ายุ่งก็ยังยุ่งเลย เราเป็นผู้บริโภคไม่ต้องไปงงกับเขาหรอกค่ะ เลือกแปลงที่เราอยากได้ จากนั้นก็แค่ยืนยันกับโครงการที่เราจะซื้อว่าช่วยออกใบแนบท้ายให้ด้วยก็แล้วกัน เพราะบ้านหรือคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาทถือเป็นราคาบ้านประชารัฐทั้งสิ้น

ที่สำคัญขอให้มั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ว่าอำนาจต่อรองอยู่ที่ผู้บริโภค งานนี้เป้าหมายมีไว้พุ่งชน เด้อค่ะ

The post คู่มือฉลาดซื้อ”บ้านประชารัฐ” appeared first on มติชนออนไลน์.

หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (7)

$
0
0

ผู้ไปเที่ยวเมืองพาราณสีเล่าว่า ที่เมืองพาราณสีมีวิหารใหญ่เป็นที่สถิตของรูปปั้นหนุมาน และภายนอกวิหารเต็มไปด้วยฝูงลิง เสียดายที่ผู้เล่าไม่ได้บอกว่าสถานที่แห่งนั้นมีชื่อว่าอะไร แต่อ่านพบในเอกสารบางแห่งว่า ที่เมืองพาราณสี (Varanasi) อุตตรประเทศ มีวัดชื่อ Sankat Mochan Hanuman Temple ซึ่งโคสวามี ตุลสีทาส (Goswami Tulsidas) ผู้แต่ง “รามจริตมนัส” เป็นผู้สร้าง จึงเข้าใจว่ารูปหนุมานจะอยู่ที่วัดนี้ เพราะ “ตุลสีทาส” นับถือหนุมานมาก

 

Sankat Mochan Hanuman Temple (ภาพจาก http://temple.mountmadonna.org/)
Sankat Mochan Hanuman Temple (ภาพจาก http://temple.mountmadonna.org/)

ในหนังสือเกี่ยวกับความเชื่อของชาวอินเดียเล่มหนึ่งเล่าว่า ครั้งหนึ่งตุลสีทาสได้ตักน้ำรดต้นมะม่วง ซึ่งมีปิศาจสิงอยู่ (ตามคติในความเชื่อของชาวอินเดียโบราณว่า วิญญาณของบรรพบุรุษจะสิงอยู่ตามต้นมะม่วง) ปีศาจตนนั้นมีความพอใจได้บอกให้ตุลสีทาสขอพร ตุลสีทาสมีความจงรักภักดีต่อพระรามอยู่แล้ว จึงตั้งความปรารถนาขอพรว่า ในชีวิตนี้ขอให้ได้เห็นพระรามสักครั้ง ปีศาจตนนั้นได้แนะนำให้ตุลสีทาสไปพบกับหนุมานก่อน คือให้ไปฟังรามายณะที่เทวาลัย ตุลสีทาสทำตามคำแนะนำก็ได้พบกับหนุมาน และต่อมามีโอกาสได้เห็นพระรามลีลาอยู่ที่ภูเขาจิตรกูฏ เรื่องเดิมกล่าวไว้เพียงเท่านี้
ผู้อ่านอาจสงสัยว่า ตุลสีทาสไปพบหนุมานได้อย่างไร เมื่อผู้เขียนอ่านพบครั้งแรกก็นึกสงสัยเช่นเดียวกัน เพราะกาลเวลาระหว่างหนุมานกับตุลสีทาสห่างไกลกันมาก รามายณะเกิดเมื่อหลายพันปีมาแล้ว ส่วนตุลสีทาสเพิ่งเกิดเมื่อประมาณ 400 ปีมานี้เอง

หลังจากตรวจสอบประวัติหนุมานอยู่นานก็พบคำตอบ คือมีเรื่องปรากฏอยู่ในรามายณะนั้นเอง

ตามเรื่องว่า เมื่อเสร็จศึกลงกาแล้ว พระรามปูนบำเหน็จรางวัลแก่ทหารที่ร่วมทำสงคราม พระรามได้ถามหนุมานว่าต้องการอะไรตอบแทน จะพระราชทานให้ตามที่ขอ เพราะหนุมานได้รับหน้าที่หลายอย่าง ต้องเหน็ดเหนื่อยฝ่าอันตรายมากกว่าใครๆ แต่หนุมานกลับไม่สนใจไยดีกับตำแหน่งหรือแก้วแหวนเงินทองที่จะพระราชทาน

หนุมานผู้บำเพ็ญตบะ มีความมักน้อย เป็นพรหมจารี จึงทูลว่า “ตราบใดที่ยังมีคนอ่านคนฟังรามายณะอยู่ ก็ขอให้มีชีวิตอยู่ตราบนั้น ไม่ประสงค์สิ่งใดอีกแล้วพระเจ้าข้า”

ก็ในปัจจุบันคนอินเดียและคนอีกหลายประเทศในโลก ยังอ่านยังฟังรามายณะกันอยู่ หนุมานจึงยังไม่ตายและอยู่ต่อมาจนได้พบกับตุลสีทาส แล้วหลังจากนั้นได้เกิดอะไรขึ้น ?

The post หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (7) appeared first on มติชนออนไลน์.

“ตักกุ้ง”ทาง”ตัวเลข”

$
0
0

คลิปวิดีโอกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนรุมแย่งตักกุ้งในบุฟเฟต์ ชนิดใครดูต้องอุทานปนขำ ใครซีเรียสอาจมองเชิงลบ และวิจารณ์ถึงความไม่มีระเบียบวินัยของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งมีข่าวมาเสิร์ฟรายวันเสมอ

กรณี “ตักกุ้ง” มีนักวิเคราะห์ด้านประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม การเมือง หลายคนอธิบายถึงบริบทโครงสร้างดั้งเดิมของจีนที่มีการบริหารทรัพยากรในประเทศลักษณะ “กระจายไม่ทั่วถึง” ส่งผลให้เกิดการแย่งชิง ลัดคิว กักตุน ฯลฯ

กระทั่งถึงโครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคม ที่ชาวจีนเขยิบสู่การเป็นชนชั้นกลางมากขึ้น ทำให้ออกมาเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น

ถัดจากบริบทประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม มามองในบริบท “เศรษฐศาสตร์” กันบ้าง

ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนเป็นหนึ่งในตัวเลขสำคัญของจีดีพีโลก

ตัวเลขธุรกิจรวมการท่องเที่ยวของโลก คิดเป็น 10% ของจีดีพีโลก หรือ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตัวเลขปี 2014) และจีน ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อันดับสองของโลก เป็นเจ้าของตัวเลขส่วนแบ่งที่สูงมากในห้วง 10 ปีมานี้ โดยมีชาวจีนเดินทางออกไปท่องเที่ยวนอกประเทศเพิ่มขึ้น 17% รวมเดินทาง 120 ล้านทริปในปี 2558

ตัวเลขนี้เย้ายวนให้แม้แต่ประเทศตะวันตกก็หวังกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนักท่องเที่ยวจีน อาทิ แคนาดา สหรัฐ อังกฤษ สเปน และฝรั่งเศส เป็นต้น

เอ่ยแบบนี้ไม่ได้หมายถึงเอาตัวเลขนำจนส่งผลกระทบ แต่วิธีการที่หลายคนเสนอคือ “การบริหารจัดการ” นักท่องเที่ยวจีน

หลายประเทศในอาเซียน อาทิ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ต่างมีตัวเลขรายได้ด้านการท่องเที่ยวที่สัดส่วนโดยมากมาจากนักท่องเที่ยวจีน ไม่ต่างจากไทย

แต่ทุกประเทศเหล่านี้มีปัญหาแบบเดียวกัน

ที่หนักมากคือ ฮ่องกง ที่แม้เป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่เกาะเล็กขนาดประชากร 4 ล้านคน ต้องรับชาวจีนจากแผ่นดินใหญ่ข้ามเข้ามาปีละ 40 ล้านคน คาดกันว่าภายในปี 60 จะเพิ่มเป็น 60 ล้านคนต่อปี!!

หลายคนกังวลว่ากรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ จะแออัดด้วยนักท่องเที่ยวจีนจนเกินรับ และเกิดสภาพแบบฮ่องกง คือ มีความแออัดทั้งระบบขนส่งมวลชน การเข้ามากว้านซื้อสินค้าตามซูเปอร์มาร์เก็ตจนสินค้าขาดแคลน รูปแบบร้านค้าที่เน้นไปตอบสนองนักท่องเที่ยวแทนคนในพื้นที่

แต่ฮ่องกงมีวิธีบริหารจัดการ เริ่มตั้งแต่ข้อเสนอให้จำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวจีน ไม่ปล่อยเสรี แต่ที่เป็นรูปธรรมคือ กระจายนักท่องเที่ยวออกไปไปพื้นที่รอบนอก ไม่กระจุกตัวในใจกลาง อาทิ สร้างโรงแรมนอกเมือง ห้างสรรพสินค้ารอบนอก

เป็นภาพใหญ่ของการบริหารจัดการ นักท่องเที่ยวจีน ที่เรายังหวังพึ่งพิงทาง “ตัวเลข”

บ้านเราหากเอาเรื่อง คลิปตักกุ้งเป็นเรื่องวิพากษ์วิจารณ์ใหญ่ ควรใช้คลิปนี้มาเป็นอุทาหรณ์สร้างการบริหารจัดการ เริ่มจากจุดเล็กๆ คือการจัดระเบียบทัวร์จีนให้ได้ แค่บังคับให้ต้องเข้าแถว มีคนตักกุ้งให้ สร้างระเบียบขึ้นมาคลุมให้มากที่สุด

จากนั้นมองภาพใหญ่ว่าจะวางระบบ รับมือบริหารจัดการนักท่องเที่ยวจีนอย่างไร ให้การท่องเที่ยวมีคุณภาพ กระทบคนในพื้นที่ให้น้อยที่สุด ไม่ใช่ให้ท้องถิ่นหาวิธีตั้งรับกันแบบสุดโต่งจนดูเป็นการรังเกียจเดียดฉันท์

แต่ที่ผ่านมายังไม่เห็นภาพเชิงรุกนั้นชัดๆ เท่านั้นเอง…

The post “ตักกุ้ง”ทาง”ตัวเลข” appeared first on มติชนออนไลน์.

“วิชเรศ บุญจิตต์พิมล”เจเนอเรชั่น 2 แห่งโรงพยาบาลนวมินทร์ 9

$
0
0

นับจากจุดเริ่มต้นจนถึงเวลานี้ ก็ร่วม 20 ปีแล้ว ที่นายแพทย์ประจักษ์ บุญจิตต์พิมล ก่อตั้งโรงพยาบาลนวมินทร์ขึ้นมาในย่านมีนบุรี

ก่อนจะขยับขยายบริการดูแลรักษาผู้ป่วย กระทั่งเมื่อ 8 ปีก่อน โรงพยาบาลนวมินทร์ 9 ก็ถือกำเนิดขึ้น พร้อมนโยบายบริการมาตรฐานสากล ในราคาที่คุณจ่ายได้

และในวันนี้ คือเวลาที่ผู้บริหารรุ่นใหม่จากสายเลือดเดียวกันอย่าง “วิชเรศ บุญจิตต์พิมล” ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยอำนวยการการปฏิบัติงานด้านแผนยุทธศาสตร์ด้วยวัยเพียง 24 ปี ก้าวเข้ามาทำงานและเตรียมรับช่วงต่อในรุ่นที่ 2

เกิดวันที่ 21 มีนาคม 2535 เป็นบุตรชายคนเล็กของ “นายแพทย์ประจักษ์-คุณวราภรณ์ บุญจิตต์พิมล” ขณะที่พี่สาว “ดร.พิมพ์ขวัญ บุญจิตต์พิมล” ก็เป็นอีกเรี่ยวแรงหนึ่งในการดูแลธุรกิจของครอบครัว

ในวัยประถมศึกษา วิชเรศเรียนที่โรงเรียนร่วมฤดี อินเตอร์เนชั่นแนล ก่อนจะสอบเทียบวุฒิมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้ด้วยวัยเพียง 14 ปี แต่ด้วยความคิดที่อยากจะมีพัฒนาการตามวัย ทำให้เด็กหนุ่มตัดสินใจเรียนต่อที่สถาบันเดิมตามหลักสูตรจนกระทั่งจบระดับชั้นมัธยม

ด้วยวัยเพียงเท่านั้น วิชเรศเล็งเห็นอนาคตที่ควรเป็นของเขาเอง นั่นคือการสานต่อธุรกิจโรงพยาบาลของทางบ้านในฐานะเจเนอเรชั่นใหม่ เขาตัดสินใจศึกษาต่อที่คณะแพทย์ตามความถนัดในวิชาชีววิทยาและเคมี สอบเข้าและเรียนคณะแพทยศาสตร์ของโครงการร่วมระหว่างแพทยศาสตร์ มศว กับนอตติงแฮม ซึ่งรับผู้เรียนใหม่เพียงปีละ 10 คนเท่านั้น

แต่ภายใน 6 เดือน เด็กหนุ่มก็รับรู้ชัดเจนว่าคณะแพทย์อาจไม่ใช่ทางเดินที่เหมาะกับเขานัก จึงเบนสายเปลี่ยนมาเข้าคณะที่สนใจ คือวิศวกรรม สาขา Information and Communication Engineering (ICE) ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะคว้าคะแนนเกียรตินิยมอันดับ 1 มาครอง

นั่นเป็นปริญญาใบแรกในชีวิต ก่อนที่เขาจะมุ่งเข้าศึกษาต่อ Imperial College London ในสาขา Innovation, Entrepreneurship and Management ในระดับปริญญาโท ปัจจุบัน ชายหนุ่มศึกษาต่อระดับปริญญาเอก สาขาสาธารณสุขศาสตร์ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อนำความรู้ความเข้าใจด้านงานบริหารกลับมาช่วยเหลือธุรกิจครอบครัวอย่างแข็งขัน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของวิชเรศนั้นนำหน้าเกินอายุไปหลายช่วงตัว และรวมถึงวิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่

ที่จะมาดูแลและรับช่วงต่อธุรกิจของครอบครัวในวันที่ไม้ผลัดถูกเปลี่ยนมืออย่างเต็มความสามารถ

 

DSCF0849

การไม่ได้จบหมอ จะมีปัญหาในการรับช่วงต่อโรงพยาบาลไหม?

(คิด) ก็น่าจะมีแหละครับ เช่น ในเรื่องการดูแลฝ่ายแพทย์ก็ต้องให้ผู้อำนวยการฝ่ายแพทย์ดูแลไป แต่ว่าในด้านอื่นๆ ในที่สุดผมก็ต้องดูแล การดูแลโรงพยาบาลสักแห่งนั้น มีส่วนที่ต้องดูแลหลายด้านมากๆ การดูแลแพทย์เป็นส่วนหนึ่งในหลายๆ ส่วน ในส่วนอื่นๆ ผมคิดว่าดูแลได้ เช่นด้าน Financial accounting หรือ Human resources

ตอนนี้ผมกำลังเรียนปริญญาเอกที่จุฬาฯ ด้าน Public Health Management ซึ่งก็เกี่ยวโยงกับการบริหารโรงพยาบาลอยู่แล้ว ผมคิดว่าการเรียนมาหลายๆ ด้าน ทั้งวิศวะและบริหาร สามารถนำแนวคิดทางด้านวิศวกรรมมาผสมกับทางด้านบริหาร การที่คนไม่ได้จบสายแพทย์มาทำตรงส่วนนี้ก็จะได้มุมมองด้านธุรกิจที่ต่างออกไป ซึ่งอาจช่วยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปได้สมบูรณ์ด้วย

 

เรียนมาหลากหลายสาขาทำให้มีมุมมองแตกต่าง?

อย่างที่ผมจบ Information and Communication Engineering คิดว่าจะนำความรู้ด้านนี้มาพัฒนาระบบข้อมูลของโรงพยาบาลให้รวดเร็วขึ้นได้ เพราะเทคโนโลยีโลกก้าวไปเร็วเกินกว่าที่คนจะตามทัน การนำเทคโนโลยีมาช่วย ทำให้ธุรกิจได้อะไรมากขึ้น อาจทำให้เราได้เปรียบคู่แข่งด้วย

การเรียนคณะเหล่านี้มาทำให้ผมมองอะไรต่างจากคนอื่นด้วยเหมือนกัน และผมเองคิดว่าด้วยแนวคิดของผมเหล่านี้จะสามารถนำมาใช้ในโรงพยาบาลให้ดำเนินการให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้นแน่ๆ อย่างแนวคิดแบบ Lean Management ซึ่งเป็นแนวคิดทางวิศวกรรมอุตสาหการที่เน้นการตัดส่วนที่ไม่จำเป็นออกจากการปฏิบัติงานบางขั้นตอน หรือปรับเปลี่ยนบางจุดเพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพและเป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ผมจบบริหารมาด้วย คิดว่าน่าจะช่วยควบคุมส่วนต่างๆ ของโรงพยาบาลได้ ขณะเรียนมีหลักสูตร Innovation ซึ่งเน้นเรื่องความคิดสร้างสรรค์ด้วย คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์และเสริมเติมส่วนต่างๆ ได้

 

เริ่มเข้ามาช่วยงานที่โรงพยาบาลหรือยัง?

ผมจบจากที่ Imperial College London แล้วบินกลับมาไทยตอนเดือนตุลาคมปี 2015 กลับมาศึกษางานโรงพยาบาลเพื่อให้เห็นงานส่วนต่างๆ ให้เห็นภาพรวม จากนั้นเดือนธันวาคมก็เรียนปริญญาเอกที่จุฬาฯ และช่วยดูงานที่โรงพยาบาล โดยมีคุณพ่อสอนงาน ตอนนี้ผมก็มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยอำนวยการการปฏิบัติงานด้านแผนยุทธศาสตร์ หน้าที่หลักคือวางแผนกลยุทธ์ เพราะโรงพยาบาลเรามีนโยบายหลักคือ High Quality and affordable price คุณภาพสูงและราคาสมเหตุสมผล ผมก็ต้องมาดูวิธีการสร้างรายได้ คุมค่าใช้จ่ายให้น้อยโดยที่มาตรฐานยังสูงอยู่ ปรับระบบการบริหารงานโรงพยาบาลให้เกิดความรวดเร็วมากที่สุด เช่น กระบวนการตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลจนกว่าจะหาหมอ รับยา ออกมาได้ ทำให้เร็วขึ้น สะดวกขึ้นสำหรับคนไข้ เป็นต้น รวมถึงคุณภาพการรักษาคนไข้ด้วย ก็หนักประมาณหนึ่งเพราะต้องเรียนไปด้วย

 

แบ่งเวลายังไง?

หนักอยู่ครับ (ยิ้ม) ผมเป็นคนชอบสังสรรค์ประมาณหนึ่ง ต้องแบ่งเวลาดีๆ สมมุติเวลาเรียนก็ต้องไปเรียน และถ้าต้องทำโปรเจ็กต์หรือธีสิส ผมจะกำหนดเลยว่าต้องทำให้เสร็จภายในเวลานี้เลยนะ แต่จะไม่ชุ่ย ต้องทำให้ดี แล้วเข้ามาโรงพยาบาลเพื่อดูงาน

 

เรียนปริญญาเอกวางโปรเจ็กต์อะไรไว้?

ตอนนี้กำลังเรียนทฤษฎีอยู่เพราะเพิ่งเริ่มเรียน แต่ก็มีคิดๆ โปรเจ็กต์จบของปริญญาเอกไว้แล้วว่าอยากทำเกี่ยวกับสังคมผู้สูงอายุ เพราะประเทศไทยก็กำลังกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุ เลยอยากทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุว่าเราจะช่วยเขาได้อย่างไรบ้าง ทั้งเรื่องการรักษา ความเป็นอยู่

ทางโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 เองรับคนไข้ทั่วไปทุกแบบทุกช่วงอายุอยู่แล้ว และมีแผนในอนาคต คือ ตอนนี้จะขยายโรงพยาบาลที่เน้นรองรับผู้ป่วยจากในอาเซียนและผู้ป่วยสูงอายุด้วย

 

การขยายโรงพยาบาลรับอาเซียนต้องเตรียมส่วนไหนเพิ่มเติม?

ต้องมีการวางแผนเหมือนกันว่าเราจะเอาเขามายังไง บริการต่างๆ ที่เราจะเตรียมให้เขามีอะไรที่เขาต้องการจากเรา เขาต้องมีเหตุผลที่จะมารักษากับเราที่นี่ เราต้องมีเป้าหมายและเตรียมให้ถูก ส่วนเรื่องบุคลากรต้องเตรียมเรื่องการสื่อสาร เพราะคนไข้มาจากประเทศอื่น เราต้องมีคนที่คุยกันรู้เรื่อง บางประเทศใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง แต่บางประเทศอาจไม่ได้ใช้ เราจะต้องมีล่ามหรือเปล่า ต้องเตรียมหลายอย่าง

 

คิดว่าการเข้ามาทำงานขณะอายุยังน้อยจะเป็นอุปสรรคไหม?

(คิด) อาจจะมีเรื่องของประสบการณ์เพราะผมเองถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วประสบการณ์ทำงานอาจน้อยกว่าคนอื่น เพราะจบแล้วก็เรียนต่อมาตลอด เวลาตัดสินใจอะไรอาจไม่เฉียบคมเท่าคนที่เจออะไรมาเยอะๆ และอายุผมเองยังน้อยด้วย

 

กดดันไหม?

กดดันครับ กว่าคุณพ่อจะสร้างมาได้ ไม่รู้จะทำได้ดีเท่าคุณพ่อไหม ก็เป็นเรื่องที่เราอยากทำให้ดีด้วย แต่คิดว่าจะทำให้ดีที่สุดด้วย

DSCF0844

คิดมาตั้งแต่เด็กไหมว่าจะเข้ามารับช่วงต่อ?

ตอนเด็กๆ คิดตลอดว่าสุดท้ายเราต้องมาช่วยดูแลโรงพยาบาล แต่ก็อยากมีธุรกิจของตัวเอง เป็นสิ่งที่เราสร้างมาด้วยตัวเองจะภูมิใจ ผมเคยลองทำอยู่หลายอย่าง เรียนจบวิศวะ มีการเรียนเขียนโปรแกรมด้วย ก็คิดไว้ว่าอยากทำแอพพลิเคชั่น ซึ่งสมัยนี้ก็มีเยอะเนอะ (หัวเราะ)

ผมเคยลองทำธุรกิจกับเพื่อนหลายอย่าง ล่าสุดผมจัดคอนเสิร์ตกับเพื่อนๆ สมัยเรียนวิศวะ คอนเสิร์ตชื่อ IndieInspiration จัดเป็นครั้งที่ 2 ด้วยสเกล 1,000 คน กระแสการตอบรับค่อนข้างดี เราเอาศิลปินอินดี้ของไทยมาร้องคัฟเวอร์เพลงที่เป็นแรงบันดาลใจของตัวเองจากศิลปินอินดี้อินเตอร์ คราวก่อนที่เพิ่งจัดไปก็มีวงสมเกียรติ, Slur, Yellow Fang มาเล่นในงาน นอกจากนี้ผมก็มีธุรกิจอื่นๆ กับกลุ่มเพื่อนด้วย (ยิ้ม)

 

มีภาพโรงพยาบาลของตัวเองไหม?

มีคิดไว้ครับ เราก็มีไอเดียของเรา พ่อเขาเป็นรุ่นหนึ่ง เราโตมาโดยอะไรหลายอย่างแตกต่างกันไปตามยุคสมัย อย่างเรื่องเทคโนโลยี เรื่องแนวคิดต่างๆ เราอาจจะคิดไม่เหมือนรุ่นก่อนๆ เราอยากใช้เทคโนโลยีมาช่วยการทำงานของโรงพยาบาลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เวลาเข้าไปหาหมอแล้วหมอจดอาการคนไข้ ผมก็คิดว่าทำไมต้องใช้มือจด เวลาค้นข้อมูลจะทำยังไง ต้องมานั่งหา ทำไมไม่ฝึกให้มีการคีย์เข้าไปในคอมพิวเตอร์ เวลาเสิร์ชก็คีย์เข้าไปสามปุ่มก็ขึ้นมาเลยว่ามีอะไรบ้าง ด้วยความที่เรียนวิศวะคอมเราจะคิดในแง่ไอทีเยอะ มีแนวคิดหลายอย่างที่อยากเอามาใช้ ถ้ามีโอกาสได้มาดูเต็มตัวในอนาคต

 

เริ่มไปศึกษาดูงานโรงพยาบาลที่อื่นหรือยัง?

ช่วงนี้มีการเปิดเออีซี เพิ่งไปดูงานที่พม่ากับคุณพ่อ คิดว่ามีโอกาสที่จะขยายสาขาโรงพยาบาล หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับโรงพยาบาลในประเทศเพื่อนบ้าน CLMV Cambodia-Laos-Myanmar-Vietnam เลยไปดูงานกับคุณพ่อและได้ไอเดียอะไรกลับมาเยอะ

การขยายออกไปประเทศอื่นเป็นสิ่งที่มองไว้ ต้องค่อยๆ สร้างกันไป ที่พม่ามาก็ผิดกับที่เราได้ยินมาว่าสิ่งอำนวยความสะดวกอาจไม่ดีหรือไม่มี จริงๆ เขาก็มีโรงพยาบาลดีๆ เหมือนกัน แต่เป็นความเชื่อมากกว่า เหมือนความคิดที่ว่าหมอไทยดีกว่าหมอพม่าทำให้เศรษฐีพม่ายินดีรักษาที่ไทยมากกว่าประเทศตัวเอง ทั้งที่โรงพยาบาลที่ดีมากๆ ของเขาก็มี แต่อาจด้วยราคาที่ค่อนข้างแพงทำให้คนพม่าที่ส่วนใหญ่รายได้ไม่สูง อาจไม่ได้รักษาในโรงพยาบาลที่ดีขนาดนั้น การเปิดโรงพยาบาลที่พม่าอาจเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าเป็นการร่วมมือในส่วนที่เขาขาดอาจเป็นไปได้ ส่วนประเทศอื่นยังไม่ได้ไปดูโดยละเอียดแต่วางแผนไว้ว่าจะไปดู

 

คิดยังไงกับสวัสดิการประกันสุขภาพในไทย?

สวัสดิการสุขภาพในไทย ถ้าเทียบประเทศอื่นผมคิดว่ามีคุณภาพมากกว่า ตอนผมอยู่อังกฤษเข้าโรงพยาบาลยากมาก ถ้าเป็นอะไรไปก็แย่ก่อน ตั้งแต่ขั้นตอนของการเข้าโรงพยาบาล กว่าจะถึงหมอ ต้องลงทะเบียนโน่นนี่ รอคิวเป็นชั่วโมงๆ แค่เป็นหวัด กว่าจะได้เจอหมอก็เป็นวันๆ คงหายก่อน ผมไปอยู่โน่นป่วยก็ดูแลตัวเอง

 

ตอนเด็กๆ ที่บ้านปลูกฝังมาอย่างไร?

ตั้งแต่เล็กๆ ผมก็เรียนรู้แนวทางการใช้ชีวิตและแนวทางการทำธุรกิจจากคุณพ่อคุณแม่มากพอสมควร ด้านธุรกิจท่านก็ปลูกฝังว่า เราเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของธุรกิจ มีหน้าที่ดูแลธุรกิจให้คงอยู่ และต่อยอดธุรกิจ ขยายออกไป ด้วยการผสมผสานแนวคิดใหม่ๆ เพื่อมาใช้กับโลกปัจจุบัน คุณพ่อคุณแม่ก็บอกตลอด

แต่ในด้านแนวคิดการใช้ชีวิต คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนให้ทำให้เต็มที่ สอนเราหลายเรื่อง อย่างพวกเรื่องความมุ่งมั่น ความซื่อสัตย์ ความยุติธรรม พวกท่านก็จะพูดตลอด โดยเฉพาะคุณพ่อที่จะสอนเสมอว่า เวลาทำอะไรก็ให้คิดถึงทุกกรณี เพราะเหตุการณ์ที่เกิดไม่ได้เป็นแบบเดียวตามที่คิดไว้ ต้องมีแผนสองแผนสามรองรับไว้เสมอ

ที่บ้านให้ความสำคัญกับเรื่องการเรียนค่อนข้างมาก แต่คุณพ่อก็จะบอกเสมอว่าคนเราควรมีทั้งไอคิวและอีคิว ผมก็เลยเป็นคนที่พยายามสมดุลทั้งสองอย่างให้ได้ เรียนก็จริงแต่ต้องมีกิจกรรมกับเพื่อนเสมอ

ผมเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก เป็นมือกลอง (ยิ้ม) มีวงของตัวเองตั้งแต่เด็ก เล่นทุกเดือน แสดงในโรงเรียน เหมือนเด็กทั่วไป เล่นเกม อ่านการ์ตูน แต่ถ้าถึงเวลาต้องสอบก็อ่านหนังสือ คือพยายามทำชีวิตของตัวเองให้ครบและสมดุลเสมอ

 

เป็นคนเครียดไหม?

ไม่ครับ ไม่เลย ค่อนข้างชิว ชอบสังสรรค์กับเพื่อน เป็นคนกิจกรรมเยอะ ผมเล่นดนตรี ชอบฟังเพลงมาก ฟังทุกชนิด เลยจัดคอนเสิร์ตอินดี้ จริงๆ ฟังทุกแนว ทั้งอีดีเอ็ม ร็อก ป๊อป อินดี้ ฟังหมดเลย วงโปรดเปลี่ยนเป็นช่วงๆ อย่างช่วงนี้ฟังเอ็ด ชีแรน อาร์กติก มังกี้ วงไทยก็ฟังทั่วไป บอดี้สแลม สมเกียรติ ชอบดนตรีมาก ชอบดูหนังดูซีรีส์ แล้วก็ชอบทานอาหารมาก (หัวเราะ) จะมีแก๊งเพื่อนไปทานร้านเปิดใหม่ เล่นเฟซบุ๊กบ่อย แล้วก็เล่นอินสตาแกรม ใช้ชื่อว่า atomb_

 

ถ้าโรงพยาบาลมาถึงมือเราอย่างเต็มตัวในรุ่นที่สองมีภาพเป็นยังไง?

อย่างแรกต้องดูแลให้โรงพยาบาลคงอยู่ดำเนินงานได้ มีคนไข้มารักษาเรื่อยๆ ในระดับนี้ อย่างที่สองคือต้องขยายไป ในสเต็ปแรกอาจต้องเรียนรู้วิธีการดูแลโรงพยาบาลให้คงอยู่ก่อน แล้วค่อยคิดว่าจะทำยังไงให้ดีขึ้นหรือขยายไปที่อื่นได้ ผมคิดว่าถ้าถึงมือผมอาจจะไฮเทคขึ้น (หัวเราะ) เพราะผมเรียนวิศวะคอมเน้นด้านระบบภายในบริษัท information system การรวมข้อมูลให้อยู่ในแหล่งเดียว เข้าถึงง่ายรวดเร็ว ซึ่งจริงๆ เป็นหัวใจของทุกบริษัทอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่โรงพยาบาล ไม่ว่าบริษัทอะไรต้องมีระบบการส่งถ่ายข้อมูลที่ดี ซึ่งจริงๆ แล้วพอพูดถึงระบบ information system ของโรงพยาบาลยิ่งสำคัญ เพราะว่าข้อมูลคนไข้ต้องเป๊ะ ต้องมีการบันทึก

ถ้าถึงมือผมคงมีการปรับเปลี่ยนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น กระบวนการต่างๆ ในโรงพยาบาล การจัดวางเรื่องต่างๆ กระบวนการดำเนินงานต้องมีการปรับเปลี่ยนให้รวดเร็วมีประสิทธิภาพมากขึ้น ให้สูญเสียน้อยที่สุดแต่ได้กลับมามากที่สุด

 

มีมุมมองกับคำว่า “โรงพยาบาลที่ดี” อย่างไร?

ง่ายๆ เลย โรงพยาบาลที่ดีควรจะใส่ใจคนไข้ และคนไข้ควรจะมาเป็นอันดับหนึ่ง เป็นหัวใจของการมีโรงพยาบาล ทำไมต้องมีพยาบาล ก็เพื่อรักษาคนไข้ สิ่งแรกคือการใส่ใจคนไข้ ทำทุกอย่างให้คนไข้หาย ให้คนไข้พอใจ

The post “วิชเรศ บุญจิตต์พิมล” เจเนอเรชั่น 2 แห่งโรงพยาบาลนวมินทร์ 9 appeared first on มติชนออนไลน์.

แม็กซ์ แฟ็คเตอร์ ช่างเสริมสวยในราชสำนัก

$
0
0

ในช่วงระยะที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯเยือนรัสเซียซึ่งเป็นมหามิตรของสยาม (กรกฎาคม พ.ศ.2440) ในฐานะพลเมืองของโปแลนด์ซึ่งเป็นประเทศราชของรัสเซีย แม็กซิมิเลี่ยน แฟ็คตอรอวิค์ซซึ่งอายุครบ 18 ปี ก็กำลังถูกกองทัพรัสเซียเรียกเกณฑ์ทหาร

ความตัวเล็กแกร็นนำโชคดีมาให้แม็กซ์อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ช่วยให้นายจ้างและลูกค้ารักเอ็นดูเขาตลอดมาตั้งแต่เริ่มทำงานเมื่ออายุเพียงเจ็ดขวบ กองทัพรัสเซียซึ่งอุดมไปด้วยทหารรูปร่างใหญ่โต “ราวยักษ์ปักหลั่น” อย่างที่คนไทยในครั้งกระโน้นพูดกัน ไม่ต้องการใช้ไอ้เณรหนุ่มผอมผ่ายที่สูงเพียงห้าฟุตอย่างแม็กซ์ไปรบรากับข้าศึก แม็กซ์จึงถูกส่งไปทำหน้าที่บุรุษพยาบาล ได้เรียนรู้วิธีผสมยาและการใช้ยาเพิ่มเติมจากที่เคยเห็นมาแล้ว เมื่อครั้งทำงานรับใช้เภสัชกรในร้านฟาร์มาซี

เมื่อถูกปลดประจำการแล้ว เขารวบรวมเงินที่เก็บออมไว้ได้จากการทำงาน เปิดร้านเล็กๆ ที่ชานเมืองมอสโก

แม็กซ์กล้าพอที่จะนำความรู้จากร้านขายยา จากโรงละคร จากโรงผลิตวิกผมและเครื่องสำอางมารวมกันให้เป็นประโยชน์ เขาทำครีมบำรุงผิว แป้งทาหน้า รูจทาแก้ม น้ำปรุง/น้ำหอม รวมทั้งวิกผมออกขายเองในร้านนี้

ของทุกอย่างที่แม็กซ์ทำล้วน “แฮนด์เมด” จากบ้าน กวน-บี้-ขยี้-ขยำ อบ-รม-ต้ม-เผา ส่วนผสมต่างๆ ตามที่เห็นเหมาะสมอยู่ในครัวที่เรียกเองให้ฟังขลังว่าห้องแล็บ

ในครั้งกระโน้น ยังไม่มีกฎเกณฑ์ควบคุมผลิตภัณฑ์ ไม่มี อย. นายแม็กซิมิเลี่ยน แฟ็คตอรอวิค์ซ ผู้ไร้การศึกษา ไร้ปริญญา จึงสามารถผสมผสานความรู้ที่ได้จากประสบการณ์และไอเดียใหม่ๆ ของตนเอง ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายได้ตามสะดวก

พวกนักแสดงซึ่งรู้จักชื่อของแม็กซ์ตามเสียงปาก-ต่อ-ปากจากคณะโอเปร่า พากันมาอุดหนุน และพบว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของแม็กซ์ช่วยให้ดูดีกว่าที่เคยใช้ๆ กันมา ก็บอกต่อกันไปอีก

ไม่แต่เท่านั้น เมื่อพวกละครไปแสดงในรั้วในวัง บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายพากันชอบใจวิธีการแต่งหน้าของละคร อยากจะสวยเหมือนพวกนักแสดงบ้าง แม็กซ์จึงถูกจองตัว กลายเป็น “ยิวเข้าวัง” ต้องไปแต่งหน้า แต่งผมให้เหล่าเจ้านายผู้หญิง

การปรุงโฉมแบบ “อวดส่วนดี แอบส่วนด้อย” ของแม็กซ์ทำให้ผู้หญิงทุกคนดูสวยกว่าที่เคยเป็นมาก่อน

ไม่ช้านายแม็กซิมิเลี่ยน แฟ็คตอรอวิค์ซ ก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านความงามประจำราชสำนักอันฟู่ฟ่าแห่งรัสเซียและอิมพีเรียลแกรนด์โอเปร่าอย่างเป็นทางการ

ยิ่งทำถูกใจ-ถูกพระทัยมากขึ้นเท่าไหร่ แม็กซ์ก็ถูกล็อกตัวมากขึ้นเท่านั้น สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายไม่อยากให้เขาไปบริการคนอื่นอีกแล้ว

อยากสวยเริ่ดอยู่พวกเดียว

เวลาที่แม็กซ์ออกจากวัง ก็จะมีทหารคุมไปเพื่อให้กลับตามกำหนด หรืออาจจะคุมเพื่อมิให้ไปแอบแต่งหน้าให้ลูกค้าคนอื่นๆ

แม็กซ์เริ่มรู้สึกเหมือนถูกจองจำ

ขนาดจะแต่งงาน เขาก็ยังต้องหลบซ่อนเป็นความลับไม่ให้ทางวังระแคะระคาย

ในที่สุดแม็กซิมิเลี่ยน แฟ็คตอรอวิค์ซ ก็สุดทนกับสภาพเมกอัพอาร์ติสต์กึ่งทาสที่ต้องเผชิญอยู่ทุกวี่ทุกวัน เขาตัดสินใจปลดแอกตัวเองจากราชสำนักรัสเซีย

สิ่งที่ช่วยให้แม็กซ์ตัดสินใจได้เด็ดขาด คือความทารุณโหดร้ายที่พระเจ้าซาร์และทหารของพระองค์ปฏิบัติต่อคนรัสเซียเชื้อสายยิวทุกหัวระแหง

ในช่วงระยะเวลานั้น เป็นรัชสมัยของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่สอง ซึ่งเคยเสด็จฯเยือนสยามเมื่อครั้งยังทรงเป็น “ซาร์เรวิส” หรือมกุฎราชกุมารแห่งรัสเซีย ทรงเป็นเจ้าชายแสนอ่อนโยนอันเป็นที่รักของประชาชน แต่เมื่อขึ้นครองราชย์ ทรงกลับเป็นซาร์ (tsar = ผู้นำสูงสุด) ที่ปล่อยให้มีการฆ่าหมู่ ทำร้าย-ทำลายประชาชนยิ่งกว่าสมัยใดๆ ที่ผ่านมา

ราวกับจะเป็นลาง งานฉลองซาร์นิโคลัสที่สองขึ้นครองราชย์ซึ่งจัดอย่างยิ่งใหญ่ในเมืองมอสโก ทั้งเมืองตกแต่งประดับประดาอย่างงดงามชนิดที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ในครั้งนั้นแม็กซ์มีอายุเพียง 15 ปี ได้เที่ยวชมเมืองอย่างไม่จุใจ เพราะต้องช่วยงานเสริมสวยและใส่วิกผมให้บรรดานักแสดงและเหล่าสตรีมีเงินทั้งหลาย

งานเริ่มขึ้นตอนเช้าที่ Jkodynka Field ซึ่งเปรียบเสมือนสนามหลวงแห่งมอสโก หลังพิธีสวมมงกุฎในขณะที่ชนชั้นสูงเฉลิมฉลองกันในอยู่ฝั่งหนึ่ง ซาร์ทรงเมตตาให้จัดอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้ประชาชนผู้ยากไร้อีกฝั่งหนึ่งของสนามซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปแทบลิบตา พสกนิกรแห่กันมามากมายจนดินของสนามถล่มเพราะทางกองทัพกลบหลุ่มบ่อไว้แค่หลวมๆ

ผู้คนเหยียบกันตายนับหมื่น ในขณะที่อีกฝั่งยังมีการฉลองต่อไป แม้แต่งานเต้นรำในช่วงค่ำก็ไม่ได้ถูกยกเลิกตามคำแนะนำของผู้ใกล้ชิดพระเจ้าซาร์

แม็กซ์จำได้ดีถึงความรู้สึกของเขาและของชาวบ้านทั่วไป ว่าชีวิตของคนธรรมดานั้นไร้ความหมายเพียงใดในสายตาผู้ปกครองประเทศ

ชนเชื้อสายยิวอย่างแม็กซ์ยิ่งไร้ความสำคัญ เพราะเป็นเป้าหมายแห่งการสังหารหมู่ (เรียกเป็นภาษารัสเซียว่า โพกรอม/pogrom) ยิ่งกว่าชนเผ่าพันธุ์อื่นใด ข่าวการตายหมู่ของชาวยิวตามหมู่บ้านโน้นหัวเมืองนั้นจะเข้าหูแม็กซ์เป็นประจำ แม็กซ์รู้อยู่เต็มอกว่าชีวิตของชาวยิวในรัสเซียนั้นเสมือนแขวนอยู่บนเส้นด้ายเปื่อยๆ รวมทั้งชีวิตตัวเขาครอบครัวด้วยอย่างแน่นอน

แม้บัดนี้แม็กซ์จะเป็นคนโปรดของสตรีในราชสำนัก และชีวิตดูเหมือนสุขสบาย ตามประสาผู้มีโอกาสได้รับใช้ใกล้ชิดเจ้านาย แต่แม็กซ์ก็รู้ว่าความโชคดีนี้อาจกลายเป็นความโชคร้ายได้ในพริบตา ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เวลา และอารมณ์ของผู้เป็นนาย

แม็กซ์เป็นห่วงภรรยาและลูกน้อย ซึ่งเขาปกปิดไว้มิให้ในรั้วในวังได้ล่วงรู้ เขาอยากให้ครอบครัวได้ความมั่นคงในชีวิตที่แท้จริง ไม่ใช่ต้องมาทนอยู่ในดินแดนที่รุ่มร้อนด้วยความเกลียดชังเผ่าพันธุ์ของเขา

เขาฝันถึงอเมริกา

ระหว่างที่แม็กซ์ฝันถึงอเมริกา น่าจะเข้าไปฟังเพลงของ Chopin/โชแปง คีตกวีชาวโปแลนด์คนบ้านเดียวกับแม็กซ์ บรรเลงโดยฝีมือของ Vladimir Horowitz ยอดนักเปียโนเชื้อสายยิว-รัสเซียไปพลางๆ ก่อน

เข้า YouTube ไปฟัง Vladimir Horowitz บรรเลง

Polonaise in A flat major Op. 53 ของ Chopin ได้ที่ https://youtu.be/KZGi49Bnghs

The post แม็กซ์ แฟ็คเตอร์ ช่างเสริมสวยในราชสำนัก appeared first on มติชนออนไลน์.

สาวบลอนด์ไม่ได้โง่

$
0
0

บางครั้งเราตัดสินความฉลาดหรือไม่ฉลาดของคนจากเรื่องที่อาจเกี่ยวข้องกับสติปัญญา เช่น คนเรียนจบดอกเตอร์น่าจะมีระดับสติปัญญา (IQ) สูงกว่าคนที่ไม่สามารถเรียนจบชั้นประถมได้ ถ้าไม่ได้นับเรื่องโอกาสทางการศึกษานะคะ

แต่บางครั้งเราก็ตัดสินเอาจากเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสติปัญญาแม้แต่น้อย เช่น สาวผมบลอนด์น่าจะฉลาดน้อยกว่าสาวผมสีเข้ม เรื่องนี้คนไทยอาจะไม่ค่อยรู้สึกเพราะคนไทยไม่มีผมสีบลอนด์โดยธรรมชาติ แต่สำหรับชาวตะวันตกซึ่งมีผมสีบลอนด์โดยธรรมชาติแล้ว เรื่องนี้จัดเป็นชุดความคิดที่ติดตัวมานานและสะท้อนให้เห็นชัดเจนจากภาพยนตร์เรื่อง Legally Blonde

ซึ่งว่าด้วยสาวสวยผมบลอนด์ที่มีแฟนเป็นหนุ่มหล่อในครอบครัวนักการเมือง เธอมีเสน่ห์และเข้าสังคมเก่งแต่สุดท้ายแฟนหนุ่มกลับเลือกหมั้นกับสาวที่เรียนกฎหมายเหมือนกัน เธอจึงต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าถ้าคนเรียนกฎหมายเก่งนักล่ะก็ สาวผมบลอนด์อย่างเธอเองก็ทำได้เช่นกัน หนังอาจจะไม่ได้บอกว่าสาวบลอนด์ไม่โง่ แต่น่าจะล้อเลียนชุดความคิดของคนอเมริกัน (อาจจะรวมถึงคนทั่วโลก) ที่มักจะตัดสินระดับสติปัญญาของคนอื่นโดยมองจากปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกันด้วยซ้ำ

คุณสุภาพสตรีคนหนึ่งมากับแฟนหนุ่มซึ่งเป็นชาวต่างชาติผิวขาวสวมเชิ้ตผูกไทดูดีเลยค่ะ แวบแรกนึกไปถึงละครไทยหลายเรื่องที่ทำให้ชุดความคิดของเราแล่นไปก่อนว่า สาวไทยตาคมผิวเข้มอาจจะการศึกษาไม่สูงนักและมุ่งหวังจะได้สามีมีฐานะเพื่อให้ช่วยดูแลครอบครัวของเธอด้วย หลังคิดเป็นตุเป็นตะปรากฏว่าเรื่องจริงไม่เหมือนภาพที่เห็นเลยค่ะ

คุณสุภาพสตรีที่ดูเป็นสาวไทยผิวเข้มตาคมคนนี้มีหน้าที่การงานและฐานะดีอยู่แล้ว พูดภาษาอังกฤษเก่งเพราะเธอเคยไปเรียนต่างประเทศมาค่ะ ตอนนั้นจึงพบกับแฟนและแต่งงานกัน เมื่อกลับมาเมืองไทยแฟนจึงกลับมาด้วย และสอนภาษาอังกฤษในมหาวิทยาลัย แต่ภายหลังแฟนเป็นโรคซึมเศร้าและติดสุราจนทำร้ายร่างกายเธอ เธอจึงพยายามพามารักษา การต่อสู้กับความรู้สึกตัดสินคนที่ภายนอกอาจจะต้องหาสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เราเชื่อว่าตาเรากับความเป็นจริงอาจจะไม่ไปด้วยกันซึ่งการ์ตูนเรื่องนี้เหมาะมากค่ะ

Gekkan Shoujo Nozaki-kun การ์ตูนน่ารักที่มีทั้งแบบหนังสือการ์ตูนและแอนิเมชั่นกล่าวถึงภาพลักษณ์ภายนอกที่ใช้ตัดสินภายในไม่ได้เลยค่ะ การ์ตูนเรื่องนี้เป็นการ์ตูนตบมุขเพราะสร้างจากหนังสือการ์ตูนแก๊ก 4 ช่องจบ ดังนั้นมุขจึงออกมาทุกๆ นาที หัวเราะไม่หยุดค่ะ

แต่ต้องเป็นคนที่เข้าใจการ์ตูนผู้หญิงสักหน่อยนะคะ “ซากุระ” เด็กสาว ม.5 ประทับใจ “โนซากิ” มาตั้งแต่เข้าเรียน ม.4 และวันนี้เธอตัดสินใจสารภาพรัก โนซากิซึ่งเป็นผู้ชายสูงใหญ่หน้าตายฟังคำขอเป็นแฟนของซากุระอย่างครุ่นคิดและในที่สุดเขาจึงตัดสินใจได้ โนซากิให้ลายเซ็นของเขาแก่ซากุระค่ะ เขาคิดว่าซากุระเป็นแฟนผลงาน แท้จริงโนซากิสูงล่ำกล้ามใหญ่เป็นนักเขียนการ์ตูนผู้หญิงตาหวานที่มีผลงานตีพิมพ์ในนิตยสาร

หลังจากซากุระจับพลัดจับผลูไปช่วยงานการ์ตูนของโนซากิ เธอยังพบเพื่อนแปลกๆ อีกหลายคน เช่น หนุ่มเจ้าชู้ที่พูดน้ำเน่าแก้เก้อไปเรื่อยเพราะไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าขี้อาย สาวห้าวปากร้ายที่เป็นนักร้องเสียงทองของชมรมประสานเสียง อ.ซึบากิ อิสุมิ ผู้วาด ไม่ใช่แค่ตลกอย่างเดียว เธอยังเข้าใจบุคลิกภาพของคนได้แตกฉาน และเลือกนำเสนอลักษณะภายนอกให้ตรงข้ามกันอย่างสุดขั้ว ซึ่งทำให้คนโลกสวยอย่างเรายอมรับได้ง่ายขึ้นว่าอย่าเพิ่งตัดสินใครจากหน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกเด็ดขาด

มีคนตั้งใจศึกษาอย่างจริงจังนะคะ ว่า ตกลงรูปลักษณ์ภายนอกที่มักจะถูกมองแล้วเข้าใจผิดในเชิงดูถูกเป็นความจริงตามนั้นไหม คุณ Jay Zagorsky ตีพิมพ์ผลการศึกษาของเขาใน Economics Bulletin เพื่อพิสูจน์ว่าสาวผมสีบลอนด์มีระดับสติปัญญาด้อยกว่าสาวผมสีอื่นจริงหรือไม่ เขานำข้อมูลมาจากการสำรวจระดับชาติปี 1979 ซึ่งมีการทดสอบความรู้เกี่ยวกับภาษา คณิตศาสตร์ และตรรกะ การทดสอบเหล่านี้ถูกใช้เป็นตัวแทนการวัดระดับ IQ ค่ะ น่าสนใจว่าไม่ได้รวมเรื่องอื่นที่น่าจะจำเป็นในการดำเนินชีวิตทุกวันนี้มากกว่า IQ เข้าไปด้วย เช่น ทักษะการเข้าสังคม การทำงานกับผู้อื่น เชาวน์อารมณ์ หรือแม้แต่ความสามารถทางเทคโนโลยี ดังนั้นฟังผลการวิจัยบนพื้นฐานว่าเขาวัดแค่นี้ค่ะ

เมื่อตัดชนชาติที่มีผมสีดำโดยกำเนิดออกไปแล้ว ผลพบว่า ค่าเฉลี่ย IQ ของผู้หญิงผมสีต่างๆ ใกล้เคียงกันมากค่ะ แทบจะเรียกว่าไม่ต่างเลยก็ได้ ดังนั้นงานวิจัยนี้ไม่ได้สรุปว่าสาวผมสีไหนฉลาดกว่าสีไหน แต่ที่แน่ๆ คือสาวผมสีบลอนด์ไม่ได้โง่กว่าสาวผมสีอื่นเหมือนที่ถูกกล่าวหาค่ะ และถ้าเรามีภาพจำว่าสาวผมบลอนด์มักจะมีเสน่ห์ เข้าสังคมเก่ง และชอบช้อปปิ้งมากกว่าเรียนหนังสือ

ถ้า IQ เธอไม่ต่างจากสาวผมสีอื่นแต่พวกเธอมีทักษะทางสังคมที่แข็งแกร่งกว่า เธออาจจะครองโลกในอนาคตได้เลยทีเดียวนะคะ

The post สาวบลอนด์ไม่ได้โง่ appeared first on มติชนออนไลน์.


หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (8)

$
0
0

การที่ตุลสีทาสได้พบหนุมาน คงจะเป็นข่าวใหญ่บอกกล่าวเล่าขานแพร่สะพัดไปทั่วบ้านทั่วเมือง จนพระเจ้าชาหังคีร์ (Jahangir) ราชโอรสของพระเจ้าอักบาร์ ได้ครองราชย์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม พ.ศ.2148 สวรรคตเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม พ.ศ.2170 ที่ต้องค้นหารายละเอียดมาบอกกล่าวเช่นนี้ ก็เพื่อผู้อ่านจะได้ประเมินเหตุการณ์ได้ง่ายว่าเกิดขึ้นเมื่อไร เพราะในเรื่องไม่ได้กล่าวถึงวันเวลาให้ชัดเจน

พระเจ้าชาหังคีร์นี้ว่าเป็นกษัตริย์ที่ชอบสำเริงสำราญสนุกสนาน เมื่อได้สดับข่าวที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เช่นนั้น ก็รู้สึกแคลงใจสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร มีรับสั่งให้ตุลสีทาสไปพาตัวหนุมานมาดูเป็นหลักฐาน แต่ตุลสีทาสไม่ยอมไปตาม จึงถูกจับขังคุก

เรื่องก็น่าจะจบลงเพียงเท่านั้น แต่เผอิญมีข่าวใหญ่เข้ามาแทรก คือในระหว่างที่ตุลสีทาสอยู่ในคุกนั้น ได้มีประชาชนพากันมาถวายฎีการ้องทุกข์ว่า มีลิงจำนวนมากออกจากป่าบุกรุกเข้ามาทำลายรื้อถอนต้นไม้บ้านเรือนพังพินาศ ราวกับว่ามีความโกรธแค้นมาแรมปี บรรดาประชาชนมีความเห็นว่าเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนั้นน่าจะเนื่องมาจากโปรดให้จับตุลสีทาสขังคุก และหนุมานคงจะไม่พอใจ จึงให้พวกลิงมาก่อกวน

พระเจ้าชาหังศีร์เห็นว่าหากปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนั้นต่อไป อย่าว่าแต่บ้านเรือนของราษฎรเลย แม้พระราชวังก็อาจเดือดร้อนไปด้วย พระเจ้าชาหังคีร์ตกพระทัยมาก ด้วยไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุร้ายเช่นนี้ และถ้าเป็นอย่างที่ประชาชนคาดคิดก็ย่อมไม่เป็นผลดีต่อบ้านเมือง เพราะใครๆ ก็ทราบดีว่าหนุมานเป็นยอดขุนพลของสุครีพ ที่พากองทัพลิงมาสวามิภักดิ์ต่อพระราม ที่พวกลิงบุกรุกเข้ามาครั้งนี้ก็คงได้รับคำสั่งจากหนุมาน พระเจ้าชาหังคีร์จึงมีรับสั่งให้ปล่อยตุลสีทาสโดยรีบด่วน หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็สงบ บรรดาลิงทั้งหลายก็กลับเข้าป่าไป

ตุลสีทาสเป็นพราหมณ์เมืองกานยกุพช์ เป็นคนเชื่อฟังภรรยา คือภรรยาจะคอยเตือนให้ตุลสีทาสระลึกถึงพระรามให้มากขึ้นกว่าที่ระลึกอยู่แล้ว ตุลสีทาสจึงบวชเป็นโยคีจาริกไปตามที่ต่างๆ ได้ไปพักที่พาราณสี ได้พบกับหนุมานตามที่กล่าวมาแล้ว หลังจากนั้นได้ไปอยู่ที่เมืองพกุนทาพน (แคว้นทาสี) และอยู่มาจนถึง พ.ศ.2166

สรุปว่าเหตุการณ์ที่ฝูงลิงบุกมาทำลายบ้านเรืองราษฎรนั้นเกิดขึ้นในราว 400 ปีมาแล้ว ตรงกับสมัยกรุงศรีอยุธยา จึงหาหลักฐานให้ชัดเจนได้ยาก และเหตุการณ์ดังกล่าวเก็บความจากพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 และจากประวัติศาสตร์อินเดีย พอให้รู้จักตุลสีทาสดีขึ้นเท่านั้น เพราะมีเรื่องจะอ้างถึงต่อไปอีก

The post หนุมาน : เทพแห่งสรรพวิทยา (8) appeared first on มติชนออนไลน์.

ประสานักดูนก : เมษาหน้าแล้ง

$
0
0

เดือนเมษายนแล้วนะครับ กองทัพของนกอพยพกำลังเคลื่อนผ่านประเทศไทยกันยกใหญ่

ตลอดเดือนมีนาคม นกคัคคู นกเดินดง และนกจับแมลงมากกว่า 10 ชนิด ปรากฏตัวตามแหล่งพักระหว่างทางในผืนป่าตะวันตก สวนสาธารณะและเกาะชายฝั่งภาคตะวันออกกันเต็มพิกัด และปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นกจับแมลงหายาก อาทิ “นกจับแมลงคิ้วเหลือง” ก็เดินทางถึงภาคกลางแล้ว มีรายงานที่อุทยานแห่งชาติไทยประจันต์ในภาคตะวันตก

นกจับแมลงชนิดนี้ มีรายงานพบทั้งในภาคกลาง และภาคตะวันออก บน “เกาะแสมสาร” และ “เกาะมันใน” ที่เป็น migration trap แหล่งดูนกอพยพผ่านชั้นดีของไทยด้วย แสดงว่านกใช้เส้นทางทั้งสองเส้น คือ บินข้ามอ่าวไทยไปขึ้นฝั่งที่ภาคตะวันออก และอีกกลุ่ม บินเหนือแผ่นดิน จากคาบสมุทรมลายู ผ่านภาคใต้ ภาคตะวันตกและภาคกลาง จึงสามารถพบเห็นได้ในผืนป่าตะวันตกตั้งแต่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

ยิ่งปีนี้ภาวะแล้งสาหัสสากรรจ์ ลำธารในป่าแก่งกระจานแห้งขอด นกอพยพต้องเผชิญภาวะขาดน้ำอย่างรุนแรง การทำบ่อน้ำเรียกนก ให้นกแวะดื่มดับกระหาย นับว่าช่วยนกเอาบุญได้มากทีเดียว อีกทั้งเอื้อต่อการสำรวจนกอพยพผ่าน ส่องดูพฤติกรรมเล่นน้ำ กินน้ำ และถ่ายภาพนกในระดับสายตางามๆ ถ้าคนดู คนถ่ายภาพใจเย็นๆ ใช้บังไพร ลดความระแวงของนกก็จะได้ภาพของนกอพยพไว้เป็นที่ระลึกไม่ยากนัก

ทัพหน้าของนกอพยพ อาทิ “นกจับแมลงสีฟ้าท้องขาว นกคัคคูพันธุ์หิมาลัย นกเดินดงสีเทาดำ” ทยอยผ่านบ้านเราไปแล้ว

นับจากนี้จะเป็นพวกนกจับแมลงสีเจ็บๆ เช่น “นกจับแมลงตะโพกเหลือง นกจับแมลงคิ้วเหลือง” รวมทั้งนกเทพอีกหลายชนิด อาทิ “นกจับแมลงหลังเขียว นกแซวสวรรค์ นกแซวสวรรค์หางดำ” และ “นกแต้วแล้วพันธุ์จีน” ซึ่งโอกาสพบเห็นในประเทศไทย จะเป็นช่วง 2 เดือนนับจากนี้คือ เดือนเมษายน และพฤษภาคม เพราะนกจะอพยพข้ามทะเลจีนใต้และอ่าวไทย จากเกาะบอร์เนียวประเทศอินโดนีเซีย มุ่งหน้าไปประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่นและไต้หวันเพื่อทำรังวางไข่ในเดือนมิถุนายน

เมื่อได้ยินรายชื่อนกกันแล้ว แทนที่จะหลบคลื่นความร้อนของเดือนเมษายน นักดูนกก็คงอยู่ไม่สุข ต้องออกเดินทางตะลอนหานกอยู่ดี เพียงแต่เปลี่ยนบรรยากาศจากส่องนกป่า นกดอยสีสวยๆ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายในฤดูหนาว มาเป็นล่องเรือ ลงทะเล หรือเดินป่าหน้าแล้ง พอได้เห็นนกอพยพข้างต้น ใจที่เคยร้อนรุ่มคงคลายความอัดอั้น เพราะได้เห็นนกอพยพสีสวยที่ต้องเดินทางไกลทุกปี

หากเทียบกันคนเรา นกเหล่านี้มีชีวิตที่ลำบากยากเข็ญมากกว่านัก ดังนั้น ถ้าช่วยได้ ในทางใดทางหนึ่ง ก็ควรช่วยนกป่าในธรรมชาติ นับแต่ “ไม่ซื้อมาเลี้ยง ไม่ล่าเพราะอยากยิงเล่น” หรือ “ทำสวนเรียกนกด้วยต้นไม้ที่มีลูกไว้ให้นกกินเติมเต็มพลังงานระหว่างเดินทาง” เช่น ต้นตะขบ กร่าง หว้า หรือไทรนานาชนิด หรือทำบ่อน้ำ หรือเติมน้ำใส่กระถางตื้นๆ วางไว้ในที่ร่มใกล้พุ่มไม้

“บางวันอาจมีอาคันตุกะสีสวยๆ มาเยือนให้พลอยชื่นใจในยามเมษาหน้าแล้งนี้ครับ.”

The post ประสานักดูนก : เมษาหน้าแล้ง appeared first on มติชนออนไลน์.

อดีตของดวงจันทร์ของเราและดาวพุธ

$
0
0

นักดาราศาสตร์สามารถสำรวจสิ่งต่างๆ เพื่อเข้าใจอดีตของพวกมันได้อย่างน่าทึ่ง ผมจะเล่าการค้นพบล่าสุดถึงธรรมชาติในอดีตที่น่าสนใจของดวงจันทร์ของเราและดาวพุธให้ฟังนะครับ

1.นักดาราศาสตร์พบว่าดวงจันทร์เคยหมุนด้วยแกนอื่นมาก่อน

พวกเขาใช้ข้อมูลจากอุปกรณ์ที่เรียกว่า neutron spectrometer จากโครงการ Lunar Prospector ขององค์การนาซา อุปกรณ์นี้จะตรวจจับอนุภาคนิวตรอนที่สะท้อนออกมาจากผิวหน้าของดวงจันทร์ซึ่งนิวตรอนเหล่านี้เกิดจากการพุ่งชนของรังสีคอสมิก (cosmic rays)

นักวิจัยพบว่าใกล้ๆ กับขั้วเหนือและขั้วใต้ของดวงจันทร์มีธาตุไฮโดรเจนมากกว่าบริเวณอื่นซึ่งธาตุไฮโดรเจนดังกล่าวอาจบ่งชี้ถึงแผ่นน้ำแข็งบนดวงจันทร์ในเงาของหลุมอุกกาบาต ที่น่าสนใจคือทั้งสองบริเวณนั้นอยู่ตรงข้ามกัน ซึ่งเส้นที่ลากระหว่างสองบริเวณนี้ผ่านจุดกึ่งกลางของดวงจันทร์ ทำให้นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าเส้นนี้อาจเป็นแกนหมุนของดวงจันทร์มาก่อน (รูป 1)

fun09030459p1

งานวิจัยดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการชื่อดังอย่าง Nature

สาเหตุที่ดวงจันทร์เปลี่ยนแกนหมุนนั้นยังไม่ชัดเจนแต่ทีมนักวิจัยสันนิษฐานว่าเกิดจากความเปลี่ยนแปลงเชิงธรณีทางภูเขาไฟในบริเวณที่ชื่อว่า Procellarum เมื่อหลายพันล้านปีก่อน ส่งผลให้บริเวณนั้นร้อนและเบากว่าบริเวณอื่น ความหนาแน่นที่ไม่สม่ำเสมอนี้เองทำให้ผิวหน้าของดวงจันทร์เลื่อนไป 6 องศา แต่แกนหมุนยังอยู่มีทิศทางเดิมซึ่งปรากฏการณ์ดังกล่าวเรียกว่า True polar wander

นั่นแปลว่าเมื่อนานแสนนานมาแล้ว ดวงจันทร์หันด้านอื่นเข้าหาโลกของเรา!

fun09030459p2

2.นักดาราศาสตร์เพิ่งเข้าใจว่าสีดำบนพื้นผิวดาวพุธคืออะไร?

นักดาราศาสตร์ไม่เข้าใจว่าเหตุใดผิวของดาวพุธจึงมีสีดำมาก (รูป 2) จนกระทั่งได้ศึกษาหลุมอุกกาบาตที่มีอยู่มากมายบนพื้นผิวดาวพุธอย่างละเอียด หลุมเหล่านี้เกิดจากการชนของดาวเคราะห์น้อยและอุกกาบาตเมื่อนานนับพันล้านปีมาแล้ว พวกเขาพบว่าสีดำบนผิวดาวพุธเกิดจากชั้นของแกรไฟต์ที่กระจายตัวอยู่ใต้ผิวดาวเคราะห์ดวงนี้ เมื่อดาวพุธถูกชนด้วยอุกกาบาตอย่างรุนแรง ชั้นแกรไฟต์จะปลิวแล้วตกกลับลงมาปกคลุมผิวดาวพุธ ซึ่งแกรไฟต์นั้นเป็นคาร์บอนแบบเดียวกับไส้ดินสอนั่นเอง

งานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการชื่อดังอย่าง Nature Geoscience

ทีมวิจัยนี้นำโดย Johns Hopkins University Applied Physics Laboratory (APL) ในรัฐแมรีแลนด์ใช้ยานเมสเซนเจอร์ (Messenger probe) ตรวจสอบบริเวณที่คล้ำดำบนผิวดาวพุธ แล้วแยกแยะองค์ประกอบทางกายภาพต่างๆ เช่น ความสามารถในการสะท้อนและดูดกลืนแสง ฯลฯ จนสามารถระบุได้ว่ามันเป็นคาร์บอนที่อยู่ในรูปแกรไฟต์

ความน่าสนใจคือยิ่งหลุมอุกกาบาตมีขนาดใหญ่ก็ยิ่งมีปริมาณแกรไฟต์กระจายอยู่บริเวณนั้นมาก นั่นก็แปลว่าแกรไฟต์มีลักษณะเป็นชั้นที่อยู่ใต้เปลือกของดาวพุธแล้วถูกอุกกาบาต “ขุด” ขึ้นมาให้กระจายบนผิวหน้า

การค้นพบนี้ทำให้เกิดคำถามต่อมาว่าแกรไฟต์เหล่านี้มาจากไหน?

ดาวพุธนั้นไม่ต่างจากดาวเคราะห์หินอื่นๆ เช่น โลก ดาวศุกร์ ดาวอังคาร ที่ในอดีตมีความร้อนสูงมาก รวมทั้งมีหิวหลอมเหลวที่ใจกลาง

นักวิจัยเชื่อว่าสารและธาตุที่หนักจะจมลงกลายเป็นแก่นดาวพุธ ส่วนสารที่เบากว่าอย่างเช่นแกรไฟต์จะลอยกลายเป็นเปลือกนอกสุดของดาวพุธ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ภูเขาไฟระเบิดและความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ได้ทำให้ชั้นแกรไฟต์ของดาวพุธถูกกลบลงไปอยู่ใต้เปลือกใหม่อย่างที่เป็นอยู่ และเมื่อมันถูกชนด้วยอุกกาบาตที่รุนแรงพอ แกรไฟต์จึงปลิวขั้นมาอยู่บนผิวดาวพุธอีกครั้ง

The post อดีตของดวงจันทร์ของเราและดาวพุธ appeared first on มติชนออนไลน์.

ฝืนความเปลี่ยนแปลง

$
0
0

มันง่ายที่จะพูดว่า “ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไป” และง่ายที่จะยอมรับว่า “ความเปลี่ยนแปลง” คือความเป็นจริง

“ที่แน่นอนคือความไม่แน่นอน” นั้นเป็นสัจธรรม ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจได้

ที่มักจะเป็นปัญหาคือ แม้คิดว่าตัวเองเข้าไปและยอมรับความเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่การดำเนินชีวิตไปตามความเปลี่ยนแปลงไม่ค่อยเกิดขึ้น

เคยได้ยินคำเช่นนี้หรือไม่ “เด็กสมัยนี้มันแย่กว่าสมัยก่อน” ตามด้วยข้อตำหนิมากมาย อย่าง “ไม่มีความมานะพยายามเอาเสียเลย-กิริยามารยาทใช้ไม่ได้” หรืออื่นๆ อีกมากมาย

นี่คือรูปธรรมหนึ่งของการเรียนรู้มาอย่างขึ้นใจว่าสรรพสิ่งยอมเปลี่ยนไป แต่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่ยอมรับความเปลี่ยนแปลง

เห็นความเปลี่ยนแปลง เวลา วัน เดือน ปี ได้ง่าย แต่เห็นในยุคสมัยได้ยากกว่า

ดังนั้น จึงไม่ค่อยรู้ตัวว่าความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น การไม่ปรับตัวไปตามความเปลี่ยนแปลงย่อมเสี่ยงต่อการอยู่ไม่รอด

สินค้าหลายชนิดหายไปจากตลาด ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่นานคือสินค้ายอดนิยม

โทรศัพท์โนเกียคือตัวอย่างที่ยกขึ้นมาพูดถึงการเสนอ

เพราะผู้บริหารไม่เชื่อว่า มนุษย์จะพูดคุยกันน้อยลง จะสื่อสารกันในโลกออนไลน์มากขึ้น

โทรศัพท์ที่เขียนข้อความเพื่อแชตถึงกันได้ จะกลายเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมากกว่า

เพราะไม่เชื่อว่ามนุษย์จะลดความสำคัญของการพูดด้วยปาก มาเป็นการเขียน ทำให้ผู้บริหารโนเกียหลุดจากโลกของอุปกรณ์สื่อสาร ทั้งที่ก่อนหน้านั้น โนเกียคือเจ้าตลาด

อีกปรากฏการณ์หนึ่งคือ พ่อ แม่ ผู้ปกครองที่เป็นห่วงเด็กๆ ที่เอาแต่นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวันทั้งคืน เล่นเกม สื่อสารออนไลน์ วันๆ ก้มหน้าอยู่แต่กับหน้าจอสมาร์ทโฟน ไม่ใส่ใจที่จะเงยหน้าขึ้นมาพูดคุยกับผู้กับคน อยู่กับสังคมก้มหน้าแทบทุกเวลา ทุกสถานที่

เป็นห่วงกันมากว่าพวกเขาเหล่านั้นจะไม่สื่อสารกับโลกของความเป็นจริงได้ เงยหน้าขึ้นมาเจอคนเป็นๆ แล้วไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะชินกับการแชตหน้าจอ จนน่าจะลืมเลือนวิธีสื่อสารด้วยการพูด

เป็นห่วงว่าเด็กๆ ที่เติบโตมาด้วยพฤติกรรมอย่างนี้จะไม่มีสังคมที่เป็นจริง

“จะทำมาหากินกันได้อย่างไร หากไม่รู้จักวิธีวิสาสะกับคนอื่น”

แสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้กันมาตลอด

แต่ถึงวันนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นเสียแล้ว สังคมไม่ใช่อยู่ได้เพราะการพูดคุยกันด้วยปากอีกต่อไป

เมื่อพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่เป็นเช่นนั้น การสื่อสารก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปเพื่อรับกระแสของส่วนใหญ่นั้น

จะพบว่า “ค่าตัว” ของ “มนุษย์ก้มหน้า” เริ่มชัดว่ามากกว่ามนุษย์ที่พูดเก่งๆ ก่อนหน้านั้น

เมื่อผู้คนในสังคมส่วนใหญ่เอาแต่ “ก้มหน้า” นักขายสินค้าจำต้องสนองสังคมแบบนั้น การออกแบบวิธีการขายผ่านโลกออนไลน์ทำให้ตลาดเปลี่ยนไป

ใครมีความเชี่ยวชาญในสังคมออนไลน์มากกว่า ทั้งเรื่องการสื่อสาร และการอ่านรสนิยมของคนใน “สังคมก้มหน้า” คนนั้นเป็นที่ต้องการของผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้า

เด็กคนที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายเอาแต่เป็นห่วง เพราะไม่ยอมสังคมเสวนากับใคร วันนี้อาจจะเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์

สังคมเปลี่ยนแปลงเพื่ออยู่ร่วมกับมนุษย์รูปแบบใหม่

สังคมปรับตัวไปตามพฤติกรรมของคนแต่ละยุค

เพราะเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง ที่มนุษย์บางจำพวก ทั้งที่ผ่านโลกมามาก สมควรจะต้องเข้าใจว่าทุกสิ่งอย่างต้องเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีใครหยุดยั้งได้

แต่เพราะคนพวกนี้ไม่รู้ตัวเองว่ามีพฤติกรรมฝืนความเปลี่ยนแปลง ยังหลงอยู่กับคุณค่าเก่าๆ โดยไม่รู้ตัวเองว่าโลกไม่มีทางหยุดรอ

พยายามบังคับให้คนยุคใหม่ต้องรับคุณค่าแบบเก่าๆ

ยึดถือเอาการฝืนโลกเป็นภารกิจยิ่งใหญ่

น่าเศร้าที่คนแบบนี้ไม่มีทางมองเห็นว่า เป็นภารกิจที่มีความล้มเหลวรออยู่ข้างหน้า

ความเปลี่ยนแปลงของโลกและยุคสมัยมีพลังเกินกว่าจะหยุดยั้ง

คนที่หลับหูหลับตาฝืนความเป็นไปที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย มีแต่ต้องเผชิญความขึงเครียด

และที่สุดแล้วจะจบลงด้วยความเจ็บปวด

The post ฝืนความเปลี่ยนแปลง appeared first on มติชนออนไลน์.

ยีนเห็นแก่ตัว

$
0
0

ในบรรดาหนังสือออกใหม่ของสำนักพิมพ์มติชนที่กำลังอวดโฉมเหล่าบรรดาหนอนหนังสือ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์อยู่ขณะนี้ มีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่อยากแนะนำให้ผู้อ่านไปหาซื้อกัน

หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า “The Selfish Gene” หรือในชื่อภาษาไทยคือ “ยีนเห็นแก่ตัว” ที่มี “ริชาร์ด ดอว์กินส์” เป็นผู้เขียน ส่วนผู้แปลคือ “เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์”

หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 1972

หรือเมื่อ 44 ปีที่แล้ว

แต่เนื้อหายังคงมีความทันสมัย โดยเฉพาะมุมมองใหม่ที่เกี่ยวข้องกับทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน ด้วยการมองผ่านสายตาของยีน หน่วยทางชีววิทยาที่เล็กที่สุดหน่วยหนึ่ง แต่กลับนำมาซึ่งวิวัฒนาการอันยิ่งใหญ่ในธรรมชาติ

เพราะ “ริชาร์ด ดอว์กินส์” พยายามอธิบายวิวัฒนาการของพฤติกรรมอันสลับซับซ้อนต่างๆ เช่น การเลี้ยงดูลูกหลาน การเกี้ยวพาราสี ความก้าวร้าว และการร่วมมือ

แม้แต่เรื่องพฤติกรรมอันเป็นปริศนาที่สุดในวงการชีววิทยาอย่างการเสียสละเพื่อผู้อื่นในธรรมชาตินั้น อันที่จริงแล้วกลับวิวัฒนาการขึ้นมาจากความเห็นแก่ตัวของยีน

ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่าคิดและน่าหาคำตอบ

เพราะวัตถุประสงค์ของ “ริชาร์ด ดอว์กินส์” อย่างง่ายๆ คือการทำสำเนาแพร่กระจายตัวเองให้มากที่สุด เหนือยีนที่เป็นคู่แข่ง เพราะยีนเริ่มพัฒนามาเป็นสิ่งมีชีวิต เริ่มเรียนรู้เทคนิคในการทำสงครามเพื่อความอยู่รอด การวิวัฒนาการมาเป็นสัตว์ พืช และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ทั่วโลก

เนื่องจากสัตว์แต่ละตัวมีเอกลักษณ์ และพฤติกรรมที่ได้รับอิทธิพลจากยีนเห็นแก่ตัวจากผู้เป็นนายของมัน จนรังสรรค์ออกมาเป็นสิ่งต่างๆ ในธรรมชาติแสนมหัศจรรย์ เพราะทุกอย่างล้วนมาจากการบงการของยีนผู้เห็นแก่ตัว

“ริชาร์ด ดอว์กินส์” บอกว่าเมื่อตอนหนังสือยีนเห็นแก่ตัววางแผง ผมถูกนักวิทยาศาสตร์วิพากษ์วิจารณ์ถึงการอุปมาเปรียบเทียบกับตัวบุคคล เพราะผมอุปมากับตัวบุคคล 2 ระดับคือ ระดับยีนและระดับสิ่งมีชีวิต

การอุปมายีนเป็นบุคคลนั้นไม่น่าจะเกิดปัญหา เพราะคงไม่มีคนสติดีคนไหนคิดว่าโมเลกุลดีเอ็นเอจะมีบุคลิกภาพเป็นตัวตนขึ้นมาได้ และก็คงไม่มีนักอ่านที่มีเหตุผลคนไหนกล่าวหาผู้เขียนด้วยความเข้าใจผิดเช่นนั้น

แต่การอุปมาตัวบุคคลกับสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งๆ ดูจะมีปัญหามากกว่า เพราะสิ่งมีชีวิตไม่เหมือนยีนตรงที่มีสมอง ดังนั้น จึงอาจมีแรงจูงใจให้เห็นแก่ตัว หรือเอื้ออารีในบางสิ่งบางอย่าง ดังความรู้สึกส่วนตัวที่เรารับรู้ในใจเราเองก็เป็นได้

ผมเชื่อว่าการอุปมาเชิงบุคคลทั้ง 2 ระดับนี้ไม่น่าสับสนแต่อย่างไร ถ้าได้อ่านเนื้อหาครบถ้วน เพราะการคำนวณโดยการสมมุติทั้ง 2 ระดับจะนำไปสู่ข้อสรุปเดียวกัน ถ้าใช้งานอย่างเหมาะสม นั่นคือการใช้เป็นกฎเกณฑ์สำหรับการพิจารณาความถูกต้อง

แม้หนังสือเรื่อง “ยีนเห็นแก่ตัว” จะถูกนักวิทยาศาสตร์รุ่นใหม่ และรุ่นเก่าวิพากษ์วิจารณ์ไปในหลากหลายแง่มุม แต่กระนั้นก็มีนักวิชาการอีกจำนวนหนึ่งที่รู้สึกชื่นชมแนวคิดของ “ริชาร์ด ดอว์กินส์” ถึงขนาดเขียนบทความนำเสนอกรอบความคิดตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ และนิตยสารต่างๆ

“ปีเตอร์ เมดะวอร์” เขียนบทวิจารณ์ในหนังสือพิมพ์เดอะ สเป็กเตอร์ ฉบับวันที่ 15 มกราคม 1997 ดังความตอนหนึ่งว่า…ริชาร์ด ดอว์กินส์ ได้หักล้างมายาคติหลายๆ ข้อเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการเห็นแก่ผู้อื่นที่แพร่หลายกันในชีววิทยาเชิงสังคม แต่อย่าคิดว่าหนังสือเล่มนี้จะหักล้างความเชื่อโดยเด็ดขาด

ตรงกันข้าม กลับวางหลักเกณฑ์อันยอดเยี่ยมให้กับปัญหาหลักในชีววิทยาเชิงสังคมในแง่ทฤษฎีทางพันธุกรรมในการคัดเลือกโดยธรรมชาติ นอกเหนือจากนี้ยังเป็นหนังสือที่เต็มไปด้วยความรู้ ใช้สำนวนเปี่ยมไหวพริบ และเรียบเรียงมาเป็นอย่างดี

แม้ว่า “ยีนเห็นแก่ตัว” จะไม่ใช่หนังสือที่แย้งไปหมดทุกอย่างโดยตัวเอง แต่ก็กลายเป็นส่วนที่จำเป็นมากๆ ต่อแผนการขจัดลดทอนการสำคัญตัว อวดอ้าง อวดรู้ของบุคคลที่ไม่เห็นด้วย

เพราะข้อถกเถียงในหนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับมนุษย์เรา และสัตว์อื่นๆ ทุกชนิดล้วนแล้วแต่เป็นจักรกลที่สร้างขึ้นจากยีนเราเอง

เช่นเดียวกับ “ดับเบิลยู. ดี. แฮมิลตัน” ที่เขียนบทความตีพิมพ์ในวารสารไซเอนซ์ ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 1977 ดังความตอนหนึ่งว่า…ยีนเห็นแก่ตัวเป็นการตีความใหม่ คล้ายๆ กับบทละครของเชกสเปียร์ เพราะเนื้อหาทั้งหมดมีอยู่ในบท เหมือนกับถูกมองผ่านข้ามไปเท่านั้น

เนื่องจากมุมมองใหม่ที่กำลังพูดถึงไม่ได้แฝงอยู่ในบทละครแห่งวิวัฒนาการของดาร์วินมากเท่ากับที่แฝงอยู่ในบทละครแห่งธรรมชาติ และช่วงเวลาที่หลุดรอดไปจากความสนใจของเรานั้น ก็อยู่ในระดับแค่ 20 ปี ไม่ใช่เป็นหลักร้อยปี

“ริชาร์ด ดอว์กินส์” เริ่มต้นจากตัวอย่างเหล่าโมเลกุลที่พันเกลียวผันแปรไป ซึ่งตอนนี้เรารู้จักค่อนข้างดีอยู่แล้ว ขณะที่ในอดีต ชาร์ล ดาร์วิน ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับโครโมโซม หรือการจัดคู่เต้นรำแปลกๆ ของโครโมโซมในกระบวนการทางเพศ แต่ถึงจะแค่ 20 ปี แต่ก็นานเกินพอที่จะก่อให้เกิดความประหลาดใจได้

นอกจากนั้น “ดับเบิลยู. ดี. แฮมิลตัน” ยังชื่นชม “ริชาร์ด ดอว์กินส์” ในบทสุดท้ายอีกว่าเขาเขียนเรื่องที่น่าอัศจรรย์เกี่ยวกับวิวัฒนการของวัฒนธรรม เขายกคำว่ามีม (ย่อมาจากมีเมเม) ขึ้น สำหรับบางอย่างในทางวัฒนธรรมที่เทียบเท่ากับคำว่ายีน ศัพท์คำนี้อาจจะกำหนดขอบเขตได้ยาก

แน่นอนว่าจะต้องยากกว่าคำว่ายีน แต่อนาคตคำๆ นี้อาจถูกใช้กันทั่วไป โดยเฉพาะกับพวกนักชีววิทยา และหวังว่าจะสืบเนื่องไปจนถึงนักปรัชญา นักภาษาศาสตร์ และคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

จนทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างยิ่งใหญ่ในวงการชีววิทยาเกิดข้อถกเถียงพูดคุยกันถึงทฤษฎีวิวัฒนาการในมุมมองใหม่

ที่ไม่เพียงจะทำให้ “ริชาร์ด ดอว์กินส์” ถูกกล่าวถึงอย่างกว้างขวางจนต่อเนื่องมาถึง 44 ปีเต็ม และอีกต่อไปในอนาคต

ฉะนั้น การที่สำนักพิมพ์มติชนหยิบหนังสือเล่มนี้มาแปล และมาวางจำหน่ายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติครั้งที่ 44 ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 10 เมษายน 2559 จึงน่าจะเป็นหนังสือไฮไลต์อีกเล่มหนึ่งที่สำนักพิมพ์มติชนภูมิใจนำเสนอเป็นอย่างมาก

ลองไปหาอ่านดูนะครับ

โดยเฉพาะกับเหล่าบรรดาหนอนหนังสือที่ชอบงานเขียนแนววิทยาศาสตร์ เพราะไม่เพียงอ่านง่าย เข้าใจง่าย ยังจะทำให้เราเพลิดเพลินไปกับทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งจินตนการที่ผู้เขียนปล่อยออกมาอย่างมีนัยสำคัญด้วย

ถ้าไม่เชื่อต้องรีบไปหาอ่านโดยพลัน ?

The post ยีนเห็นแก่ตัว appeared first on มติชนออนไลน์.

บันทึกรายทาง โดย สุรินทร์ มุขศรี

ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต ฟังนักเขียน ‘มติชน’คิดถึงอะไร? อนาคตแบบไหน?

$
0
0

ผ่านมาครึ่งทางแล้ว สำหรับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 44 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 14 (Bangkok International Book Fair 2016)

งานยังคงจัดขึ้นที่เดิม คือ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ดำเนินไปตั้งแต่วันนี้จนถึง 10 เมษายน 2559

ท่ามกลางแดดที่ร้อนเปรี้ยง หนอนหนังสือยังคงทยอยเดินทางไปเลือกซื้อหนังสือ ฟังนิทรรศการ และร่วมกิจกรรมที่สำนักพิมพ์ต่างๆ จัดขึ้นอย่างล้นหลาม กลับบ้านพร้อมความรู้ บางคนหอบหิ้วหนังสือติดมือกันจนหลังแอ่น

ที่บูธของสำนักพิมพ์มติชน โซนพลาซ่า ผู้คนมากมายอัดแน่นจนเต็มพื้นที่จัดจำหน่ายหนังสือ นอกจากผลงานคุณภาพที่ปรากฏเรียงรายแล้ว ผลงานแนวสตรีตอาร์ตของศิลปิน รักกิจ ควรหาเวช ก็เป็นที่ดึงดูดผู้คนได้ดีทีเดียว

สำหรับธีมในการจัดบูธของสำนักพิมพ์มติชนปีนี้ สั้นๆ แต่ชัดเจนว่า “ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต”

ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามีแต่หนังสือประวัติศาสตร์เท่านั้น หากแต่ครอบคลุมผลงานทุกแนวทุกแบบ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ประวัติศาสตร์ วรรณกรรม วิทยาศาสตร์ ต่างประเทศ ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดล้วนน่าสนใจอย่างยิ่ง และการรับรู้ เข้าใจ ศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้อย่างรอบด้านนี่เอง จะเป็นเสมือน “เครื่องมือ” ให้เราสร้างอนาคตที่สดใสได้

หยิบเอาเรื่องนี้ไปพูดคุยกับนักเขียนที่มีผลงานตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์มติชน ว่าทันทีที่เขาได้ยินประโยคดังกล่าว มีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้? และอนาคตที่พวกเขาและเธออยากให้เป็นนั้น จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้าง?

เริ่มต้นที่นักเขียนสุดฮอตตลอดกาลประจำบูธสำนักพิมพ์มติชน เจ้าของเสียงหัวเราะเป็นเอกลักษณ์ และตัวอักษรอารมณ์ดี หนุ่มเมืองจันท์ ปีนี้มีผลงาน “ทางของเราต้องก้าวเอง” มาเป็นหนังสือขายดี (อีกแล้ว)

1คำตอบของเขาต่อคำถามที่ว่า ได้ยินคำว่า “ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต” แล้วนึกถึงอะไรนั้น เรียบง่ายและกินใจเหมือนหนังสือของเขาทุกเล่ม

“ผมนึกถึงภาพของสิ่งปลูกสร้างที่มาจากอิฐทีละก้อนๆ และประวัติศาสตร์ คือสิ่งนั้น สิ่งที่เราเห็นในวันนี้ คือ สิ่งก่อสร้างที่มาจากก้อนอิฐต่างๆ ในอดีต เวลาเราเอาก้อนอิฐมาวางเรียงกันสูงๆ สุดท้าย เรายืนบนก้อนอิฐที่สูงได้เท่าไหร่มองไกลได้เท่านั้น ประวัติศาสตร์ที่มีมากเรื่อยๆ ก็เช่นกัน เราจะมองไกลไปสู่อนาคตได้ชัดเจนกว่าคนที่ยืนแนวราบ ดังนั้น ประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญ แต่ในพื้นที่อนาคต เราก็ต้องรับว่าเป็นพื้นที่ของคนรุ่นใหม่ด้วย”

ถ้าอย่างนั้นตึกสูงจากการก่อร่างสร้างอิฐที่ “หนุ่มเมืองจันท์” อยากเห็นเป็นแบบไหน?

“คนในอดีต อดีตยาวอนาคตสั้น แต่คนในปัจจุบัน เขายังมีอนาคตยังยาวไกลในโลกใบนี้ และเราควรเปิดโอกาสให้เขากำหนดโลกในวันต่อไปมากกว่าเราไปกำหนดเอง” เป็นคำตอบในน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเจ้าตัว

ต่อด้วยเจ้าของผลงาน “ในสาธารณรัฐไวมาร์ ฮิตเลอร์ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง” อีกหนึ่งหนังสือขายดีที่ต้องซ้ำพิมพ์ซ้ำทันที ผลงานของนักเขียนหนุ่ม ภาณุ ตรัยเวช กับเรื่องราวของเยอรมนีที่เปลี่ยนระบอบการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตยเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นระบอบที่มีอายุยืนยาวอยู่เพียง 14 ปีเท่านั้นในสาธารณรัฐไวมาร์

2.

เป็นหนังสือประวัติศาสตร์อีกเล่มที่ให้มุมมองต่อประวัติศาสตร์ สังคมและการเมืองอย่างครอบคลุมรอบด้าน

กับคำว่า “ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต” นั้น นักเขียนหนุ่มให้คำจำกัดความว่า เขานึกถึงความเข้าใจ “เพราะเรามีชีวิตอยู่ในปัจจุบันครับ แต่การรู้เพียงแค่ปัจจุบันก็ยากมากที่จะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต” ดังนั้น สำหรับภาณุแล้ว การจะเข้าใจปัจจุบันได้นั้นก็จำเป็นจะต้องมองย้อนกลับในประวัติศาสตร์ด้วย

“แล้วก็ต้องตั้งความคาดหวังด้วยว่าอนาคตเราหวังอะไร เราต้องมองกลับไป และต้องมองไปข้างหน้า ทั้งหมดนี่ก็เพื่อจะทำความเข้าใจกันได้นั่นเอง” ภาณุกล่าว

ขณะที่อีกเล่มที่มาแรงมากๆ อย่าง THOU SHALL FEAR : เจ้าจงตื่นกลัว การก่อการร้าย ความรุนแรง และการครอบงำ จากปลายปากกาของ กฤดิกร วงศ์สว่างพานิช บอกเล่าถึงทฤษฎีแกนกลางของการก่อการร้ายว่าเริ่มอย่างไรและใช้งานอย่างไร

และคำว่า ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต ชวนให้ กฤดิกรนึกย้อนไปถึงหนังสือเรื่อง 1984 ของนักเขียนชาวอังกฤษ จอร์จ ออร์เวลล์ ที่ว่า ผู้ที่สามารถควบคุมอดีตได้คือผู้ควบคุมปัจจุบันและอนาคต

“คำว่าประวัติศาสตร์มันสัมพันธ์โดยตรงกับระบบความคิดความทรงจำของประชากร เช่น การนำประชากรให้เคลื่อนไหวด้วยแนวคิดใดแนวคิดหนึ่ง ก็ต้องใช้ฐานทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ว่าจะจริงหรือปลอมเป็นเครื่องมืออ้างอิง”

ใน THOU SHALL FEAR ของกฤดิกรเองก็ใช้แนวคิดทางประวัติศาสตร์มาอ้างอิงเพื่ออธิบายถึงต้นกำเนิดการก่อการร้าย

“เรามีภาพว่าการก่อการร้ายเป็นภัยที่รุนแรงด้วยภาพจำจากประวัติศาสตร์ในความทรงจำของเรา เมื่อประวัติศาสตร์นั้นถูกนำมาขยายข้อมูลจนเกินจริง เราจึงรู้สึกว่าการก่อการร้ายยิ่งใหญ่มากจนต้องดึงเอาทุกอย่างเท่าที่มีมาต่อต้านให้ได้ ถามว่าการก่อการร้ายเป็นภัยจริงไหม ก็มีความเป็นจริงอยู่แต่ไม่ได้ใหญ่เท่าที่คิดนั่นเอง”

ส่วน วีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ปีล่าสุด เจ้าของผลงาน “ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต” เผยสิ่งที่นึกถึงเมื่อได้ยินธีมของ สนพ.มติชนปีนี้ว่า คิดถึงประวัติศาสตร์ที่ถูกลบ ถูกบิดเบือน คิดถึงอนาคตที่บูดเบี้ยว

“ประวัติศาสตร์สร้างอนาคตอยู่แล้ว ประวัติศาสตร์คืออนาคตอยู่แล้วโดยตัวของมันเอง หมายถึงว่าคุณเติบโตมาจากอะไร คุณงอกมาจากอะไร เป็นต้นอะไรก็งอกออกมาเป็นต้นนั้นนั่นแหละ แล้วอนาคตคืออะไร ก็คือต้นที่งอกมาจากเมล็ดอดีต”

เช่นนี้แล้วอนาคตที่งอกมาจากเมล็ดพันธุ์อดีตของเราจะเป็นต้นแบบไหน ?

“บิดเบี้ยว” คือคำที่วีรพรโพล่งออกมาก่อนอธิบายว่า เราเติบโตมากับประวัติศาสตร์ที่ถูกบิดเบือน เราเติบโตมาจากประวัติศาสตร์ที่ถูกลบ เราไปไหนไม่ไกลหรอก เราก็เป็นต้นไม้บิดเบี้ยวต้นหนึ่ง ต้องวิกลจริต

ต่อกันอีกหนึ่งนักเขียนแนวประวัติศาสตร์

เทพ บุญตานนท์ อาจารย์สาขาวิชาประวัติศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ ม.มหิดล และผู้เขียน “การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ 6” บอกว่า เมื่อได้ยินประโยค “ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต” แล้วคิดถึงสิ่งที่จะได้เรียนรู้จากอดีตที่ผ่านมา แล้วพร้อมที่จะรับมือกับอนาคตที่จะเกิดขึ้นต่อมา สิ่งต่างๆ ที่เราได้เรียนรู้ในอดีตที่เคยเกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นอีกครั้งเราจะจัดการอย่างไรกับสิ่งเหล่านี้
5.
“ประวัติศาสตร์คงไม่สามารถสร้างอนาคตได้ถึงขนาดที่จะครีเอตขึ้นมาใหม่ แต่ประวัติศาสตร์ทำให้เราสามารถพร้อมจะมีชีวิตอยู่กับอนาคตโดยที่เข้าใจและเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ผมคิดว่าสิ่งที่ผ่านมาหลายๆ อย่าง สังคมเราเรียนรู้อะไรจากประวัติศาสตร์น้อยมาก ไม่นำประวัติศาสตร์มาทำความเข้าใจกับตัวเอง แล้วปล่อยให้อะไรต่างๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยที่ไม่เรียนรู้และมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดเรื่องต่างๆ ที่เรารู้สึกว่าไม่โอเคหรือเรื่องต่างๆ ที่ทำให้รู้สึกว่า…ทำไมต้องเกิดอย่างนี้อีกแล้ว ก็จะกลับมาแล้วมาอีกเรื่อยๆ เพราะเราไม่ทำความเข้าใจกับมัน”

สำหรับหนังสือ “การเมืองในการทหารไทย สมัยรัชกาลที่ 6” ของเขาที่เผยโฉมในสำนักพิมพ์มติชนครั้งนี้ เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีนัยเกี่ยวพันกับอนาคตเช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ด้านอื่น

เทพกล่าวว่า สิ่งที่สะท้อนออกมาในหนังสือเล่มนี้คือ ความจำเป็นของการปรับตัว สิ่งต่างๆ ต้องปรับตัวกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แม้แต่พระมหากษัตริย์ที่อยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ปรับตัวให้เข้ากับสังคมและโลกที่เปลี่ยนไป

“ประวัติศาสตร์สอนให้รู้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ สอนให้เรารู้จักปรับตัว มีชีวิตอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ โดยเรียนรู้จากมัน” เทพกล่าว

อีกมุมหนึ่ง

“สิ่งที่มนุษยชาติได้เรียนรู้นั้น มักจะมีวงรอบที่ซ้ำกันอยู่ๆ เหตุและผลที่ทำไมมันจึงเกิดขึ้น ก็มักจะเป็นในรูปแบบเดิม” คือประโยคของ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้แปลหนังสือ “The selfish Gene-ยีนเห็นแก่ตัว” หนึ่งในหนังสือที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่เขียนโดย ริชาร์ด ดอว์กินส์ นักชีววิทยาชื่อดัง และเป็นหนึ่งในหนังสือยอดฮิตในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติในปีนี้

ก่อนที่จะเสริมว่า ถ้าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ได้มากเพียงพอ เราจะรู้ว่าเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต เพราะอะไร และในอดีตนั้นเขาหาทางออกจากเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างไร

“หากเราไม่ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ เราจะไม่รู้เลยว่าปัญหาที่เราเจออยู่ในปัจจุบันจะหาทางออกไปในทิศทางไหน บ่อยครั้งที่มนุษย์ใช้วิธีการที่สุ่มไปเรื่อยๆ ลองใช้วิธีการแก้ปัญหาในทางโน้นที ทางนั้นที มันยากที่จะนำไปสู่ทางออกที่เคยมีคนพิสูจน์มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”

เจษฎากล่าวในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ว่า จะเห็นได้ว่านักวิทยาศาสตร์เองก็เรียนรู้วิธีที่ก้าวไปสู่อนาคต ไปสู่สิ่งใหม่ๆ ได้จากการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ข้อมูลต่างๆ ในอดีตทั้งนั้น ว่าอดีตเคยมีการทดลอง มีการทดสอบแล้วอย่างไรบ้าง

“การเรียนรู้ข้อผิดพลาดในอดีต ทำให้เรารู้ว่าอนาคตควรที่จะทำอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์หรือข้อผิดพลาดที่ซ้ำรอยเดิมได้ ถ้าเราทำแต่ซ้ำๆ ผลที่ออกมาก็จะเหมือนเดิม ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเราก็จะเท่าเดิม การที่วิทยาศาสตร์พัฒนาได้ก็เพราะเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ในอดีต และไม่ทำซ้ำอย่างเดิมเพื่อก้าวไปสู่สิ่งใหม่ๆ การเปลี่ยนแปลง ก้าวไปสู่อนาคตได้”

ส่วนหนังสือ “ไม้เท้าตีสุนัข” ที่เพียงแค่ชื่ออาจทำให้คอนิยายกำลังภายในต้องนึกถึงหนึ่งในกระบวนท่าชื่อดังของ “พรรคกระยาจก”

หากแต่ไม้เท้าตีสุนัขในที่นี้คือนวนิยายจีนที่ถูกแปลและเรียบเรียงโดย เรืองชัย รักศรีอักษร จากบทละครโทรทัศน์ที่คว้ารางวัลไปมากมายในปี 2557 โดย “กัวจิ้งอวี่”
7
และกลายเป็นหนึ่งในนิยายกำลังภายในอิงประวัติศาสตร์ที่กำลังได้รับความนิยมจากคอนิยายชาวไทยอย่างแพร่หลาย

ดังนั้นเมื่อถามถึงคำว่า “ประวัติศาสตร์คืออนาคต” เรืองชัยจึงดูมีท่าทีให้ความสำคัญกับคำนี้เป็นพิเศษ

“เนื่องจากผมได้มีโอกาสแปลหนังสือประวัติศาสตร์จีนบ่อยครั้ง ก็รู้สึกว่าหลายๆ เรื่องที่เราศึกษาหรืออ่านประวัติศาสตร์ มันทำให้เราเห็นว่าประวัติศาสตร์มักจะซ้ำรอย จึงทำให้เราสามารถที่จะเห็นถึงอนาคตในบางแง่มุมได้”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตบางครั้งเองก็ทำให้เราสามารถเห็นแนวทางในอนาตคได้ว่าเป็นอย่างไร”

เรืองชัยเสริมว่า อย่างประเทศจีนเองได้ให้ความสำคัญกับประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก เห็นได้จากจะมีการบันทึกอย่างละเอียด ต่อเนื่อง และยาวนาน ซึ่งเราจะมองเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละยุค แต่ละสมัยของจีนเองที่ห่างกันเป็นพันปีก็ยังเกิดขึ้นซ้ำกันได้

ดังนั้น การเรียนรู้ประวัตศาสตร์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกับคนรุ่นใหม่

“ประวัติศาสตร์มีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้เราเข้าใจรากของเรา จะทำให้เราเข้าใจตัวเอง เข้าใจประเทศไทย เข้าใจว่าเหตุการณ์ทำไมบ้านเมืองในวันนี้เป็นแบบนี้” เรืองชัยทิ้งท้าย

และนี่คือ “มุมหนึ่งของ” นักเขียนจาก “มติชน” ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับธีมของบูธสำนักพิมพ์มติชนปีนี้

“ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต”

8

The post ประวัติศาสตร์ คือ อนาคต ฟังนักเขียน ‘มติชน’ คิดถึงอะไร? อนาคตแบบไหน? appeared first on มติชนออนไลน์.


โหด มัน ฮา หัวล้านชนกัน ไม่สมศักดิ์ศรี กรรมการ-ผู้ชมไม่ยอมให้ลงเวทีต้องชนใหม่(คลิป)

$
0
0


วันที่ 5 เมษายน ที่วัดรามวราวาส ม.14 ต.ราม อ.เมือง จ.สุรินทร์ องค์การบริหารส่วนตำบลราม จัดแข่งขันกีฬาต้านยาเสพติด ส่งเสริมให้เยาวชนและประชาชนได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ มีหลายชนิดกีฬา ฟุตบอลเยาวชนชาย, ฟุตบอลหญิง, ฟุตบอลผู้สูงอายุชาย, วอลเลย์บอลหญิง, เซปัคตะกร้อ และมวย ให้เลือกชมและเลือกเล่น

แต่ที่เป็นไฮไลต์คือการแข่งขันหัวล้านชนกัน ระหว่าง แอ๊ดใหญ่ พ่อผู้ใหญ่บ้านโคกติง ชนกับหลังสวน อายุ 52 ปี พ่อผู้ใหญ่บ้านท่าเรือ ซักซ้อมท่าทางเป็นอย่างดี ใช้วาสลีนทาที่หัวล้านให้ลื่น กติกาคือ ให้ทั้งคู่เอาหัวตรงที่ล้านๆ มาชนกันอยู่ภายในวงกลมที่กรรมการขีดวงไว้ ใครชนและดันคู่ต่อสู้ออกนอกวงกลมเป็นผู้ชนะและผู้ชนะ 2 ใน 3 เป็นผู้ชนะ

แต่ทั้งคู่ชนไม่สมศักดิ์ศรี ชาวบ้านและกรรมการให้ชนกันใหม่จนพอใจถึงยอมให้ลงจากเวทีได้ สร้างความสนุกสนาน เฮฮากันไปตามๆ กัน ส่วนผลการแข่งขัน แอ๊ดใหญ่เป็นฝ่ายชนะ

The post โหด มัน ฮา หัวล้านชนกัน ไม่สมศักดิ์ศรี กรรมการ-ผู้ชมไม่ยอมให้ลงเวทีต้องชนใหม่(คลิป) appeared first on มติชนออนไลน์.

อยากเห็นคนไทยอ่าน

$
0
0

งานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 44 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 14 ยังมีเวลาให้น้องหนูไปเลือกหาซื้อหนังสืออีก 1 สัปดาห์เต็ม ถึงวันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน

วันก่อน คุณพี่สุรเชษฐ วรวงศ์วสุ ผู้ดำเนินงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และโครงการโรงแรมของครอบครัว ในชื่อเอทัส โฮเตล แอนด์ เรสซิเดนซ์ บอกกับหน้า 20 หนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่าอยากเห็นคนไทยก้าวทันโลกด้านภาษา

“ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากในโลกทุกวันนี้ ถ้าคนบ้านเราก้าวไม่ทันคนอื่นในเรื่องของภาษา เราก็จะอยู่รองบ๊วย ยิ่งผมทำธุรกิจโรงแรม เห็นน้องๆ พนักงานพูดไม่ได้ แล้วเราจะไปสู้กับคนอื่นได้อย่างไร จะรอให้เด็กรุ่นใหม่ๆ ก็ช้าไป ควรเริ่มตั้งแต่ตัวเราตอนนี้ เลยอยากให้คนไทยลองหยิบหนังสือมาอ่านเป็นการพัฒนาตัวเองครับ”

โอกาสของน้องหนูอยู่ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ยังมีหนังสือหลากหลายให้เลือกอ่านถึงวันอาทิตย์

หากน้องหนูต้องการหนังสือภาษาต่างประเทศ ไม่ว่าภาษาอังกฤษหรือภาษาชาติอื่น มีหนังสือจากหลายประเทศมาให้เลือกหาซื้อ

ส่วนหนังสือภาษาไทยไม่ต้องพูดถึง อยากได้หนังสือประเภทไหน เลือกหาซื้อจากทุกสำนักพิมพ์ตามใจชอบ ที่ตั้งของสำนักพิมพ์มติชนอยู่ที่เก่า โซนพลาซ่า มีหนังสือทั้งเรื่องของเมื่อวาน เป็นประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ บ่งบอกถึงอนาคต หรือหนังสือที่น้องหนูรอคอยมาทั้งปีของ “หนุ่มเมืองจันท์” เล่มหลังสุด

“ทางของเรา ต้องก้าวเอง”

“ทาง” มีหลายทาง แต่ “ใจ” มีดวงเดียว ไม่น่าสนใจหรือ

ประเด็นของหนังสือเล่มนี้คือ “การตัดสินใจ” ผู้เขียน “หนุ่มเมืองจันท์” ขยายวลีนี้ออกไปกว้างไกลสุดสายตา (หรือจะว่าสุดขอบฟ้าก็ได้) ก่อนกลับมาตั้งคำถามให้เราตัดสินใจเอง

ไม่ชี้นำ ไม่สั่งสอน แต่อ่านแล้วอดคล้อยตามไม่ได้ ไม่เชื่อซื้อมาอ่านในราคา 200 บาท (ยังไม่ลด)

ปีนี้แม้จะเลยเวลาไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน งานของสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย ร่วมมือกับภาคีเครือข่ายส่งเสริมการอ่านหนังสือคุณภาพ มีโครงการ “1 อ่าน ล้านตื่น” เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา

งานนี้เพื่อจัดหนังสือให้นักเรียนที่ขาดแคลนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ได้มีหนังสืออ่าน หากน้องหนูยังอยากร่วมโครงการนี้ลองติดต่อที่สมาคมฯ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ในงานว่ายังร่วมโครงการทันไหม แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องลืมเสียเถิด ถึงโครงการจัดไปแล้ว หากน้องหนูต้องการส่งเสริมการอ่านของน้องหนูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังจัดส่งหนังสือได้ทุกเวลา

หนังสือออกใหม่อีก 2 เล่มของสำนักพิมพ์มติชน เป็นเรื่องแปลโดยนักแปลมืออาชีพ นพดล เวชสวัสดิ์ เรื่อง เจาะลึกสงครามลับ CIA ชื่อภาษาอังกฤษคือ THE WAY OF THE KNIFE ผู้เขียนคือ MARK MAZZETTI ผู้สื่อข่าวรางวัลพูลิตเซอร์

น้องหนูรู้อยู่แล้วว่า CIA เป็นองค์การลับของสหรัฐอเมริกา ครั้งนี้พลิกบทบาทครั้งสำคัญ เมื่อเหยี่ยวข่าวสวมเขี้ยวเล็บเป็นเหยี่ยวนักล่าเป็นเรื่องของเหตุการณ์วินาศกรรมสหรัฐครั้งร้ายแรง คือการพุ่งเครื่องบินชนตึกเวิลด์เทรดเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 หรือ “เหตุ 9/11” รับรองสนุกเกินกว่าที่น้องหนูและนักอ่านเรื่องแปลจะคาดคิด เพราะเป็นเรื่องที่นำมาจากเหตุการณ์จริง ราคา 300 บาท

อีกเล่มหนึ่ง THE SELFISH GENE “ยีนเห็นแก่ตัว” ผู้เขียนคือ Richard Dawkins ผู้แปลคือ เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์

“ยีนเห็นแก่ตัว” คือหนึ่งในงานคลาสสิกแห่งวงการชีววิทยาสมัยใหม่ที่พิสูจน์ทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ลส์ ดาร์วิน (น้องหนูรู้จักไหม) และวางรากฐานทางทฤษฎีอย่างทรงพลังจนถึงทุกวันนี้ ราคา 390 บาท

The post อยากเห็นคนไทยอ่าน appeared first on มติชนออนไลน์.

7ความประทับใจ ผู้ถวายงานเบื้องพระยุคลบาท ‘สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’

$
0
0

เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเจริญพระชนมายุ 61 พรรษา ในวันที่ 2 เมษายน 2559

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้จัดกิจกรรมตามหาบุคคลในภาพที่ได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ในขณะที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจจากทั่วทุกภูมิภาค ซึ่งมีภาพที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 6 ภาพ

เมื่อกล่าวถึงสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี อันดับแรกที่จะนึกถึงคือพระราชกรณียกิจนานัปการที่พระองค์ทรงปฏิบัติเพื่อประเทศชาติ ขณะเดียวกันผู้ที่เคยถวายงานใกล้ชิดพระองค์จะทราบดีว่า ทรงไม่ถือพระองค์และเป็นพระองค์เองกับคนที่มาถวายงาน สร้างความปลื้มปีติให้แก่ผู้ถวายงานอย่างมาก

รวมถึง 7 บุคคลในโครงการตามหาบุคคลในภาพของกระทรวงวัฒนธรรมที่มีโอกาสถวายงานเบื้องพระยุคลบาทสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีนี้ด้วย

“พระองค์ท่านถามลุงด้วยภาษาธรรมดาว่า ลุงสร้างรถซาเล้งไว้ทำไม โดยสารไหม ลุงตอบไปว่าไม่ได้โดยสาร ทำขายขนมหวานตอนเช้า รู้สึกประทับใจมาก ปลาบปลื้มมาก” ความรู้สึกของ นาซาด หมัดตุกัง อดีตกำนันตำบลปูยู ปัจจุบันเป็นสมาชิก อบต.เกาะสาหร่ายชัยพัฒนา อ.เมือง จ.สตูล ที่ได้มีโอกาสถวายงานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในโอกาสเสด็จฯโดยเฮลิคอปเตอร์ไปยังเกาะปูยู เขตอำเภอเมืองสตูล เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2552

ครั้งนั้นนาซาดทำหน้าที่ขับรถซาเล้งพ่วงข้างให้พระองค์ประทับ เขาบอกว่ารู้สึกเกร็งและกลัวมาก เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้เข้าเฝ้าฯและถวายงาน

“วันนั้นตอนเที่ยงอากาศร้อนมาก ลุงไม่เป็นอะไรหรอก เพราะอยู่แบบนี้ทุกวัน สงสารแต่พระองค์ แต่พระองค์ท่านไม่บ่นสักคำ ยิ้มแย้มแจ่มใส และทำตัวเป็นกันเองกับทุกคนมากๆ”

ด้าน อารีย์ อุ่นกระโทก อดีตพนักงานของบริษัทเนสท์เล่ ปัจจุบันประกอบอาชีพปลูกดอกรักขาย เล่าถึงวันที่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯว่า ขณะนั้นทำงานอยู่ที่บริษัทเนสท์เล่ ตอนนั้นพระองค์ท่านเสด็จฯไปดูสำนักงานโครงการพัฒนาพันธุ์กาแฟที่ จ.เชียงราย ของบริษัทเนสท์เล่ เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2542

“รู้สึกประทับใจมาก ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร ตอนนั้นกำลังเก็บกาแฟอยู่ พระองค์ท่านรับสั่งถามว่า กาแฟเยอะแบบนี้เหนื่อยไหม เหนื่อยได้แต่อย่าท้อนะ อย่าถอย สู้ต่อไปนะ พระองค์ท่านยังรับสั่งอีกว่า ไม่ต้องพูดคำราชาศัพท์ ให้พูดธรรมดาก็ได้ รู้สึกภูมิใจมากที่ชาวบ้านธรรมดาอย่างเราได้เข้าใกล้ท่าน คำสอนของพระองค์ท่านนำมาใช้และสอนลูกเสมอว่า เหนื่อยได้นะลูก แต่อย่าท้อ เพื่ออนาคตข้างหน้า ขนาดพระองค์ท่านดูแลชาวไทยขนาดนี้ พระองค์ท่านยังไม่เหนื่อยเลย เราต้องสู้ต่อไป”


ภูวเนศวร์ แก้วบุดดี อาจารย์โรงเรียนพระปริยัติธรรม วัดโพนชัย อ.ด่านซ้าย จ.เลย มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯและถวายหัวผีตาโขนเมื่อครั้งที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯไปทรงเป็นประธานในพิธีเปิดงานภาคนิทรรศการในงาน “การนำเสนอผลงานวิจัยแห่งชาติ 2552” ณ ศูนย์ประชุมบางกอกคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวิลด์ เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2552

วันนั้น ก่อนสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯกลับ มีการถวายของที่ระลึกแด่พระองค์ท่าน ซึ่งภูวเนศวร์เป็นคนถวาย เขาบอกว่า ณ ตอนนั้นมีความรู้สึกตื่นเต้นมาก พอพระองค์เสด็จฯมาถึงข้างหน้า และทรงรับหัวผีตาโขนไป รู้สึกดีใจมากที่พระองค์ท่านทรงชมว่าหัวผีตาโขนสวยงามมาก ขณะเดียวกันก็ไม่กล้ามองพระพักตร์พระองค์ท่าน และพระองค์ท่านตรัสถามว่า ผ้าไหมที่อยู่บนพานคืออะไร ได้ตอบพระองค์ไปว่าเป็นชุดประกอบการแสดงผีตาโขนของชาวอำเภอด่านซ้าย แล้วพระองค์ก็เสด็จฯกลับ

“โดยส่วนตัวของผม ดีใจมากที่พระองค์ท่านเล็งเห็นความสำคัญของวัฒนธรรมท้องถิ่นของชาวอำเภอด่านซ้าย ผมเองก็เป็นชาวอำเภอด่านซ้าย รู้สึกดีใจมากที่พระองค์ท่านเห็นความตั้งอกตั้งใจการทำวิจัยในครั้งนั้น ดีใจที่พระองค์ท่านเสด็จฯมาและชมว่าผีตาโขนสวยงาม เราได้นำคำชมของพระองค์ท่านไปเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจในการพัฒนาผีตาโขนให้ลูกหลานได้ชมกัน”

อีกสองท่านที่มีโอกาสได้ถวายงานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ อย่าง พัชนี พืชมงคล ข้าราชการบำนาญในสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ อ.สทิงพระ จ.สงขลา และ ชะอุ่ม ดุจชาตบุษย์ เจ้าพนักงานเคหกิจเกษตรชำนาญงาน สังกัดสำนักงานเกษตร อ.สิงหนคร จ.สงขลา เล่าความรู้สึกที่ได้ถวายงานในวันที่ 1 ตุลาคม 2531 พร้อมน้ำตาคลอด้วยความปลื้มปีติและภาคภูมิใจ

พัชนีเล่าว่า ตอนนั้นเป็นผู้รับผิดชอบโครงการพระราชดำริ โครงการอาหารกลางวันในโรงเรียนตำรวจชายแดน อ.สะบ้าย้อย ซึ่งจะต้องดูแลเรื่องผลผลิตทางการเกษตรที่เป็นโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกรมเกษตร เอาโครงการมาแปรรูปจากผลผลิตที่ได้ ซึ่งโครงการนี้ทำขึ้นเพื่อเด็กที่ขาดสารอาหาร เนื่องจากพระองค์ท่านเสด็จฯพร้อมสมเด็จย่าไปที่โรงเรียนแล้วเจอเด็กขาดสารอาหารเยอะมาก พระองค์ท่านเลยหาวิธีการที่จะให้เด็กขาดสารอาหารน้อยที่สุดจนหมดไป เพราะฉะนั้นจึงเกิดโครงการพระราชดำริขึ้น ซึ่งโครงการนี้ทำให้ภาวะขาดสารอาหารในเด็กหมดไป
“พระองค์ท่านเสด็จฯมาถึง ก็ตรัสถามก่อนเลยว่าจะให้ทำอะไร เราก็ตอบผัดผักรวม และถวายผ้ากันเปื้อนให้พระองค์ท่าน พระองค์ท่านถามว่าอะไร พระองค์ท่านพูดเป็นกันเองมาก เราก็ตอบไปว่าผ้ากันเปื้อนเพคะ พระองค์ท่านก็บอกว่าให้พูดธรรมดา เพราะเราพูดเพคะมันตะกุกตะกักแล้วไม่เหมือนพูดปกติ เราก็ส่งผ้ากันเปื้อนให้ พระองค์ท่านก็ทรงสวมแล้วให้เราผูกเชือกให้ ประทับใจมากเพราะได้สัมผัสพระองค์ท่าน พูดตอนนี้แล้วยังสั่นๆ อยู่เลย แล้วพระองค์ท่านก็ตรัสถามว่า เริ่มอะไรก่อน เราก็ส่งน้ำมันพืชให้ แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ได้สัมผัสพระหัตถ์ท่าน ท่านก็รับไป ตรัสถามต่อว่าให้ใส่มากแค่ไหน เราก็ตอบไปว่าแล้วแต่พระองค์ท่านเลย พระองค์ตรัสกับเราตลอดเวลา แล้วเราก็ส่งกระเทียมให้ พระองค์ท่านก็ทำไปตามลำดับขั้นตอน”

ด้านชะอุ่มเล่าว่า วันนั้นทำหน้าที่ควบคุมเตาแก๊ส คอยเปิดแก๊สให้พระองค์ท่าน ในระหว่างเปิดแก๊สมีความกังวลใจมาก กลัวตัวเอง

จะทำหน้าที่บกพร่อง ถ้าแก๊สไม่ติดและมีปัญหาจะทำอย่างไร ต้องควบคุมสติตัวเองและตื่นเต้นมากๆ ยังต้องทำให้ได้ พอเปิดแล้วแก๊สติดเลย พระองค์ท่านทรงทำอาหารจนเสร็จก็ตรัสถามว่า ฟักทองจะสุกไหม เราก็ตอบไปว่าสุกเพคะ พระองค์ท่านก็พูดว่าพูดธรรมดาก็ได้

“ในการเสด็จฯของพระองค์ท่านแต่ละครั้ง ในฐานะที่ดิฉันยังทำหน้าที่ข้าราชการอยู่ เห็นว่าพระองค์ท่านทรงเหนื่อยมากๆ เพราะพระองค์ท่านไม่ได้พักผ่อนเลยในแต่ละวัน ตัวดิฉันเองได้นำเอาแนวทางที่พระองค์ท่านทำมาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิต เพราะต้องทำหน้าที่ออกพื้นที่เยี่ยมโรงเรียนกลุ่มต่างๆ ที่ตัวเองรับผิดชอบ วันไหนที่ว่าทำงานเหนื่อยก็เอาภาพของพระองค์ท่านมาแนบอก วันนั้นก็หายเหนื่อย”

เนื่องจากพระราชกรณียกิจอันหลากหลาย เสด็จฯไปปลูกป่าชายเลนตามโครงการขยายพื้นที่ใหม่ ต.คลองโคน อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2542 ครั้งนั้น เดชา จือเหลียง ทำหน้าที่ผู้ใหญ่บ้าน ก็ได้เข้าเฝ้าฯและถวายงาน

เดชาเล่าว่า ตอนนั้นทำหน้าที่เป็นคนถีบกระดานเลนตอนพระองค์ท่านปลูกป่าชายเลน พระองค์ท่านเสด็จฯปลูกอยู่ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2540, 2541, 2542, 2545 และปี 2547 ผมถีบไปตามแนวที่จะปลูกป่า พระองค์ท่านตรัสกับคนที่ถวายงานตลอดเวลา แต่ไม่ได้ตรัสกับผมเนื่องจากผมกลัว ตอนถีบกระดานเลนต้องคอยระวัง เพราะพระองค์ท่านประทับนั่งบนกระดานเลน มันพลิกได้ ผมประทับใจมากที่ครั้งหนึ่งเคยถวายงานให้พระองค์ท่าน

“คนมีอีกมากมาย แต่เราได้เป็นหนึ่งคนที่ได้ถวายงานให้กับพระองค์ท่าน ตั้ง 5 ปีที่เราได้ทำหน้าที่ถวายงาน” เดชากล่าวอย่างตื้นตัน

บุคคลในภาพคนสุดท้ายบอกกล่าวความรู้สึกในขณะนั้น กริช ชัยยะ อดีตพนักงานองค์การสวนสัตว์ สวนสัตว์ดุสิต มีโอกาสถวายงานเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2529 ขณะที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์เยี่ยมชมสวนสัตว์ดุสิต

กริชเล่าความทรงจำสุดประทับใจในอดีตว่า วันนั้นเป็นตอนที่พระองค์ท่านเสด็จฯมาที่สวนสัตว์ พระองค์ทรงอุ้มลูกลิงอุรังอุตังมาด้วย พอดีทางผู้บังคับบัญชาให้เอาลูกเสือมาเพื่อให้พระองค์ทอดพระเนตร ผมเลยวิ่งไปอุ้มลูกเสือมาให้พระองค์ท่านทอดพระเนตร พระองค์ท่านก็ได้เอามือลูบคางเสือเล่น ประมาณ 5 นาทีได้ แต่ก็ไม่ได้ตรัสอะไร

“รู้สึกตื่นเต้นมาก ไม่เคยได้ถวายงานแบบนี้มาก่อนในชีวิต พยายามบังคับตัวเองไม่ให้ตื่นเต้นมาก จากวันนั้นที่ได้ถวายงานก็ผ่านมา 30 ปีแล้ว ยังรู้สึกประทับใจไม่หาย และในวันคล้ายวันพระราชสมภพพระองค์ท่าน ขอให้พระองค์ท่านทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน” กริชกล่าวทิ้งท้าย

แม้จะเป็นเพียงความประทับใจของคนที่ได้เข้าเฝ้าฯและถวายงานรับใช้เพียงไม่กี่คน แต่เชื่อว่าเมื่อใครได้อ่านเรื่องราวความประทับใจและความภาคภูมิใจของพวกเขา จะสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกตื้นตันใจ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ถวายงานรับใช้เบื้องพระยุคลบาท

The post 7ความประทับใจ ผู้ถวายงานเบื้องพระยุคลบาท ‘สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี’ appeared first on มติชนออนไลน์.

วัน’สัญญา ธรรมศักดิ์’

$
0
0

ในแต่ละรอบปี วันที่ 5 เมษายน เป็นวัน “สัญญา ธรรมศักดิ์” มูลนิธินิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีกองทุนในความรับผิดชอบ 2 กองทุน คือ กองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ กับกองทุนศาสตราจารย์จิตติ ติงศภัทิย์ โดยในแต่ละปีกองทุนศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ จะมีการคัดเลือกนักกฎหมายดีเด่นและนักศึกษากฎหมายดีเด่น

บางปีเช่นปีนี้ ไม่มีการคัดเลือกนักกฎหมายดีเด่น แต่ยังมีการคัดเลือกนักศึกษากฎหมายดีเด่นประจำปี 2559 จากการนำเสนอของคณะนิติศาสตร์ 4 มหาวิทยาลัย ได้แก่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยรามคำแหง และมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช

คณะกรรมการและที่ปรึกษา มีศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธานกรรมการ ประชุมคัดเลือกนักศึกษากฎหมายดีเด่นเสร็จสิ้นไปแล้ว และจะมอบรางวัลนักศึกษากฎหมายดีเด่นประจำปี 2559 วันนี้ ที่ 5 เมษายน อันเป็นวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ตั้งแต่เวลา 07.30 น.

ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้รับรางวัลศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์ ปีนี้ ได้แก่

นายสิทธิกร ตั้งศิริ (ภูมิ) นักศึกษากฎหมายเกียรตินิยม อันดับ 1 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

เกิดเมื่อ 11 พฤศจิกายน 2535 ที่กรุงเทพมหานคร บิดาชื่อ นายสมนึก มารดาชื่อ นางสุภาพร ตั้งศิริ

สำเร็จการศึกษาเมื่อ 9 กรกฎาคม 2558 ปีการศึกษา 2557 คะแนนเฉลี่ย 3.74 เกียรตินิยมอันดับ 1

จบการศึกษาขั้นพื้นฐานจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ปีการศึกษา 2553 คะแนนเฉลี่ย 3.89

ขณะนี้ เป็นทนายความตำแหน่ง Associate ที่บริษัท Rajah & Tann (Thailand) Co., Ltd. และแปลเอกสารกฎหมายให้กับบริษัท S&S Legal Consultants Co., Ltd.

นายสิทธิกรเคยได้รับรางวัลมามาก รวมทั้งทุนการศึกษาจากประเทศเยอรมนี เพื่อศึกษากฎหมายเยอรมนีเบื้องต้น เมื่อปีที่ผ่านมา เป็นนิสิตดีเด่น ระดับปริญญาตรี

ประจำปี 2557 ได้รับการยกย่องเป็นนิสิตผู้ทำคุณประโยชน์แก่มหาวิทยาลัยด้านการบริหาร เป็นนิสิตผู้สร้างชื่อเสียงด้านวิชาการ ปี 2557 และผู้สร้างชื่อเสียงด้านศิลปะวัฒนธรรม ปี 2556 และได้รับรางวัลเหรียญทองขับร้องประสานเสียงที่ประเทศอิตาลี และรางวัลเรียงความยอดเยี่ยม ด้วยการเขียนเรียงความเป็นภาษาอังกฤษ

ทั้งยังเป็นกลุ่มตัวแทนคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัลชนะเลิศแข่งขันว่าความในศาลจำลองรายการ “Philip C. Jessup International Law Moot Court Competition 54th 2013” เป็นการแข่งขันระดับประเทศ ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐอเมริกา อาศัยกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมืองในการเขียนคำฟ้อง แถลงการณ์ด้วยวาจาต่อหน้าคณะกรรมการ และสร้างข้อต่อสู้ด้วยเหตุผลทางกฎหมาย

กิจกรรมในมหาวิทยาลัย ปี 2557 เป็นกรรมการนิสิต เป็นประธานฝ่ายวิชาการของคณะ ฯลฯ

ภูมิให้สัมภาษณ์ “มติชน” เมื่อวันอาทิตย์ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมาถึงความสนใจด้านกฎหมายว่า หากต้องการเปลี่ยนแปลงสังคม กฎหมายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง ชอบกฎหมายสิทธิมนุษยชน มีแรงบันดาลใจจากศาสตราจารย์วิทิต มันตาภรณ์ ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศ การได้รับรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ จึงเป็นเครื่องเตือนใจในอนาคตว่าทำไมจึงสนใจและอยากทำงานด้านนี้

สิทธิกรว่าถึงสิทธิมนุษยชนในกฎหมายไทยว่า ไทยมีรัฐธรรมนูญมาหลายฉบับ มีทั้งดีและไม่ดี รัฐธรรมนูญ 2540 และรัฐธรรมนูญ 2550 มีการคุ้มครองสิทธิในระดับดี การคุ้มครองไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่กับเจ้าหน้าที่ว่าจะปฏิบัติอย่างไรกับประชาชน

ขอแสดงความยินดีกับ สิทธิกร ตั้งศิริ เจ้าของรางวัลสัญญา ธรรมศักดิ์ ประจำปี 2559 ซึ่งจะได้รับรางวัลเช้าวันนี้ จากประธานในพิธี ศาสตราจารย์ธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี

The post วัน’สัญญา ธรรมศักดิ์’ appeared first on มติชนออนไลน์.

เปิดโลก ‘ซามูไร’เรื่องน่าทึ่งของดาบญี่ปุ่น ของรัก ‘ดอยธิเบศร์ ดัชนี’

$
0
0

เป็นครั้งแรกของเมืองไทยที่มีการจัดแสดงชุดซามูไร ดาบ และข้าวของในยุคโบราณของญี่ปุ่น ซึ่งทุกชิ้นล้วนเป็นของแอนทีค สมบูรณ์ระดับงานมาสเตอร์พีซ ผ่านการใช้งานจริงมาแล้วเมื่อ 300-400 ปีก่อน

สำหรับผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยเฉพาะในสมัยเอโดะ นิทรรศการ “ซามูไร” เป็นสิ่งที่ต้องไม่พลาด

“Mr.Pavel Sherashov” และ “ดอยธิเบศร์ ดัชนี” สองนักสะสมผู้หลงใหลในวิถีแห่งซามูไร และครอบครองสิ่งของล้ำค่านานาชนิดที่เกี่ยวข้องกับซามูไร จับมือกันเปิดกรุของสะสมสุดรัก เพื่อให้ผู้หลงใหลในศิลปะและประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นได้ชื่นชมอย่างใกล้ชิด ที่ห้อง The Space ชั้น G ศูนย์การค้าเกษร สี่แยกราชประสงค์

รวมทั้ง ชุดซามูไร ระดับแม่ทัพ สมัยเอโดะ ที่ “ดอยธิเบศร์” ได้มาจากการประมูล และเก็บรักษาอย่างดีในหีบชนิดที่เจ้าตัวเองก็ยังยอมรับว่าเพิ่งได้เห็นจริงๆ ก็เมื่อนำมาจัดแสดงในครั้งนี้

ดาบของพ่อ คือแรงบันดาลใจ

“ผมเป็นคนชอบอาวุธอยู่แล้ว และโดยส่วนตัวคุณพ่อ (ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม) พ.ศ. 2544) ก็เป็นคนชอบอาวุธเหมือนกัน เป็นของที่เอาไว้เป็นแรงบันดาลใจในการทำงานมากกว่า”

ดอยธิเบศร์ เปิดใจถึงที่มาของการสะสมสรรพสิ่งที่เกี่ยวข้องกับซามูไร ที่มีจุดเริ่มต้นจากอาวุธญี่ปุ่น

“ผมว่ามันมีเสน่ห์ และถ้าพูดถึงดาบที่เป็นที่สุดของโลกต้องยกให้ดาบญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยี หรือวิธีการทำ”

ดาบญี่ปุ่นเล่มแรกที่เขาสัมผัสจับต้องก็คือ ดาบสั้น (วากิซาชิ) ของพ่อ ที่มีคอลเล็กเตอร์นำมาแลกกับภาพเขียนไปหลายรูป เป็นดาบระดับ “ไดเมียว” เพราะด้ามดาบเล่มนี้พันด้วย “พาลีน” คือเหงือกปลาวาฬ ซึ่งคนที่จะฆ่าปลาวาฬได้ ไม่ใช่ชาวบ้านแน่นอน

เป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาดาบญี่ปุ่นอย่างจริงจังและลึกซึ้ง จนพบว่าดาบญี่ปุ่นไม่ได้เป็นแค่วัตถุ แต่เป็นเรื่องของประเพณี เป็นสัญลักษณ์ของประเทศ สัญสักษณ์ของอำนาจ ของนักรบญี่ปุ่น แม้ว่าในสมัยสงครามโลก ดาบจะมีบทบาทน้อยลง แต่ยังคงมีการผลิตดาบเพื่อให้ทหารพกติดตัวไปด้วย

ส่วนเล่มแรกที่ได้เป็นเจ้าของจริงๆ ดอยธิเบศร์เล่าว่า ได้มาเมื่อ 20 ปีก่อน ครั้งที่เข้าไปตระเวนเสาะหาดาบญี่ปุ่นทางฝั่งพม่า แม้ว่าดาบที่พบส่วนใหญ่เป็นดาบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการทำในระดับอุตสาหกรรม แต่ก็ได้ดาบโบราณมาเล่มหนึ่งตีด้วยมือที่ราคา 20,000 บาท

หลังจากนั้นก็เริ่มสะสมเรื่อยมา โดยเลือกเก็บเฉพาะดาบโบราณและดาบที่สำคัญๆ ซึ่งหาไม่ได้ง่าย ต้องรอจากงานประมูล กระทั่งมาเจอ “พอล” (Pavel Sherashov) ซึ่งเป็นดีลเลอร์ใหญ่ เป็นคนจัดนิทรรศการ “ซามูไร” นี้ รวมทั้งเคยจัดนิทรรศกาลดาบที่รัสเซียมาแล้ว ทำให้การตามหาดาบสำคัญๆ ได้ง่ายขึ้น

(ซ้าย) รองเท้าระดับหัวหน้า ถ้าเป็นพลทหารจะใช้รองเท้าฟาง (ขวา) หมวกนักรบ
(ซ้าย) รองเท้าระดับหัวหน้า ถ้าเป็นพลทหารจะใช้รองเท้าฟาง (ขวา) หมวกนักรบ

หลักฐานความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น

ไม่เพียงสนุกกับการตามหาดาบญี่ปุ่นเล่มสำคัญๆ เขายังเป็นกูรูดาบญี่ปุ่น ที่คอลเล็กเตอร์ในระดับโลกให้การยอมรับว่า เป็นเจ้าของดาบสำคัญๆ ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ว่ากันในแง่ประวัติศาสตร์ ดอยธิเบศร์บอกว่า ประวัติศาสตร์ไทย-ญี่ปุ่นมีความเกี่ยวข้องกันตั้งแต่สมัยอยุธยา ถ้าดูจากดาบ ประวัติศาสตร์ของเราเกี่ยวข้องกันตั้งแต่อยุธยา สมัยยามาดะ นางามาสะ ซึ่งเข้ามารับราชการและได้รับบรรดาศักดิ์เป็นออกญาเสนาภิมุข

จะเห็นว่าพระแสงดาบของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะคล้ายดาบญี่ปุ่น รวมทั้งพระแสงขรรค์ชัยศรี ซึ่งใช้ในพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา หรือพิธีสำคัญๆ เกือบจะทั้งหมดเป็นพระแสงดาบญี่ปุ่น หรือได้แรงบันดาลใจจากดาบญี่ปุ่นทั้งสิ้น

“ตั้งแต่สมัยอยุธยาก็มีนักรบของญี่ปุ่นมาช่วยในการสงคราม ถ้าสังเกตดาบอาญาสิทธิ์ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานให้แก่เจ้าพระยาบดินทร์เดชา (สิงห์ สิงหเสนี) ก็มีลักษณะแบบดาบญี่ปุ่น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระแสงดาบญี่ปุ่นเหมือนกัน ผมว่าดาบญี่ปุ่นไม่ได้ห่างจากสังคมไทย เพียงแต่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้น”

ด้วยความที่สนใจดาบญี่ปุ่น นอกจากการค้นคว้าศึกษาอย่างจริงจังแล้ว ยังเคยแม้กระทั่งไปลองตีดาบที่ญี่ปุ่น

“การจะตีดาบญี่ปุ่นได้ต้องฝึกนานถึง 3 ปี จึงจะให้เริ่มเป็นช่าง ซึ่งผมไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น และเคยเรียนโพลิชชิ่ง (การขัดเงา) เพราะดาบญี่ปุ่นนั้นในขั้นตอนการผลิตใช้ช่างหลายคน ตัวดาบก็ 1 ช่าง ช่างขัด ทำอะไหล่ และอะไหล่แต่ละชิ้นก็ใช้ช่างแยกไปตามแต่ละตระกูล ฉะนั้น ดาบแต่ละเล่มจะใช้ช่างอย่างน้อย 10 คน ส่วนใหญ่จะมีตระกูลช่างของเขา”

ที่ญี่ปุ่นจึงมีนักดาบที่ได้รับการยกย่องศิลปินแห่งชาติ ซึ่งใน 1 ปี จะตีดาบได้เพียง 20 เล่มเท่านั้น ทั้งนี้ ก็เพื่อให้ดาบแต่ละเล่มที่ผลิตออกมาเป็นดาบที่มีคุณภาพจริงๆ การตีดาบจึงเป็นศิลปะ

ขณะเดียวกันการจะไปหาซื้อดาบญี่ปุ่นก็ไม่ง่าย เพราะดาบทุกเล่มต้องมีทะเบียนเหมือนปืน และต้องแจ้งทุกครั้งเมื่อมีการเปลี่ยนเจ้าของ ไม่ใช่ว่าซื้อปุ๊บเอากลับได้เลย ทั้งยังต้องผ่านขั้นตอนอีกมากมายในการนำออกนอกประเทศ

ดาบตระกูลโทกุกาว่า ผ่านการคัตติ้ง เทสต์ มาแล้ว 8 ร่าง ที่ด้ามจะสลักและคร่ำด้วยทองคำบอกประวัติของดาบ (ภาพเล็ก) ตราประทับของตระกูลโทกุกาว่าบนด้ามดาบ
ดาบตระกูลโทกุกาว่า ผ่านการคัตติ้ง เทสต์ มาแล้ว 8 ร่าง ที่ด้ามจะสลักและคร่ำด้วยทองคำบอกประวัติของดาบ (ภาพเล็ก) ตราประทับของตระกูลโทกุกาว่าบนด้ามดาบ

คอลเล็กชั่นส่วนตัว เน้นเฉพาะดาบสำคัญลำดับต้นๆ

ดอยธิเบศร์บอกต่ออีกว่า ในส่วนของงานสะสมส่วนตัวนั้นจะเน้นดาบสำคัญ ที่มีความพิเศษ เช่น ดาบของตระกูลกัสสัน ต้นตะกูลดาบที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์มาก

“สมัยก่อนมีโฆษณาของโรเล็กซ์ ซึ่งพรีเซ็นเตอร์ปกจะมีดารา นักแสดงมีชื่อเสียงระดับโลก กัสสัน ซาดาอิจิ เป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับโรเล็กซ์ ใส่โรเล็กซ์แล้วถือดาบ ผมสนใจมากว่าทำไมในบุคคลสำคัญๆ ระดับโลกจึงเลือกกัสสันเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่น จึงเริ่มศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งวันหนึ่งเราก็ได้เป็นเจ้าของดาบของต้นตระกูลเขา”

เวลาเก็บผมจะเก็บดาบแต่หัวๆ เช่น ดาบต้นตระกูล โดยจะเลือกดาบที่มีขนาดประมาณ 70 ซม. เผื่อใช้เองด้วย เพราะดาบญี่ปุ่น เป็น “คัสตอม เมด” (Custom made) ตีตามลักษณะผู้ใช้ ขนาดมือ ส่วนสูง คนญี่ปุ่นเมื่อก่อนจะตัวเล็ก ดาบส่วนใหญ่จะขนาด 60 กว่า ซม. การจะเลือกดาบที่ตีโดยต้นตระกูลดาบเอง และมีความยาว 70 ซม. จึงหาไม่ง่าย

นอกจากการเลือกสะสมเฉพาะดาบต้นตระกูลดังๆ แล้ว ดอยธิเบศร์ยังหลงใหลดาบที่เป็น “คัตติ้ง เทสต์” คือย้อนกลับไปสมัยเอโดะ การทดสอบความคมของดาบจะใช้วิธีการฟัน “ร่างกายมนุษย์” ช่างที่ฟันต้องเป็นนักดาบเท่านั้น ซึ่งยุคนั้นการประหารชีวิตคนก็จะใช้ดาบซามูไรเช่นกัน

ลักษณะของการคัตติ้ง เทสต์ จะมีแบบฟัน 1 ศพ ฟัน 2 ศพ หรือฟัน 3 ศพ คือ เอาศพมาเรียงซ้อนกันแล้วฟัน ส่วนใหญ่จะใช้ศพที่ตัดคอแล้ว คือเป็นนักโทษประหาร โดยจะมีท่าฟัน และตำแหน่งการฟัน เช่น ฟันกลางตัว ฟัน 45 องศา เหล่านี้ผมคิดว่าหมื่นเล่มจะมีสัก 1 เล่ม

ซึ่งเมื่อฟันแล้วจะสลักข้อความลงบนดาบและคร่ำด้วยทองคำ เช่น ฟันกี่ศพ วันเดือนปีที่ฟัน ท่าที่ฟัน และต้องให้เจ้าหน้าที่หรือนักดาบฟัน ฉะนั้น ผมสนใจดาบพวกนี้เป็นพิเศษ แต่หายาก และเป็นที่ต้องการของตลาดมาก อย่างทางอเมริกา ซึ่งดาบที่แพงสุดที่ประมูลไปราคา 20 ล้าน เป็นดาบสมัยศตวรรษที่ 13

ดาบ (พร้อมฝัก) ของช่าง 1 ใน 5 ที่ได้ชื่อว่าทำดาบได้คมที่สุด เล่มนี้คัตติ้ง เทสต์ 2 ร่าง
ดาบ (พร้อมฝัก) ของช่าง 1 ใน 5 ที่ได้ชื่อว่าทำดาบได้คมที่สุด เล่มนี้คัตติ้ง เทสต์ 2 ร่าง

อาถรรพ์หรือไม่ อยู่ที่คนเชื่อ

ในเมื่อดาบประเภทหนึ่งที่ดอยธิเบศร์เน้นคือ ดาบที่ผ่านการ “คัตติ้ง เทสต์” หมายความว่า จะต้องทดสอบความคมของดาบด้วยการฟันร่างมนุษย์ ซึ่งโดยมากเป็นนักโทษประหาร มีทั้งที่เป็นศพแล้ว และที่ยังเป็นๆ ยังไม่นับอีกเป็นร้อยเป็นพันศพที่ต้องสังเวยคมดาบบนสนามรบ

แน่นอนว่า คำถามหนึ่งที่ต้องไม่พลาด คือเรื่องของอาถรรพ์

“เรื่องอย่างนี้แล้วแต่คนเชื่อ ซึ่งดาบพวกนี้ฆ่าคนมาหลักร้อยหลักพันคน เพราะผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี” ดอยธิเบศร์แบ่งรับแบ่งสู้

ผมศึกษาเรื่องเหล่านี้มา ผมมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่าง มีจิตวิญญาณ เพราะถูกตีขึ้นมาด้วยความตั้งใจ คนตีต้องถือศีล ฯลฯ ฉะนั้น มันต้องมีความสำคัญ

“ถามว่าเจอเรื่องประหลาดมั้ย-ก็มี พอเอาเข้าบ้านช่วงนั้นก็มีอุบัติเหตุตกจากที่สูง ส่วนตัวผมไม่ได้เอามาผูกกันมาก แต่ก็มีเรื่องแปลกๆ อยู่นิดหน่อย เราก็ขออนุญาตเขานิดนึง ตอนที่ผมได้ดาบคัตติ้ง เทสต์ มา ตอนจะเอากลับบ้านผมก็เอาเงินญี่ปุ่นโบราณไปขอซื้อกลับมา ก็เหมือนกับเวลาเราให้ของมีคมกันก็จะให้สตังค์” ดอยธิเบศร์บอก และแย้มว่า

ส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าเก็บไว้หรอกครับ แต่ผมไม่ได้กลัว เพราะเกิดมาก็เห็นอยู่แล้ว และเรามีเจตนาดี ในอนาคตเราก็จะทำเป็นมิวเซียมที่เชียงราย อาจจะจัดนิทรรศการใหญ่ที่กรุงเทพฯสักครั้ง ก่อนจะย้ายไป เพราะผมเชื่อว่าดาบที่ผมมีมีคุณค่ามากมาย

‘ซามูไร’ มาสเตอร์พีซล้วนๆ

ชมฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย

สำหรับนิทรรศการ “ซามูไร” ที่จัดแสดงที่ห้อง The Space ชั้น G ศูนย์การค้าเกษร ดอยธิเบศร์ บอกว่าอยากให้คนไทยได้เข้ามาชมกันมากๆ เพราะเป็นครั้งแรกที่นำเอาชุดเกราะสำคัญ ระดับแม่ทัพบัญชาการรบ เก่าแก่ในราวศตวรรษที่ 16-17 มาให้ชม ซึ่งถือเป็นชิ้นไฮไลต์

“ชุดนี้มีรายละเอียดที่พิเศษมาก ผมไม่เคยเอาออกจากตู้เลย แม้กระทั่งตัวเองก็ยังไม่เคยเห็น เพราะเก่าแก่ระดับ 300-400 ปี จึงไม่อยากย้ายไปมา อย่างเสื้อตัวในที่เป็นผ้าไหมแทบเปื่อย แค่จับก็ยุ่ยแล้ว อยากให้มาดูกัน เพราะงานนี้เป็นครั้งแรกที่เมืองไทยจัดขึ้น แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยมีที่ทางญี่ปุ่นนำเข้ามาจัดแสดง แต่เป็นของใหม่ เพราะการจะเอามาจัดแสดงต้องขออนุญาตต่างๆ มากมาย โอกาสที่จะได้ดูจึงไม่ง่าย”

นอกจากนี้ ยังมีชุดเกราะระดับนายพล และนายทหารระดับล่าง รวมทั้งภาพเขียนสีโบราณในตู้กระจกด้านหน้าทางเข้าห้องจัดแสดงที่เล่าถึงการรบของซามูไรเมื่อสมัยเอโดะ ซึ่งตรงกับสมัยอยุธยาของไทย นั่นก็เป็นงานระดับมาสเตอร์พีซ

ส่วนดาบซามูไรนั้น ดอยธิเบศร์บอกว่า พร้อมจะนำมาให้ชม แต่ต้องมีตู้จัดแสดงที่ควบคุมอุณหภูมิโดยเฉพาะ ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก

ที่สำคัญคือ อันตรายมาก เพราะเป็นของมีคม และคมมากด้วย

อย่างดาบ 2 เล่มที่นำมาให้เก็บภาพ เล่มหนึ่งเป็นดาบของสายตระกูลโชกุนโทกุกาว่า ที่ผ่านการคัตติ้ง เทสต์มากถึง 8 ร่าง และอีกเล่มเป็นดาบของคุมาโมโต้ ซึ่งเป็นท็อป 5 ของนักทำดาบที่จัดว่าคมที่สุด โดยดาบเล่มนี้ผ่านการคัตติ้ง เทสต์มาแล้ว 2 ร่าง

นิทรรศการ “ซามูไร” เปิดให้เข้าชมฟรี ทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-20.00 น. ตั้งแต่วันนี้จนถึง 30 เมษายน 2559 แบบไม่มีค่าใช้จ่าย

The post เปิดโลก ‘ซามูไร’ เรื่องน่าทึ่งของดาบญี่ปุ่น ของรัก ‘ดอยธิเบศร์ ดัชนี’ appeared first on มติชนออนไลน์.

Viewing all 6405 articles
Browse latest View live